แกะกล่อง
Review : Samsung Galaxy Note 10 | Note 10+ สองเรือธงคู่ปากกาที่
ครบเครื่องกว่าที่เคยในขนาดที่น่าใช้งานมากขึ้น !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับรีวิวมือถือรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับสองสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดจาก Samsung อย่าง Galaxy Note 10 และ Note 10+ นั่นเอง รอบนี้ Samsung เปิดตัว Galaxy Note มาด้วยกันถึง 2 รุ่น 2 ไซส์ เพิ่มทางเลือกให้กับเรา ๆ ได้อีก ในส่วนของฟีเจอร์ต่าง ๆ จะมีความคล้ายกัน เราเลยขอมารีวิวในบทความเดียวนี้เลยเนอะ และหลังจากใช้งานมากว่า 2 สัปดาห์เต็มสองรุ่นนี้มีอะไรน่าสนใจขึ้นบ้างบนและตรงไหนที่เราชอบไม่ชอบบ้าง มาอ่านรีวิวฉบับเต็มนี้ไปพร้อม ๆ กันเลยครับ :D
ราคาค่าตัวเท่าไหร่มีกี่ความจุ !?
ก่อนจะเข้าเรื่องของรีวิวตัวเครื่อง มาเช็คราคากันก่อนเลยดีกว่า สำหรับ Galaxy Note 10 Series รอบนี้เปิดตัวมาด้วยกัน 2 รุ่น 3 โมเดล คือ Galaxy Note 10 (256GB) และ Note 10+ (256GB, 512GB) โดยจะมีราคาค่าตัวดังนี้ครับ
Galaxy Note 10 (256GB) = 32,900 บาท
Galaxy Note 10+ (256GB) = 37,900 บาท
Galaxy Note 10+ (512GB) = 40,900 บาท
Live! แกะกล่อง Galaxy Note 10 Series ให้ดูสีใหม่ยั่ว ๆ จ้าา ???? #GalaxyNote10TH
โพสต์โดย TechXcite เมื่อ วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2019
แกะกล่องกันได้แล้ว !
ทราบราคากันเรียบร้อยแล้ว ก็มาเช็คอุปกรณ์ภายในกล่องกันต่อเลยดีกว่าเนอะ Galaxy Note 10 | Note 10+ รอบนี้ยังคงใช้ภาพของปากกา S Pen โชว์เด่นที่หน้ากล่องอยู่เช่นเดียวกับตอน Note 9 และแน่นอนว่าสีปากกานี้ก็จะแบ่งสีสันของตัวเครื่องไปด้วยเลย โดยสีที่เราได้มารีวิวนี้ก็คคือสีไฮไลท์อย่างสี Aura Glow รุ้ง ๆ ที่มาพร้อมกับปากกาสีน้ำเงิน และสีชมพู Aura Pink ที่ก็ได้ปากกาสีชมพูมานั่นล่ะ
อุปกรณ์ภายในกล่องก็จะให้มาเหมือนกันหมดเลย งั้นขอแกะเป็นกล่อง ๆ ไปดีกว่าเนอะ พักหลัง Samsung ก็ให้อุปกรณ์มาแบบพร้อมใช้งาน มีเคสแถมมาให้ในกล่อง รวมถึงติดฟิล์มกันรอยมาให้ตั้งแต่แกะกล่องเลยด้วย
อุปกรณ์ทั้งหมดเมื่อแกะมาเรียงกันแล้วจะมีทั้งหมด 7 อย่างดังนี้ครับ
- ตัวเครื่อง Galaxy Note 10 | Note 10+
- เคสซิลิโคนใส
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิม
- สาย USB Type-C to C
- อแดปเตอร์ชาร์จ (25W)
- หูฟัง AKG (Type-C)
- หัวปากกาสำรองสำหรับ S Pen
อแดปเตอร์ที่แถมมาให้ในกล่องจะเป็นแบบ Super Fast Charge 25W ทั้งคู่ ถึงแม้ตัว Note 10+ จะรองรับชาร์จไวถึง 45W แต่ตัวนั้นต้องซื้อแยกเอานะจ๊ะ และแน่นอนว่าตัวพอร์ตของอแดปเตอร์ก็จะเป็นแบบ Type-C ด้วย
เพราะฉะนั้นตัวสายที่ให้มาในกล่องจะเป็นแบบ USB Type-C to C เหมือนกับตอน Galaxy A70, A80 นั่นเองครับ โดยชุดอุปกรณ์เสริมที่ให้มาในกล่องนี้จะเป็นสีดำทั้งหมด แต่ ! ถ้าเราซื้อเครื่อง Note 10+ สีขาว อุปกรณ์จะเป็นสีขาวนะจ๊ะ อันนี้แอบบอก :P
ส่วนหูฟังก็เป็นแบบ Type C เหมือนกัน ด้วยความที่ตัวเครื่องไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม. แล้ว แต่หูฟังที่ให้มาก็เป็นของ AKG เช่นเดียวกับรุ่นเรือธงก่อน ๆ นะ เสียงดีแน่นอนจ้า
นอกจากนี้ในกล่องยังมีตัวหัวปากกาสำรองของ S Pen ติดมาให้ด้วย เผื่อเราใช้งานไปนาน ๆ ตัวหัวอาจจะสึกหรือทู่ได้ก็มาแง้บเปลี่ยนเอาเนาะ :D
เคสที่แถมมาในกล่องก็จะเป็นแบบซิลิโคนใส่ออกแบบมาให้พอดีกับตัวเครื่อง โชว์สีฝาหลังได้อย่างชัดเจน และป้องกันตัวเครื่องได้ด้วย มีการเว้นช่องของตัวกล้องหลังได้พอดีและมีความหนาขึ้นมานิดหน่อยช่วยให้ตัวกล้องไม่นูนออกมาจากตัวเครื่องเวลาวางราบก็จะเรียบสนิท
ส่วนด้านหน้าก็มีการเว้นขอบของลำโพงสนทนารวมถึงกันขอบเวลาวางเครื่องคว่ำได้เป็นอย่างดีครับ เรียกว่าถ้ายังไม่อยากซื้อเคสเพิ่มก็ใช้ของในกล่องได้เลยครับ โชว์สีเครื่องได้เพราะสีใส รวมถึงจับได้ถนัดมือป้องกันได้ระดับนึงเลยล่ะ
ดีไซน์
ดีไซน์โฉมใหม่หมด สวยน่าสัมผัส !
