Xiaomi เปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ 3 รุ่นในประเทศจีนวันนี้ ได้แก่ Redmi Note 11 Pro และ Redmi Note 11 Pro+ และ Redmi Note 11 รุ่นราคาประหยัดกว่า โดยในรุ่น Pro ทั้ง 2 รุ่นนั้นจะเหมือนกันทุกประการ นอกเหนือจากความแตกต่างที่สำคัญเพียงข้อเดียว คือ รุ่น Plus ให้การชาร์จที่รวดเร็ว 120W ในขณะที่รุ่น Pro ปกติมีแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่า
Redmi Note 11 Pro และ Redmi Note 11 Pro+
โทรศัพท์ทั้ง 2 เครื่องนี้มาพร้อมดีไซน์ภายนอกที่เหมือนกันครับ คือมีหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว อัตราการรีเฟรช 120Hz และอัตรา touch-sampling rate 360Hz และมีรูเจาะกล้องเซลฟี่ขนาดเล็กเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 2.96 มม.
ข้างในมีชิปเซ็ต Dimensity 920 และหน่วยความจำ 3 รุ่น คือ RAM 6/128GB, 8/128GB และ 8/256GB
จุดเด่นของ Redmi Note 11 Pro+ คือการชาร์จอย่างรวดเร็ว 120W ที่เติมแบตเตอรี่ 4,500mAh 0-100% ได้ในเวลาประมาณ 15 นาทีเท่านั้น
ในขณะที่รุ่น Pro ไม่มีพลัสจะลดอัตราการชาร์จลงเหลือ 67W ซึ่งก็ยังถือว่าเร็วมาก และจะได้แบตเตอรี่ขนาด 5,160mAh ที่ใหญ่ขึ้นอีกด้วย
ที่ด้านหลังมีเกาะกล้องขนาดใหญ่สำหรับกล้อง 3 ตัว คือ กล้องหลัก 108MP พร้อมเซ็นเซอร์ Samsung HM2 แบบเดียวกับบน Redmi Note 10 Pro รุ่นก่อน + กล้องอัลตร้าไวด์ 8MP พร้อม FoV 120 องศา และกล้องเทเลมาโคร 2MP ส่วนกล้องหน้ามีเซ็นเซอร์ 16 ล้านพิกเซล
โทรศัพท์มีแจ็คเสียง 3.5 มม. และลำโพงสเตอริโอที่ปรับจูนโดย JBL และมีจุดเด่นอยู่ที่ audio chambers ขนาด 0.65 ลูกบาศก์มม. 2 ช่องที่ด้านข้าง ที่ช่วยเพิ่มมิติเสียงอีกด้วย
Redmi Note 11 Pro Series ทั้งสองเครื่องมีช่องเสียบ 2 ซิม แต่ไม่มีช่อง microSD Card รัน Android 11 โดยมี MIUI 12.5 ครอบอยู่ด้านบน
Redmi Note 11
ในขณะที่ Redmi Note 11 มีดีไซน์คล้ายกับพี่น้องรุ่นโปร แต่มีการปรับลดสเปคเล็กน้อย โดยมาใช้ชิปเซ็ต Dimensity 810 มาพร้อมกับตัวเลือกหน่วยความจำ 4 แบบ RAM 4/128GB, 6/128GB, 8/128GB และ 8/256GB
ที่ด้านหน้า มาพร้อมหน้าจอ LCD ขนาด 6.6 นิ้วที่มีความละเอียด Full HD+ และอัตราการรีเฟรช 90Hz ด้านหลังมีเกาะกล้องขนาดใหญ่เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่มีกล้อง 2 ตัวเท่านั้น คือกล้องหลัก 50MP และกล้องอัลตร้าไวด์ 8MP และด้านหน้ามีกล้องเซลฟี่ 16MP
ด้านแบตเตอรี่ก็มีการดาวน์เกรดลงอีกเล็กน้อยครับ โดย Note 11 มีการชาร์จอย่างรวดเร็ว 33W สำหรับแบตเตอรี่ 5,000mAh ซึ่งชาร์จจาก 0 ถึง 100% ใน 62 นาที (ไม่ได้แย่นะ) และใช้การสแกนนิ้วด้านข้างบริเวณปุ่ม power
ส่วนอื่นๆ คือมาพร้อมแจ็คเสียง 3.5 มม. ลำโพงสเตอริโอ และเซ็นเซอร์ IR รวมถึงรัน Android 11 ที่มี MIUI 12.5 อยู่ด้านบน และ Redmi Note 11 ไม่มีช่องเสียบ micro SD เช่นเดียวกับโทรศัพท์รุ่น Pro
Redmi Note 11 จะวางจำหน่ายในสี Gradient, Black และ Mint Blue และเริ่มต้นที่ 1,199 หยวนจีน (ประมาณ 6,200 บาท) และจะขายแบบแฟลชครั้งแรกในวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน
ต่อมา Redmi Note 11 Pro จะตามมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน ในสี Black, Aurora Gradient, Violet หรือ Forest Green ราคาเริ่มต้นที่ 1,699 หยวน (ประมาณ 8,800 บาท)
และสุดท้าย Redmi Note 11 Pro+ จะวางจำหน่ายในวันเดียวกัน มีราคาเริ่มต้นที่ 1,999 หยวนจีน (ประมาณ 10,300 บาท) โดยมีสีเหมือนรุ่นที่แล้วยกเว้นสีเดียวคือสี Gradient
Redmi Note 11 Pro+ ยังมีรุ่นพิเศษ Yibo Design ที่มาพร้อมสีเขียวพร้อมแถบแฟนซีและมีเอฟเฟกต์ 3D บริเวณโลโก้ Redmi บนกระจกด้านหลัง โดยเปิดราคาที่ 2,699 หยวนจีน (ประมาณ 14,000 บาท) และจะเปิดตัวในวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันหยุดช้อปปิ้งของจีนที่เรียกว่าวันคนโสด Singles’ Day นั่นเอง
source: gsmarena