ตามข้อมูลของ Stock Apps เปิดเผยว่าในเดือนกรกฎาคม จำนวน 67% ของประชากรโลก หรือประมาณ 5.3 พันล้านคน มีโทรศัพท์มือถือตามเป็นของตัวเอง ซึ่งเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้ว ระบุว่ามีผู้ใช้ใหม่เพิ่มขึ้นสูงถึง 117 ล้านคน
แต่อย่างไรก็ตาม ยุโรปถือเป็นภูมิภาคชั้นนำในปีที่แล้ว โดย 86% ของประชากรทั้งหมดมีโทรศัพท์มือถือใช้ แต่ตอนนี้ตลาดมีความอิ่มตัวอย่างมาก เนื่องจากการคาดการณ์สำหรับปี 2025 ผู้ใช้จะเพิ่มเป็น 87% เท่านั้น ดังนั้นจึงแทบไม่มีการเติบโตใดๆ เลย
ถัดมาเป็นอเมริกาเหนือที่มีสถิติใกล้เคียงกัน โดยตามหลังเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ในขณะที่จีน ฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวันทั้งหมดอยู่ในระดับเดียวกัน คือ 83% ของประชากรที่เป็นเจ้าของโทรศัพท์แล้ว ส่วนตลาดที่มีส่วนแบ่งการถือครองโทรศัพท์มือถือน้อยที่สุดคือภูมิภาคย่อยของทะเลทรายซาฮารา แอฟริกา ซึ่งผู้คนมีโทรศัพท์ใช้น้อยกว่า 50%
และโปรดทราบว่า ในจำนวน 5.3 พันล้านคนดังกล่าว เป็นเพียงจำนวนผู้ที่มีโทรศัพท์อย่างน้อยหนึ่งเครื่อง ซึ่งบางคนมีอุปกรณ์เพิ่มเติมที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายมือถือด้วย และจากยอดดังกล่าว 73% เป็นการเชื่อมต่อของสมาร์ทโฟน นอกจากนั้นเป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออื่นๆ เช่น แท็บเล็ต แล็ปท็อป และเราเตอร์ โดยมีส่วนแบ่งตลาดเพียงเล็กน้อย 3.8%
และจากการระบาดใหญ่ส่งผลให้ปริมาณการใช้ข้อมูลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 68% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งแตะ 66 เอ็กซาไบต์ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2021 (นั่นคือ 66 ล้านเทราไบต์) อุปกรณ์ Android คิดเป็น 73% ของการรับส่งข้อมูลนั้น ส่วนอุปกรณ์ iOS อยู่ที่ 26.3%
ค่าเฉลี่ยทั่วโลกสำหรับข้อมูลมือถือ 1GB คือ 4.07 ดอลลาร์ (ประมาณ 131 บาท) โดยประเทศที่มีค่าเน็ตแพงสุดคือชาวกรีก ที่มีค่าเน็ตแพงเป็นสองเท่าของค่าเฉลี่ย หรืออยู่ที่ 8.16 ดอลลาร์ (ประมาณ 264 บาทต่อ GB) รองมาเป็นผู้ใช้ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และนิวซีแลนด์กับราคา 7.62 ดอลลาร์และ 6.99 ดอลลาร์ต่อกิกะไบต์ตามลำดับ ส่วนประเทศอิสราเอลมีข้อมูลที่ถูกที่สุดที่ 1GB ราคาเพียง $0.05 (1.6 บาทโดยประมาณ) รองลงมาคืออิตาลี (0.27 ดอลลาร์) และรัสเซีย (0.29 ดอลลาร์) ผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรจ่ายโดยเฉลี่ย $3.33 และ $1.42 ต่อกิ๊ก
source: gsmarena