มาเข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่า ! Galaxy Note 10 | Note 10+ จะมาพร้อมกับดีไซน์ทรงใหม่หมดจด เรียกว่าเป็นการปรับโฉมของ Galaxy Note อีกครั้ง อย่างแรกที่เราเห็นเลยก็คือความเต็มของหน้าจอ เพราะทั้ง 2 รุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ที่เต็มตามาก ๆ ชิดขอบไปทุกมุม ถึงแม้ทาง Samsung จะไม่ได้บอกตัวเลขการใช้พื้นที่หน้าจออย่างเป็นทางการ แต่เท่าที่ดูจากตาต้องบอกเลยว่าทั้ง 2 รุ่นนี้เป็นมือถือที่ใช้พื้นที่ได้เยอะที่สุดตอนนี้เลยก็ว่าได้ครับ
ตัวหน้าจอที่มี 2 ไซส์นี้น่าจะเป็นตัวเลือกในการใช้งานได้ดีทีเดียวล่ะ เพราะเชื่อว่าในยุคที่ใครก็แข่งกันใหญ่ขึ้น ก็คงต้องมีคนที่อยากได้ขนาดที่จับได้ถนัดมือไม่แพ้กัน ซึ่ง Note 10 และ Note 10+ ก็แบ่งขนาดหน้าจอมาที่ 6.3" และ 6.8" ตามลำดับ
ตัวเล็ก 6.3" นี่ดูเหมือนว่ายังใหญ่อยู่เนอะ แต่เทียบกับการใช้พื้นที่หน้าจอที่เยอะมาก ๆ แบบนี้ ถือในมือบอกเลยว่าไม่ใหญ่เลย และจับได้กะทัดรัดพอดีมือสุด ๆ ครับ ในเรื่องการแสดงผลตัวเล็กจะได้ความละเอียดแบบ FHD+ ครับ
ส่วนตัวใหญ่ให้ขนาดหน้าจอมา 6.8" ก็เรียกว่าเต็มตาสุด ๆ เป็นจอที่ใหญ่ที่สุดของสมาร์ทโฟน Samsung ตอนนี้เลย แน่นอนว่าแฟนโน้ตที่ใช้งานมาตลอดจะชอบความใหญ่อยู่แล้ว รุ่นนี้ก็จัดเต็มมาให้สุด ๆ และยังคงได้ความละเอียดสูงสุดที่ WQHD+ มาอีกเช่นเคย
ในเรื่องการแสดงผลทั้ง 2 รุ่นก็ทำได้ดีมาก ๆ ตามสไตล์ Samsung อยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรือธงด้วยสวยสุด ๆ ได้ชนิดหน้าจอแบบ Dynamic Amoled ที่ทาง Samsung พัฒนาขึ้นมาใหม่ ค่า Contrast Ratio ได้มากถึง 1:2,000,000 แถมยังรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ อีกด้วย จอสวยคมชัดสุด ๆ
ตัวกล้องหน้ารอบนี้สลับตำแหน่งมาไว้ตรงกลางได้อย่างเหมาะสม (ตอน S10 ไว้มุมแล้วแอบแปลก ๆ) ไม่ขัดสายตาเราเท่าไหร่ มีกล้องหน้าตัวเดียวมาทั้ง 2 รุ่นเลยนะครับ พวกเซ็นเซอร์วัดแสงต่าง ๆ ก็ซ่อนไว้บนหน้าจอเลย รวมถึงลำโพงสนทนาก็เก็บได้อย่างแนบเนียนจริง ๆ ทำให้เวลาเรามองที่หน้าจอดูเต็มดีไม่มีส่วนเกินอะไรมีแค่กล้องเด่น ๆ เท่านั้น
ตัวกระจกกันรอยของ Note 10 | Note 10+ จะมาพร้อมกับ Gorilla Glass 6 เสริมความแข็งแกร่งมาให้อยู่แล้ว แต่ตั้งแต่เปิดกล่องก็จะมีฟิล์มกันรอยแปะมาให้ชั้นหนึ่งด้วย ภายในยังคงฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic อยู่ภายในเช่นเคยครับ
เหลี่ยมดี เอกลักษณ์ Note เลยแหละ
Galxy Note มักมีจุดเด่นในเรื่องดีไซน์ที่ต่างจาก Galaxy S อยู่นิดหน่อย หนึ่งเรื่องที่ชัด ๆ เลยก็คือความเหลี่ยม บน Note 10 | Note 10+ นี้ก็เหมือนกันอีกนั่นแหละ มาพร้อมดีไซน์ทรงเหลี่ยมมากขึ้น บนล่างจะตัดเหลี่ยมแบบชัดเจน เข้ากับความโค้งของมุมเครื่องได้เป็นอย่างดีนะ
ด้านบนยังคงไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน และช่องลำโพงอีกอันเล็ก ๆ สำหรับสนทนาโทรศัพท์ด้วย และช่องใส่ซิมการ์ดครับ
ถาดซิมของ 2 รุ่นนี้จะแตกต่างกันนิดหน่อย เพราะ Galaxy Note 10 จะเป็นแบบ Dual SIM ไม่สามารถเพิ่ม micro-SD ได้ แต่บน Note 10+ จะเป็นแบบไฮบริดที่สามารถเพิ่ม micro-SD ได้สูงสุดถึง 1TB ครับ
ด้านล่างตัวเครื่องก็จะเห็นว่าพอร์ตดูน้องลง ใช่แล้วล่ะ ! ทั้ง 2 รุ่นนี้ตัดเอาช่องหูฟัง 3.5 มม. ออกไปเรียบร้อย เลยจะเหลือแค่ช่องไมโครโฟน, พอร์ต USB Type-C, ลำโพงหลักของตัวเครื่อง และช่องปากกา S Pen ครับ
กรอบตัวเครื่องบางลงจับถนัดมือขึ้น
กรอบตัวเครื่องยังคงเป็นโลหะผิวมันวาวเหมือนเดิม แต่รอบนี้ปรับให้มีขนาดเล็กลง ให้พื้นที่กระจกหน้า-หลังมากขึ้น สังเกตตรงนี้จะเห็นเลยว่าขอบสีเงินนั้นบางเฉียบเลยล่ะ ตรงนี้ทำให้เวลาเราจับถือดูบางลงไปกว่าตอน S10 อีก ถึงแม้ตามสเปคตัวเลขจะแอบเยอะกว่าก็เถอะ
ความบางของ Note 10 ทั้ง 2 รุ่นทำได้ดีมาก เขยิบเข้ามาใกล้กับซีรีส์ S มาก ๆ เทียบกับ S10 ที่บาง 7.8 มม. แต่บน Note 10 บางแค่ 7.9 มม. เท่านั้น เรียกว่าไม่ต่างกันแล้ว และอย่างที่บอกครับมีการปรับขอบเครื่องให้บางลงไปอีกแบบนี้ทำให้เวลาจับถือถนัดมือและไม่เทอะทะเลย
ปุ่มกดของตัวเครื่องอาจจะต้องปรับตัวกันนิดหน่อยบนรุ่นนี้เพราะว่าเห็นกันแล้วเนอะที่มุมขวาไม่มีปุ่มอะไรเลย Samsung ตัดปุ่ม Power ที่ด้านขวาออกไปแล้ว และเลือกใช้ปุ่ม Bixby เดิมที่ด้านซ้ายมาเป็นปุ่ม Power แทนครับ
ตำแหน่งกล้องที่เปลี่ยนไป รวมถึงสีใหม่สุดแวววาว
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลัง จะเห็นความแวววาวของกระจกแผ่นใหญ่ที่ตัดมุมโค้งลงไปที่ด้านข้าง โชว์สีสันสวย ๆ ได้ครบเลย รอบนี้มีสีใหม่สุดสะท้อนแสงอย่าง Aura Glow ด้วยมีความโฮโลแกรมรุ้ง ๆ สะท้อนกับแสงได้สวยมาก ๆ ส่วนรุ่นเล็กที่ได้มารีวิวก็สีใหม่ Aura Pink สวยไม่แพ้กันเลย ตัวกระจกด้านหลังจะเป็นกระจกกันรอย Gorilla Glass 6 เช่นเดียวกับด้านหน้า ป้องกันรอยขีดข่วนและการตกได้ดีระดับหนึ่งเลยล่ะ
ตำแหน่งกล้องมีการขยับมาใหม่ ย้ายมาไว้ที่มุมซ้ายบนแทนตรงกลางที่ Note มักจะวางมาตลอด เรียงลงมาเป็นแนวตั้ง ทั้งคู่จะไม่มีตัว Heart Rate Monitor ออกไปแล้ว ก็จะเหลือเพียงกล้องกับไฟแฟลชวางเด่น ๆ แค่นั้นครับ
กล้องของทั้งคู่จะแตกต่างกันอยู่ตัวหนึ่งคือ Note 10+ ได้กล้อง ToF หรือกล้อง DepthVision มาด้วย ทำให้รวมเป็น 4 ตัว ส่วน Note 10 จะมีกล้อง 3 ระยะเท่ากับตอน S10 ครับผม
ในส่วนของน้ำหนัก Galaxy Note 10 | Note 10+ ก็ปรับมาให้เบาลงด้วย รุ่นเล็กอยู่ที่ 168 กรัม ในขณะที่ตัวใหญ่ 196 กรัมเท่านั้น เรียกว่าทำน้ำหนักได้ดีมาก ไม่ถึง 200 กรัมเลยล่ะ
สีสันใหม่
สำหรับ Galaxy Note 10 | Note 10+ จะมาพร้อมกับสีสันใหม่อย่างที่บอกไป โดย 2 รุ่นจะมีตัวเลือกสี 3 สีคือ Aura Glow, Aura Black เหมือนกัน แต่สีที่ 3 จะแตกต่างกันนิดหน่อย โดย Note 10 จะมีสีที่ 3 คือ Aura Pink ส่วน Note 10+ จะเป็นสี Aura White แทนครับ
รวม ๆ แล้วดีไซน์ของ Galaxy Note 10 | Note 10+ ต้องบอกเลยว่ามีการปรับเปลี่ยนมาให้ลงตัวมากขึ้นจริง ๆ ทั้งในเรื่องการจับถือใช้งาน พอดีมือและใช้งานได้อย่างถนัดทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ ตัวหน้าจอที่เป็นจุดเด่นของ Note อยู่แล้วก็ยิ่งถูกใจเข้าไปใหญ่ด้วยความเต็มของหน้าจอมากขึ้น สีสันก็ขั้นสุดอยู่แล้ว บอดี้กระจกขอบเครื่องโลหะก็ยังหรูหราไม่เปลี่ยน รวม ๆ แล้วเป็นดีไซน์ที่ชอบมาก ๆ เลยล่ะ :D
สเปคและประสิทธิภาพ
สเปค Galaxy Note 10 | 10+
- หน้าจอ Dynamic Amoled 6.3 FHD+ (Note 10) | 6.8 WQHD+ (Note 10+)
- ซีพียู Exynos 9825 Octa-core 2.73GHz (7nm)
- จีพียู Mali-G76 MP12
- แรม 8GB (Note 10) | 12GB (Note 10+)
- ความจุ 256GB (Note 10) | 256GB/512GB (Note 10+)
- รองรับ micro-SD เฉพาะบน Note 10+ (สูงสุด 1TB) ด้วยถาดซิมไฮบริด
- แบตเตอรี่ 3500mAh (Note 10) | 4300mAh (Note 10+)
- รองรับชาร์จไว 25W (Note 10) | สูงสุด 45W (Note 10+)
- กล้องหน้า 10 ล้านพิกเซล f/2.2
- กล้องหลัง 3 ตัว 16 + 12 + 12 ล้านพิกเซล f/2.2 + f/1.5, f/2.4, f/2.1 (Note 10)
- กล้องหลัง 4 ตัว 16 + 12 + 12 ล้านพิกเซล + ToF f/2.2 + f/1.5, f/2.4, f/2.1 (Note 10+)
- รองระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (Ultrasonic)
- รองรับระบบสแกนใบหน้า
- กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- รัน Android 9 Pie ครอบด้วย OneUI
ในส่วนของสเปค Galaxy Note 10 | Note 10+ จะมีการอัปเกรดขึ้นมาจากตอน S10 Series อีกขั้น ทั้งชิปเซ็ตที่ได้ Exynos 9825 ตัวใหม่ตามสถาปัตยกรรม 7nm (จากเดิม 8nm) แรมที่อัปขึ้นมาสูงสุดถึง 12GB รวมถึงแบตเตอรี่ที่เพิ่มความจุขึ้นมาอีกหน่อยด้วยครับ
ส่วนความแตกต่างในเรื่องสเปคของ Note 10 และ Note 10+ จะได้ชิปเซ็ตเดียวกัน Exynos 9825 แต่แรมจะแตกต่างกันโดย Note 10 ได้แรมมาที่ 8GB ส่วน Note 10+ จะได้มาที่ 12GB และรุ่นความจุของ Note 10+ จะมีให้เลือก 2 โมเดลคือ 256GB กับ 512GB ในขณะที่ Note 10 มี 256GB ความจุเดียว
สเปคใหม่คะแนนก็แรงสะใจเลยสิ !
อย่างที่บอกว่าสเปคนั้นจัดเต็มมากขึ้นกว่าเดิม ในเรื่องคะแนนทดสอบก็คงพอจะเดาได้แล้วเนอะว่าต้องสูงไปกว่าตอน S10 Series อีกหน่อยแน่นอน ซึ่งรอบนี้เราจะทดสอบด้วย 2 แอปหลักคือ AnTuTu Benchmark และ GeekBench 4.0 ครับ
โดยคะแนนในส่วนของแอป AnTuTu Benchmark นั้นก็ออกมาสูงจริง ๆ ซึ่งคะแนนออกมาที่ 344529 คะแนน สำหรับ Note 10+ ส่วน Note 10 อยู่ที่ 340321 คะแนนครับ
ส่วนแอป GeekBench 4.0 ก็ได้คะแนนที่เร้าใจเช่นกัน เริ่มจาก Note 10+ ได้คะแนน Single-Core ไปที่ 4533 คะแนน Multi-Core อยู่ที่ 10296 คะแนน และ Note 10 Single-Core 4420 คะแนน Multi-Core ที่ 10388 คะแนนครับ
เล่นเกมกันเลยเถอะ แรงซะขนาดนี้
ไหน ๆ ก็มาเรื่องประสิทธิภาพแล้ว ขอมาพูดเรื่องการเล่นเกมกันต่อเลยดีกว่า สำหรับ Galaxy Note 10 ทั้ง 2 รุ่นถ้าเอามาเล่นเกมจริง ๆ ก็คงไม่ต้องห่วงอะไรแล้วล่ะ เพราะสเปคระดับนี้แล้วเนอะ ซึ่งเกมที่เราจะมาทดสอบก็คงไม่พ้น Asphalt 9 และ PUBG เหมือนเดิม
Galaxy Note 10 ทั้ง 2 รุ่นจะมาพร้อมกับแอป Game Launcher หรือ Game Mode ที่หลาย ๆ แบรนด์เรียกกัน ในนี้จะคอยจัดการตัวเกมต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งการล็อคแสงหน้าจอ ตั้งค่าปิดแจ้งเตือน หรือเร่งประสิทธิภาพบางอย่างให้สมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งรอบนี้ทาง Samsung ยังมีการร่วมกับทาง Discord เพิ่มฟีเจอร์ให้เราได้คุยกันขณะเล่นเกมได้ด้วย
มาเล่นเกมกันเลย สำหรับ Asphalt 9 ในเรื่องประสิทธิภาพต้องบอกว่าทำได้ดีมาก ๆ เล่นได้แบบลื่นไหลสุด ๆ ไม่เจอจังหวะกระตุกในเกมให้เห็นเลย เราสามารถปรับระดับกราฟิกได้ที่สูงสุดเลย จังหวะปล่อยเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ก็ทำได้นิ่งดีทีเดียว
ความกว้างของหน้าจอก็ทำให้เรารู้สึกเต็มตามากจริง ๆ ในส่วนของรูกล้องที่ย้ายมาอยู่ตรงกลางนี้ รู้สึกว่าดีกว่าที่มุมขวาของ S10 ชัดเจน ไม่กวนสายตา คล้ายกับพวกมือถือจอติ่งหยดน้ำที่มีขอบดำน้อยกว่าแค่นั้นเอง ไม่บังพวก UI การใช้งานด้วย
ส่วน PUBG อันนี้ก็จัดเต็มเลย ปรับกราฟิกได้สูงสุดถึง HDR และระดับเฟรมเรตแบบ Ultra ตัวเกมปรับแต่งเข้ากับชิปเซ็ตตัวใหม่ได้เป็นอย่างดีแล้ว ไม่เจออาการผิดปกติเลย เล่นได้อย่างลื่นไหลจังหวะซูมเข้าออก หรือยิงกันนัว ๆ ก็สุดจริง ๆ
ไม่ต้องเพิ่มขอบดำเข้ามาในตัวเกมเพราะการย้ายกล้องมาตรงกลางนี่ไม่บังส่วนสำคัญของเกมแล้วล่ะ ตัวลำโพงคู่ก็ช่วยให้การเล่นเกมนั้นมีมิติดีมาก ๆ คือเล่นเกมนี่ฟินจริง ๆ บอกเลย
หลายคนอาจจะมีข้อสงสัยเรื่องความแตกต่างระหว่าง 2 รุ่นจาก Note 10 กับ Note 10+ ว่ามันแตกต่างกันแค่ไหน เอาจริง ๆ ที่เล่นคู่กันมาไม่เห็นความแตกต่างของประสิทธิภาพมากนัก เล่นได้ลื่นเหมือนกันหมด จะมีก็แต่เรื่องขนาดที่ถ้าใครเป็นสายเกมมิ่งจริงจังตัว Note 10+ น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า เพราะมันใหญ่เต็มตาซะจริง
ส่วนเรื่องระบายความร้อนรุ่น 10+ จะมีตัว Vapor Champer เข้ามาช่วยระบายความร้อนที่ดีขึ้นกว่านิดหน่อย แต่ถ้าเล่นจริง ๆ ก็ต้องยอมรับว่ายังมีความร้อนสะสมอยู่ ด้วยบอดี้แบบกระจกแบบนี้คงหลีกเลี่ยงเรื่องความร้อนได้ยาก แต่ประสิทธิภาพโดยรวมถึงแม้จะมีความร้อนอยู่บ้างแต่ก็ยังคงเล่นได้ดีนะจ๊ะ
ซอฟต์แวร์ และฟีเจอร์การใช้งาน
ซอฟต์แวร์ตัวเดิม หน้าตาก็คุ้นเคย
มาเข้าสู่เรื่องที่ Galaxy Note ถนัดแน่อนนว่าคือเรื่องการใช้ทำงานต่าง ๆ ด้วย กลุ่มเป้าหมายชัดเจนของ Note Series ทั้งที่มีปากกาและสเปคกับขนาดหน้าจอที่ใหญ่พรอ้มใช้งานด้วยแล้ว ในส่วนของซอฟต์แวร์ทั้ง 2 รุ่นได้ OneUI เวอร์ชั่น 1.5 ใหม่ ที่ครอบทับอยู่บน Android 9 Pie อีกที
ในเรื่องการใช้งานหน้าตาก็ไม่ต่างจากตอน S10 Series มากนัก ตัว UI ต่าง ๆ เหมือนกัน Wallpaper มีชุดใหม่มาให้เลือกตามสีตัวเครื่อง รอบนี้พวก Wallpaper ไม่มีการปกปิดตัวกล้องหน้าแล้ว ใช้สีสว่าง ๆ โชว์เด่น ๆ ไปเลย
หน้าจอโค้งแบบนี้ยังมีพวก Edge Screen ให้เราเลือกทางลัดได้เหมือนกับรุ่นก่อน จะเป็นเปิดแอปหรือพวกรายชื่อก็ตั้งค่าตรงนี้ได้เลย
แบ่ง 2 หน้าจอก็ได้ เหมือนเดิม !
Galaxy Note นี่แหละเป็นรุ่นบุกเบิกการใช้งาน 2 หน้าจอหรือ Multi Window เลย เริ่มใช้กันมาตั้งแต่สมัย Note 2 จนมาถึง Note 10 ก็ติดมาอยู่ แต่การใช้งานก็จะแตกต่างกันออกไปนิดหน่อยบน OneUI เราไม่สามารถกดปุ่ม Recent ค้างแล้วเลือกแอปแบบเดิม ๆ แล้ว แต่ใช้การกดที่ไอคอนของแอปเวลาเปิดหน้า Recent แล้วเลือกไปที่ Split Screen Apps แทนครับ
Bixby ผู้ช่วยอัจฉริยะติดมาด้วย
ในส่วนของผู้ช่วยอัจฉริยะบน Galaxy Note 10 ยังมี Bixby Home อยู่หน้าซ้ายสุดของ Home Screen แสดงพวกฟีดต่างๆที่ระบบจัดมาให้ อาทิ Weather , นาฬิกาปลุก , Step ก้าวเดิน , Gallery หรือฟีดข่าวจากแอปอื่นๆอาทิ Facebook , Twitter เป็นต้นครับ Bixby Voice ก็ใช้งานได้ดีขึ้น แต่แน่นอนยังไม่รองรับภาษาไทย
ปุ่ม Bixby หายไปแล้วใช้งานได้อยู่ไหมนะ ?
อย่างที่บอกไปว่าปุ่ม Power รอบนี้ย้ายมาแทนที่ปุ่ม Bixby แล้ว แต่ในค่าเริ่มต้นเรายังสามารถกดปุ่ม Power ค้างเพื่อเรียก Bixby Voice ขึ้นมาได้เหมือนเดิม หลายคนที่กดปุ่มนี้จนชินอาจจะไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก แต่ถ้าคิดว่าเป็นปุ่ม Power แล้วอยากปิดเครื่อง ตรงนี้อาจจะต้องปรับตัวหน่อย เพราะในค่าเริ่มต้นเราจะต้องกดปุ่มเพิ่มเสียงกับปุ่ม Power พร้อมกันค้างไว้เพื่อเรียกเมนู Power ขึ้นมาแทน ถ้าอยากปรับตั้งค่าปุ่มก็
สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Ultrasonic
ระบบสแกนลายนิ้วมือของ Galaxy Note 10 | Note 10+ จะยังคงมาพร้อมกับระบบ Ultrasonic อยู่ แต่มีการปรับตำแหน่งขึ้นมาจากเดิมหน่อย ให้เหมาะกับการแตะสแกนได้ดียิ่งขึ้น มีไอคอนลอย ๆ ขึ้นมาทั้งบนหน้า AOD และหน้าล็อก เราสามารถเอานิ้วไปแตะสแกนได้เลย
ความเร็วในการสแกนรอบนี้ก็ปรับให้ดีขึ้นมาอีกหน่อย เท่าที่ลองใช้งานจริง ๆ ก็ถือว่าทำได้เร็วเลยล่ะ แต่อาจจะไม่ได้เร็วแบบ Optical แบบแตะปุ๊บติดปั๊บแต่ถือว่าทำได้ดีและรับได้เลย ไม่ได้ช้าจนเกินไปครับ
สแกนใบหน้าก็นะเออ !
แน่นอนว่าสมาร์ทโฟนสมัยนี้จะมีระบบปลดล็อคแค่อย่างเดียวก็ไม่ได้แล้ว บน Note 10 และ Note 10+ นั้นยังมาพร้อมกับระบบ Face Recognition หรือระบบสแกนใบหน้ามาให้เช่นเคย ใช้ตัวกล้องหน้าในการสแกนรวดเร็วปุบปับ เราสามารถเลือกได้ว่าจะสแกนแล้วปลดล็อคได้เลยหรือว่าจะมองดูหน้าจอก่อนแล้วค่อยสไลด์เพื่อปลดล็อคก็ได้ครับ
S Pen
S Pen นี่แหละพระเอก !
ถ้าพูดถึง Galaxy Note แล้วจะไม่มีปากกาก็คงไม่ได้เนอะ สำหรับ Note 10 รอบนี้ก็อัปเกรดปากกา S Pen ให้เก่งขึ้นไปอีก มาพร้อมเซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหวถึง 6 แกน สามารถใช้งานควบคุมด้วยท่าทางได้ด้วย มากกว่าแค่เป็นรีโมทกดจากระยะไกลเหมือนตอน Note 9
ตัวปากกายังเป็นทรงเดิมมีปุ่มกดอยู่ 1 ปุ่มและให้สีสันที่แตกต่างกันออกไปตามสีของเครื่องอย่างสี Aura Glow ไฮไลท์นี้จะมาพร้อมกับปากกาสีน้ำเงิน ส่วนสีชมพู Aura Pink ก็สีชมพูตามตัวเครื่องเลย
ตรงปลายด้ามยังมีปุ่มให้กดอยู่เช่นเคย แต่ก็ใช้เอาไว้กดดึงตัวปากกาออกจากเครื่องเนาะ ไม่มีส่วนของฟังค์ชั่นรีโมทใด ๆ หรือจะใช้กดเล่นเวลาคิดงานไม่ออกก็ได้เหมือนกัน :P
Air Actions สั่งงานกลางอากาศได้เจ๋ง ๆ เลย
อย่างที่บอกว่ารอบนี้ S Pen เก่งขึ้นแล้ว มี Motion Sensor ฝังอยู่ข้างใน เราสามารถกดปุ่มพร้อมใช้งานท่าทางไปด้วยกันได้ประหนึ่งเป็นปากกาวิเศษเลยล่ะ จากรอบที่แล้วเราอาจจะใช้ตัว S Pen สั่งการได้แค่กดถ่ายรูป กดสลับกล้อง (เพราะปุ่มมันมีแค่นั้น) แต่รอบนี้เราสามารถกดปุ่มค้างไว้ และเลื่อนไปทางซ้าย - ขวา เพื่อเปลี่ยนโหมดได้ด้วย หรือจะเท่หน่อยก็ใช้การควงวนไปทางขวาเพื่อซูมเข้าไป หรือควงกลับมาทางซ้ายเพื่อซูมออก !
จริง ๆ ฟีเจอร์ Air Actions นี้ยังใช้ได้กับแอปมากมาย อาทิ ใน Gallery เราก็กดเลื่อนรูปได้ ดูรายละเอียดของรูป, แอป Powerpoint ใช้พรีเซ้นงาน เลื่อนหน้าด้วยการควบคุมปากกา ก็เจ๋งไม่หยอกนะ
Samsung Notes ก็เพิ่มฟีเจอร์เหมือนกัน
นอกจากท่าทางที่ดูหวือหวาแล้ว ฟีเจอร์ที่ใช้งานดีอยู่แล้วอย่างแอป Samsung Notes ที่คอยจด ๆ เขียน ๆ ของเราก็มีลูกเล่นใหม่อย่างการแปลงตัวเขียนมาเป็นตัวพิมพ์ได้แล้ว (สักทีนะ)
และเท่าที่ลองถึงแม้ลายมือจะแย่แค่ไหน (ออกตัวก่อนเลย) ตัวแอปก็ยังฉลาดและรู้ว่าเราจดอะไรลงไปบ้างอยู่ดี เก่งไปละเห้ย ! ละเราก็ยังสามารถแปลงข้อความที่เขียนไปนั้นมาเป็นตัวพิมพ์ได้เลยด้วย ตรงนี้สายจดถูกใจแน่นอนครับ
ตัวปากกาในแอปมีการปรับปรุงเสียงขีด ๆ เขียน ๆ ใหม่ให้สมจริงมากขึ้น รวมถึงเราสามารถตั้งค่าปากกาด้ามโปรดได้แล้วด้วย ปกติเราอาจจะต้องมาเลือกหัวปากกาและขนาดรวมถึงสีนั้น ๆ ใหม่หลังจากที่เปลี่ยนไป แต่ถ้าใครที่ชอบจดหรือวาดบ่อย ๆ กับปากกาด้ามนั้น ๆ ก็ตั้งให้เป็นด้ามโปรดได้ด้วยตรงนี้เจ๋งเลยล่ะ
Screen off Memo จดในหน้าล็อคก็เลือกสีได้
ถ้ายังจำกันได้เมื่อปีที่แล้วบน Galaxy Note 9 นั้นหลายคนฮือฮากับปากกาใหม่ที่เป็นสีเหลืองตอนนั้นมาก ๆ เพราะตอนนั้นปากกาสีอะไรก็จะเขียนออกมาในหน้า Screen off memo เป็นสีนั้นเลย แต่รอบนี้ Samsung ใจดีให้เราเลือกสีของปากกาได้แล้วนะจ๊ะ มีให้เลือกด้วยกัน 5 สี ขาว, น้ำเงิน, เขียว, เหลือง และชมพูครับ
การใช้งาน
ทำงานจัดเต็ม เชื่อมกับคอมได้หมด !
อย่างที่ทราบกันว่า Galaxy Note นั้นถูกออกแบบมาสำหรับคนทำงานอย่างจริงจัง เพราะมีทั้งสเปคที่สูงหน้าจอใหญ่ตอบโจทย์การใช้งาน ปากกาที่ใช้ร่วมกับแอปหรือการใช้งานต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และที่ขาดไม่ได้ก็คือการเชื่อมต่อร่วมกับตัวคอมพิวเตอร์หรือหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นไปอีก
มี Samsung Dex เสียบสายทำงานต่อได้เลย
ฟีเจอร์แรกที่ทาง Samsung นำเสนอเป็นอย่างมากและรอบนี้ก็ทำได้ดีขึ้นเยอะมากก็คือ Samsung Dex ที่ให้เราสามารถเชื่อมต่อ Galaxy Note 10 | Note 10+ เข้ากับคอมพิวเตอร์แล้วโอนทุกอย่างขึ้นไปทำงานได้ต่อบนคอมพิวเตอร์ของเราได้เลย เพียงแค่เสียบสาย USB
จากรุ่นก่อน ๆ เราอาจจะต้องใช้อุปกรณ์เสริมหลายอย่าง จะเป็น DexPad เอย หรือต้องเป็นสาย HDMI เอย อาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่ แต่รอบนี้ก็สาย USB ที่แถมมาในกล่องนี่แหละ เสียบเข้าไปและไปดาวน์โหลดโปรแกรม Samsung Dex มาติดคอมไว้ (ใช้ได้ทั้ง Windows และ Mac)
เท่านี้เราก็สามารถเอาเครื่อง Note 10 หรือ Note 10+ มาขยายร่างทำงานหรือโอนย้ายไฟล์กันต่อบนคอมพิวเตอร์แล้ว สะดวกและน่าสนใจสุด ๆ ตัวหน้าต่าง Samsung Dex ก็จะแยกการทำงานกับบนมือถือเลยด้วย จะใช้โทรศัพท์ไปแล้วทำงานไปก็ได้เช่นกัน แจ่ม ๆ
Link to Windows เชื่อมต่อแบบไร้สายกับ Windows ก็ได้ด้วย
อันนี้เป็นฟีเจอร์เฉพาะของคอมพิวเตอร์ Windows เท่านั้น แต่ก็ช่วยให้ชีวิตเราสะดวกขึ้นอยู่กับฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Link to Windows เราสามารถแชร์ไฟล์รูปภาพล่าสุด (ไม่เกิน 25 ภาพ), การแจ้งเตือน หรือข้อความจากมือถือเข้ากับคอมได้แบบไร้สาย เพียงแค่ซิงค์บัญชีของ Microsoft อีกนิดหน่อย
ตรงนี้ก็ช่วยเสริมการใช้งานให้ง่ายขึ้น สำหรับเพื่อน ๆ ที่มีการใช้งานคอมพิวเตอร์ระบบ Windows อยู่แล้ว เชื่อมต่อกันง่าย ๆ พร้อมการทำงานที่ไม่มีสะดุดทั้งบนคอมและมือถือ
ตัดต่อวิดีโอได้บนเครื่องเลยด้วยนะ
อีกอย่างที่นำเสนอมาก็คือการตัดต่อวิดีโอผ่าน Galaxy Note 10 | Note 10+ นั้นจะมีแอป Video Editor ของ Samsung เวอร์ชั่นใหม่ติดมาให้ด้วย เราสามารถเลือกวิดีโอหลาย ๆ ตัว (ใน Gallery) แล้วกดแก้ไขผ่าน Video Editor ได้เลย มีตัวเลือก Trim ใส่ Text รวมถึงเพลงได้ด้วย สำหรับตัดคัทชนง่าย ๆ ใส่เพลงนิดหน่อย ตรงนี้ถือว่าช่วยได้เยอะเลย ไม่ต้องไปดาวน์โหลดแอปแยกข้างนอก
แต่ถ้าไม่พอใจอยากได้ลูกเล่นเยอะ ๆ หน่อยก็จะมี Adobe Premier Rush for Samsung ให้ดาวน์โหลดเพิ่มเติมใน Galaxy Store ด้วย อันนี้ก็ได้ตัดต่อกันแบบสะใจ พร้อมเชื่อมกับบัญชีของ Adobe ได้ด้วยนะ
หน้าจอ ระบบเสียง
หน้าจอ Dynamic Amoled นี่มันสวยเต็มตาจริง ๆ
เข้าสู่เรื่องไฮไลท์อีกอย่างของ Galaxy Note 10 | Note 10+ อย่างหน้าจอ แน่นอนว่า Note นั้นขึ้นชื่อเรื่องหน้าจอที่เต็มตามาแต่ไหนแต่ไร บน 2 รุ่นใหม่นี้ก็โดดเด่นมาก ๆ เพราะใช้หน้าจอแบบใหม่ Dynamic Amoled แบบเดียวกับ S10 แต่พอมาอยู่บนจอที่ขอบบางเฉียบแบบนี้ กล้องหน้ามาแค่ตรงกลางไม่กวนสายมากแบบนี้ ฟินมาก ๆ การแสดงผลสวยคม แถมยังให้ความรู้สึกที่เต็มตามาก ๆ ด้วย
ตัวหน้าจอใหม่นี้ก็รองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ ต่อเนื่องมาจากตอน S10 ก็ยังคงทำได้ดีมาก ๆ วิดีโอความละเอียดสูง ๆ หรือวิดีโอที่รองรับการแสดงผลแบบ HDR ถ้ามาดูบน Note 10 และ Note 10+ บอกเลยว่าโดนใจมาก ๆ
ค่าเริ่มต้นเป็น Natural นะเออรุ่นนี้
อย่างที่บอกว่าหน้าจอรุ่นนี้สีสวยและแจ่มแมวมาก ๆ แต่ถ้าลองเข้าไปปรับตั้งค่าดี ๆ จะเห็นว่ารอบนี้ทาง Samsung ไม่เน้นความสดแบบจัดจ้านจนเกินไปแล้ว เพราะตั้งค่าเริ่มต้นของจอมาให้เป็นแบบ Natural หรือโหมดธรรมชาติ ซึ่งสีที่ได้ก็ยังมีความสวยและคมชัดที่ดีเยี่ยมมาก ๆ อยู่นะ ส่วนตัวแอบชอบความสบายตานี้ แต่ถ้าใครที่เคยใช้ S10 มาก่อนอาจจะรู้สึกว่าจอมันจืดและอมเหลืองไปหน่อย ถ้าไม่ชอบก็ไปปรับเป็นแบบ Vivid เดิมได้ด้วยนะ มีทางเลือกให้ปรับที่หน้า Settings > Display > Screen mode ครับ
บน Note 10+ ไม่ได้ให้ความละเอียดสูงสุดมานะ รู้เปล่า !?
Galaxy Note 10+ รุ่นใหญ่นั้นจะมาพร้อมกับความละเอียดหน้าจอสูงสุดที่ WQHD+ หรือ 2K นั่นเอง แต่รู้หรือไม่ว่าค่าเริ่มต้นนั้นไม่ได้ให้มาที่สูงสุดนะจ๊ะ ตรงนี้ทาง Samsung เลือกปรับความละเอียดมาที่ FHD+ แทน เพื่อน ๆ ที่ซื้อ Note 10+ มาแล้วเปิดเครื่องครั้งแรกถ้ารู้สึกว่าภาพไม่คมเท่าที่ควร ก็มาปรับความละเอียดให้เต็มสูบในหน้าตั้งค่า Settings > Display > Screen Resolution นาจา แต่ถ้าไม่ซีเรียสให้มาเริ่มต้นก็คมแล้ว ก็ไม่ต้องปรับอะไรเนาะ เพราะมันจะกินแบตฯเพิ่มนิดหน่อยถ้าเราเปิดเป็น WQHD+ น่ะ
ส่วนบน Note 10 ไม่ต้องปรับอะไรทั้งนั้นครับ มีให้มาแค่ FHD+ คม ๆ อยู่แล้วบนจอ 6.3" และก็เลือกปรับอะไรไม่ได้ด้วยนั่นแหละ :P
บันทึกหน้าจอได้แล้วนะไม่ต้องลงแอปเพิ่ม
อีกฟีเจอร์ใหม่ที่ให้มาบน Note 10 | Note 10+ ก็คือการบันทึกหน้าจอหรือ Screen Recorder ตรงนี้อาจจะไม่ได้ดูใหม่อะไรมาก แต่เป็นลูกเล่นที่หลาย ๆ คนอยากได้แน่นอน เราสามารถกดบันทึกหน้าจอง่าย ๆ จากบนหน้า Toggle Switch เลย แถมบันทึกเสียง Internal หรือจากในเครื่องได้ด้วย
มีให้เราอัดหน้าจอพร้อมเปิดกล้องหน้า หรือจะจด ๆ ไปขณะอัดวิดีโอหน้าจอก็ได้เช่นกันตรงนี้ถือว่าทำการบ้านมาดีเลยล่ะ Samsung ส่วนความละเอียดที่บันทึกได้ก็คือ FHD+ เลยนะ แจ่ม ๆ
ระบบเสียงยังคงยอดเยี่ยมด้วยลำโพงคู่และ Dolby Atmos
เรื่องภาพมาเยอะแล้ว มาดูเรื่องเสียงบ้าง Galaxy Note 10 | Note 10+ นั้นได้ลำโพงคู่ Stereo เหมือนเคย Samsung เองก็เก่งที่ซ่อนลำโพงสนทนาไว้ได้อย่างเนียน แต่ขับเสียงออกมาได้ดี ร่วมกับลำโพงหลักได้แต็มที่เลย แถมยังได้ระบบเสียง Dolby Atmos มาอีก ฟังผ่านลำโพงนี่ก็ฟินแล้วอะ
ผ่านหูฟังก็ต้องพอร์ต Type-C หรือไร้สายแล้วนะ
อย่างที่ทราบกันเนาะว่า Note 10 ทั้ง 2 รุ่นนี้ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม. มาแล้ว ทำให้การใช้งานหูฟังก็ต้องผ่านช่อง USB Type-C นี่แหละ หลายคนอาจจะชินแล้ว เพราะเรือธงรุ่นใหม่ ๆ ก็ตัดเอาช่องหูฟังออกไปเกือบหมด ซึ่งหูฟังที่แถมมาในกล่องก็เป็นแบบ Type-C แล้วเสียบใช้งานได้เลยครับ
หรือถ้าไม่อยากต่อสาย เดี๋ยวนี้อุปกรณ์หูฟังแบบไร้สายก็ออกมารองรับหลายรุ่นแล้ว อาทิ Galaxy Buds ของ Samsung เองก็เชื่อมต่อกันง่าย ๆ และใช้งานไร้สายได้อย่างสมบูรณ์
แล้วถ้าอยากใช้หูฟังตัวโปรดหรือไมค์กับ Galaxy Note 10 | Note 10+ ล่ะ ? ตรงนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของมือถือเรือธงรุ่นใหม่ ๆ เนอะ เอา Dongle มาเสียบสิ แต่ ! นี่แหละปัญหาครับ เพราะเจ้า Note 10 ทั้ง 2 รุ่นนี้ไม่รองรับ Dongle แบบทั่ว ๆ ไปนี่สิ พอเสียบเข้าไปก็จะขึ้นว่าไม่ซัพพอร์ทซะงั้น ตรงเชื่อว่าทาง Samsung อาจจะมีการล็อคไว้ให้ใช้อุปกรณ์ของตัวเอง เพราะเคยมีข่าวว่าจะขาย Dongle แยกด้วย แบบนี้ใครจะใช้ไมค์แยกหรือหูฟัง 3.5 มม. อาจจะต้องรอกันไปก่อน เพราะอุปกรณ์เสริมมันยังไม่มีขายนี่นา แป่ว
กล้อง
กล้องหลังชุดเดิม เพิ่มด้วยเลนส์เสริมและซอฟต์แวร์ใหม่ !
Galaxy Note 10 | Note 10+ จะมาพร้อมกับกล้องหลังที่ต่างกันอยู่นิดหน่อย โดย Note 10 ได้กล้องมา 3 ตัว ส่วน Note 10+ ได้กล้องหลังมา 4 ตัว เพิ่มเลนส์ DepthVision หรือ ToF เข้ามาเสริมการจับระยะให้แม่นยำมากขึ้น ส่วนกล้อง 3 ตัวที่ให้มานั้นเหมือนกันแบ่งออกเป็น
กล้อง Tele 2x ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.1, AF, OIS
กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.5, f/2.4 (Dual Aperture), AF, OIS
กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/2.2, Fixed Focus, มุมกว้าง 123 องศา
จะเห็นว่าสเปคกล้องทั้ง 3 ตัวนั้นมีการอัปเกรดขึ้นมาจากตอน S10 นิดหน่อยคือตัวกล้อง Tele 2x นั้นได้ค่ารูรับแสงกว้างขึ้นเป็น f/2.1 ส่วนกล้องหลักยังเป็นตัวเดิมที่ 12 ล้านพิกเซลปรับค่ารูรับแสงได้อัตโนมัติ (Dual Aperture) ระหว่าง f/1.5 กับ f/2.4 ส่วนเลนส์ Ultra Wide ยังคงได้มุมกว้างถึง 123 องศาเหมือนเดิม และไม่มีระบบ Auto Focus เช่นกันครับ
ตัวกล้องจะมีระบบ Scene Optimizer ช่วยเลือก Scene และปรับภาพให้สวยงามมากขึ้นหลังถ่ายได้ด้วย ตรงนี้จะมี Scene กว่า 30 หมวดหมู่จะเล็งตรงไหนก็รู้หมด และปรับเลือกโทนสีให้เข้ากับภาพนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี แต่ส่วนตัวคิดว่าระบบ Scene Optimize ของ Samsung แอบใช้เวลาประมวลผลช้าไปนิด ต้องเล็งแช่ไว้ครู่หนึ่งก่อนจะแนะนำได้น่ะนะ
ตัวกล้องของ Note 10 | Note 10+ นั้นจะเป็นชุดเดียวกันมาเลย ภาพตัวอย่างส่วนใหญ่ที่ถ่ายมาจะเป็นจาก Note 10+ ซะส่วนใหญ่นะครับ ช่วงเลนส์ที่ให้มาถือว่าครอบคลุมการใช้งานของเราได้ดีมาก จะถ่ายจากมุมกว้างมาก ๆ ซึ่งตรงนี้ Samsung เด่นเพราะได้มุมที่กว้างสุด ๆ ไปจนถึงระยะซูมเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิดก็เก็บรายละเอียดได้ดีทีเดียว
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ Galaxy Note 10 | Note 10+ ในเรื่องกล้อง Samsung ยังทำให้ประทับใจได้เสมอด้วยความง่ายและผลลัพธ์ที่ออกมาสวยแบบที่ควรจะเป็น ตัว HDR Rich Tone ที่ใช้นั้นฉลาดและจัดการ Dynamic Range ได้ดีมาก ๆ รวมถึงพวกสกินโทนเวลาถ่ายคนก็สวยใสใช้ได้ ความง่ายในการถ่ายก็คือทำได้ดีครับ แค่เล็งแล้วถ่ายออกมาสวยเลย แต่จะมีจุดที่ไม่ชอบใจอยู่นิดหน่อยก็ตรงการแนะนำ Scene ที่อาจต้องใช้เวลาหน่อย และอีกอย่างก็คือเรื่อง Depth หรือระยะตื้นลึกของภาพที่ไม่รู้เพราะตัว f/2.4 ในกล้องหลักรึเปล่าเลยทำให้ภาพหลายภาพที่ควรได้ระยะชัดตื้นหน่อย ๆ กลับเป็นลึกไปทั้งภาพซะงั้น แต่ก็ดีนะมันคมทั้งภาพไปเลย
ซูมดิจิทัลได้ 10 เท่า คุณภาพก็โอเคอยู่ !
อย่างที่เห็นจากสเปคว่า Note 10 | Note 10+ นั้นสามารถซูมแบบ Optical ได้เพียง 2x ก็ตัวเลนส์ให้มาเท่านั้น และสามารถซูมดิจิทัลได้สูงสุด 10 เท่า แต่ต้องบอกว่าคุณภาพโดยรวมเมื่อมีการซูมเข้าไปนั้นทำได้ดีทีเดียว ตัวระบบจะมีการปรับแต่งภาพให้คมชัดขึ้นอีกหน่อยหลังจากถ่ายเสร็จ ทำให้ถึงแม้เราจะถ่ายแบบซูมเข้าไปสัก 3x - 5x ก็ยังได้รายละเอียดของภาพที่ดีใช้ได้เลยล่ะ
Night mode มีแล้ว ถ่ายกลางคืนสวยขึ้น
โหมดกลางคืนที่ใคร ๆ ก็มักจะมีกัน รอบนี้ Galaxy Note 10 | Note 10+ ติดมาให้แล้วนะ (บน S10 ก็อัปเดตใช้ได้แล้วเหมือนกัน) ตรงนี้ก็จะมาช่วยเก็บภาพกลางคืนให้สวยงามยิ่งขึ้น ด้วยเทคนิคการเก็บภาพหลาย ๆ สภาพแสงมารวมกันอีกนั่นแหละ โดยภาพที่ได้จะสวยกว่าในโหมด Auto ทั่วไป ตรงนี้ใช้ได้กับทั้ง 3 ช่วงเลนส์เลยจะถ่ายช่วงปกติหรือ Ultra Wide ก็ได้ครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Night ภาพที่ได้ออกมาถือว่าจัดการกับ Noise ได้ดีทีเดียว เก็บรายละเอียดพวกแสงไม่ให้ฟุ้งจนเกินไป และสมดุลของภาพก็ดีเลย แต่ส่วนตัวคิดว่าการเก็บภาพนั้นใช้เวลาพอสมควร ทั้งการถ่ายรวมถึงเซฟภาพด้วย ทำให้เราอาจจะต้องถือค้างไว้นานกว่าแบบปกติหน่อย ถ้าเร็วกว่านี้ได้จะแจ่มมาก ๆ เลยล่ะ
Live Focus ใช้ได้ทั้ง 2 ช่วง มีเอฟเฟกต์เพิ่มด้วย
ในส่วนของโหมด Live Focus หรือหน้าชัดหลังเบลอ Galaxy Note 10 | Note 10+ ทำได้เหมือนกันทั้งคู่ ถึงแม้ตัว Note 10 จะไม่มีกล้อง ToF แต่ในการละลายฉากหลังก็ดีไม่แพ้กันจากที่ลองมา รอบนี้เราสามารถเลือกใช้ช่วงเลนส์ได้ 2 ตัวคือกล้องหลักกับกล้อง Tele ตรงนี้ก็ช่วยให้เราได้ภาพจากหลายมุมมากขึ้น ในส่วนของเอฟเฟกต์การละลายมีเพิ่มตัว Big Circle หรือโบเก้วงใหญ่ ๆ เข้ามาด้วยนะ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Live Focus คุณภาพยังดีเหมือนเคย การตัดขอบต่าง ๆ ทำได้ดีทั้งจาก Note 10 และ Note 10+ ละลายฉากหลังได้อย่างดี ช่วงเลนส์ที่มีให้เลือกปรับจากกล้องหลักและกล้องเทเลก็ทำให้ได้มิติที่ดีมาก ส่วนเอฟเฟกต์ใหม่อย่าง Big Circle นั้นส่วนตัวแอบคิดว่ามันเบลอเว่อไปหน่อย แต่ถ้าปรับมาระดับ 1 - 2 นี่กำลังสวยเลยล่ะ
Live Focus Video ก็ใช้ได้นะ ละลายมันบนวิดีโอเลย
นอกจากหน้าชัด-หลังเบลอบนภาพนิ่งแล้ว ทั้ง Note 10 | Note 10+ ยังสามารถละลายฉากหลังบนวิดีโอได้ด้วย ซึ่งตัว Note 10 จะใช้ AI ในการคำนวณมิติของภาพและใส่เอฟเฟกต์เบลอเข้าไป ส่วน Note 10+ มีกล้อง DepthVision อยู่แล้วก็จะเนียนตากว่าหน่อยครับ
ตัวอย่างวิดีโอจากโหมด Live Focus Video การละลายฉากหลังทำได้เนียนตากำลังดีเลย หลัก ๆ คงเน้นไปที่เอฟเฟกต์ของฉากหลังมากกว่า เพราะช่วยเพิ่มลูกเล่นให้วิดีโอดูดีขึ้นเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเพิ่มโบเก้ ตัดสีให้เป็นขาว-ดำ หรือจะใส่เอฟเฟกต์ Glitch เกร๋ ๆ ก็ได้
Zoom in Mic ใกล้ขึ้น เสียงก็ชัดขึ้น
อีกฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาบน Note 10 | Note 10+ นี้คือระบบ Zoom in Mic บนวิดีโอที่ตัวไมค์จะบันทึกเสียงให้ชัดมากขึ้น เมื่อเรามีการซูมเข้าไป ไม่ใช่แค่ซูมภาพแต่เสียงก็ได้ชัดขึ้นด้วย ตรงนี้น่าจะเหมาะกับการบันทึกเสียงการเล่นดนตรีสดหรือจุดที่เราอยากเข้าไปได้ยินเสียงชัด ๆ แต่เข้าไปไม่ถึงจริง ๆ
ตัวอย่างวิดีโอจากฟีเจอร์ Zoom in Mic
Super Steady ที่นิ่งขึ้น ใช้ได้ 2 ช่วง !
ในส่วนของวิดีโอรอบนี้ดู Samsung จะเน้นเป็นพิเศษ จากเดิม Super Steady ที่นิ่งมาก ๆ อยู่แล้วบน S10 มาบน Note 10 ก็นิ่งขึ้นไปอีก อีกทั้งเรายังสามารถปรับมุมมองใช้เลนส์ตัวหลักได้อีกด้วย ทำให้ได้ภาพ 2 ระยะแบบนิ่ง ๆ เลยล่ะ
ตัวอย่างวิดีโอจากโหมด Super Steady
IG Mode ถ่ายภาพพร้อมแชร์กันได้จากแอปกล้องเลย
อย่างที่ทราบกันว่า Samsung ได้มีการร่วมมือกันกับทาง Instagram ใส่โหมด IG เข้ามาในแอปกล้องเลยด้วย ตรงนี้เราสามารถใช้ฟีเจอร์ Scene Optimizer ได้ด้วย รวมถึงใช้ช่วงเลนส์ทั้งหมดที่มีได้ ก็ง่ายดีเวลาเราจะเล็งถ่ายให้ได้ภาพแบบเต็มจอไปใช้ใน Story กดค้างก็ใช้เป็นอัดวิดีโอได้ด้วย
ซึ่งถ้าใช้โหมด IG จากกล้องแล้วอัปบน Story จะมี #withGalaxy โผล่มาด้วยนะ ส่วนคุณภาพที่ได้ก็แอบชัดขึ้นกว่าแบบปกติของแอนดรอยด์ทั่วไปอยู่นะ
กล้องหน้าแจ่มมี Auto Focus วิดีโอ 4K
ในส่วนของกล้องหน้า Note 10 | Note 10+ ให้ความละเอียดมาที่ 10 ล้านพิกเซล ความละเอียดอาจจะไม่เยอะ แต่ได้ระบบ Auto Focus มาด้วย ตรงนี้เวลาจะเซลฟี่หรือถ่ายวิดีโอ Vlog ก็ทำได้ดีกว่าแบบทั่ว ๆ ไป แถมยังบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ 4K อีกนะนั่น
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Note 10
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
แบตเตอรี่มันไหลจริงหรือ !?
เข้าสู่เรื่องของแบตเตอรี่ ทั้ง 2 รุ่นให้ความจุแบตฯมาเยอะแบบจุใจเลยโดย Note 10 ได้มาที่ 3500mAh ในขณะที่ Note 10+ นั้นได้มาที่ 4300mAh ถ้าดูจากสเปคนี้ต้องบอกเลยว่าเยอะสมใจเลยทั้ง 2 รุ่น แต่หลายคนมีสอบถามมาว่าแบตฯมันไหลจริงรึเปล่า เท่าที่ลองใช้งานมากว่า 2 สัปดาห์ ต้องยอมรับเลยว่าช่วงสัปดาห์แรกแอบไหลอยู่บ้างจริง ๆ แต่หลังจากเข้าสัปดาห์ที่ 2 ก็เริ่มเข้าที่มากขึ้น อยู่ในเกณฑ์ปกติแล้วล่ะครับ
ระบบชาร์จใหม่ Super Fast Charge
ช่วงแรกแบตฯจะไหลไม่เป็นไร เพราะยังดีที่ Note 10 | Note 10+ นั้นมาพร้อมกับระบบชาร์จไวใหม่ Super Fast Charge 25W ทั้งคู่ ช่วยให้การชาร์จนั้นเต็มไวขึ้นกว่ารุ่นก่อนเยอะเลย เรียกว่าเป็นชาร์จไวได้เต็มปากแล้ว
ในส่วนของ Note 10+ นั้นรองรับการชาร์จแบบ 45W ด้วย แต่ต้องซื้ออุปกรณ์แยกอะเนอะ เท่าที่ใช้งานมาตัว 25W ก็เร็วมาก ๆ แล้ว ถ้าไม่ได้ต้องการด่วนมากขนาดนั้นก็ใช้ของที่แถมมาในกล่องก็ได้ครับ
เวลาเสียบชาร์จจะมีโชว์สถานะแบตฯค้างไว้แบบนี้แล้วด้วย ไม่ได้มืดสนิทเหมือนตอน S10 เนอะ ตรงนี้ก็ดีครับ ไม่ต้องมาคอยเคาะจอเพื่อเช็คสถานะแบตฯตลอด ๆ
ฟีเจอร์ PowerShare ก็มีให้ใช้งานเหมือนเดิม จะใช้ชาร์จมือถือด้วยกันหรือชาร์จอุปกรณ์เสริมก็ได้ สะดวกดีเวลาพวกอุปกรณ์เสริมแบตจะหมดแล้วไม่ได้พกพาวเวอร์แบงค์ไปน่ะนะ และแน่นอนทั้ง 2 รุ่นยังใช้งานระบบชาร์จไร้สายได้เหมือนเคยครับ
สรุป
สรุปปิดท้ายให้เลยละกัน สำหรับ Galaxy Note 10 | Note 10+ รอบนี้ก็จัดหนักจัดเต็มมาทุกด้าน ทั้งในเรื่องของดีไซน์ที่ปรับโฉมมาให้น่าใช้งานมากขึ้น สวยทั้งหน้าจอและสีสันที่มีให้เลือก สเปคภายในที่จัดเต็มขึ้นแบบไม่กั๊ก พร้อมชนทุกเรือธงในท้องตลาดตอนนี้ ใช้งานได้ครอบคลุมรวมถึงฟีเจอร์อันมากมายที่เหมาะสำหรับ Power User ที่ต้องการใช้งานอย่างหนักหน่วงซึ่งทั้ง 2 ไซส์นี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง กล้องที่ดูเหมือนจะไม่มีตัวเลขสูงไปชนคู่แข่งสักเท่าไหร่ แต่โดยรวมกล้องของ Samsung ก็ยังคงทำให้เราประทับใจได้ไม่น้อย ถ่ายง่ายและผลลัพธ์ยอดเยี่ยม อีกจุดที่จะพูดถึงเลยไม่ได้ก็คือปากกา S Pen ยังคงให้เราได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ได้เหมือนเดิม ฉลาดขึ้นด้วยลูกเล่นพวกคำสั่งด้วยท่าทาง เอาจริง ๆ ก็ดูเหมือนเป็นกิมมิคเล็ก ๆ แต่มันก็ดีกว่าทื่อ ๆ ไม่มีลูกเล่นล่ะนะ โดยรวมแล้ว Galaxy Note 10 | Note 10+ ก็จัดว่าเป็นเรือธงท็อปสุดที่จัดมาครบทุกด้านจริง ๆ !! ส่วนจะเลือกรุ่นไหน ชอบไซส์เล็กกะทัดรัด หรือใหญ่เต็มอิ่มไปเลย อันนี้ได้ทั้งหมดครับ ฟีเจอร์หลัก ๆ มาทั้งคู่เนอะ :D
Galaxy Note 10 และ Note 10+ ต่างกันยังไง หาคำตอบได้ที่นี่
จุดเด่น
- หน้าจอแสดงผลได้อย่างยอดเยี่ยม จอเต็มชิดขอบมากขึ้น
- ดีไซน์สวยเครื่องเงางาม
- สเปคเร็วแรง ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
- ขนาดเครื่องจับถนัดมือมากขึ้น ไม่หนาจนเทอะทะ
- แบตเตอรี่อึดใช้ได้ ทำงานต่อเนื่องได้สบาย
- กล้องหลังยังคงไว้ใจได้
- มีปากกา S Pen นี่แหละทีเด็ด
- รองรับระบบชาร์จไว 25W แล้ว
- มีให้เลือก 2 ไซส์แล้ว
จุดสังเกต
- รุ่น Note 10 ปกติไม่สามารถเพิ่ม micro-SD ได้
- ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม. แล้ว
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite