สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความแกะกล่องมือถือรุ่นใหม่กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย และแล้ว iPhone 12 ก็วางจำหน่ายในบ้านเราอย่างเป็นทางการเรียบร้อยครับ เราก็ไม่รอช้าไปสอยมาแกะกล่องให้เพื่อน ๆ ได้ชมกันในทันใด รอบนี้ก็ถือว่ามีการปรับเปลี่ยนไปหลายอย่างจากรุ่นก่อน ตั้งแต่กล่องไปจนถึงตัวเครื่องเลยล่ะ จะน่าสนใจแค่ไหน อย่ารอช้า มาติดตาม แกะกล่องพรีวิว iPhone 12 ไปพร้อม ๆ กันเลยครับ :D
แกะกล่อง iPhone 12
ก่อนอื่นมาดูตัวกล่องกันก่อนเลย น่าจะทราบกันอยู่แล้วว่า iPhone 12 ปีนี้ Apple เลือกตัดหูฟังและอะแดปเตอร์ออกจากในกล่องด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม ที่ลดการใช้งานพลาสติกลงพร้อมให้เสริมว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่มักมีอะแดปเตอร์อยู่แล้วเลยไม่อยากเพิ่มขยะอิเล็กโทรนิคอีก ตัวกล่องเลยมีความบางเฉียบกว่ารุ่นก่อน ๆ อย่างมากเลยทีเดียว เป็นแพ็กเกจที่พกง่ายดีจริง ๆ
ที่หน้ากล่องรอบนี้จะสลับกลับมาใช้ภาพด้านหน้าอีกครั้ง (ตอน iPhone 11 ใช้ภาพด้านหลัง) ซึ่งหน้ากล่องก็จะระบุสีสันของ Wallpaper ตามสีเครื่องเลยด้วย ซึ่งสีที่เราเลือกมารีวิวนี้ก็คือสี...ครับ Wallpaper ก็จะเป็นสี...ตามไปด้วยเลย
เปิดกล่องออกมาชั้นแรกก็จะเจอกับตัวเครื่องที่คว่ำหน้าโชว์สีฝาหลังได้อย่างชัดเจน รอบนี้ Apple เลือกลดพลาสติกในกล่องลงด้วยตัวพลาสติกที่หุ้มตัวเครื่องไว้แบบรุ่นที่แล้วก็ไม่มีแล้วครับ จะเหลือแค่แผ่นฟิล์มกระดาษสีขาวติดมาที่ตัวหน้าจอเท่านั้น ฝาหลังก็โชว์โล่ง ๆ งี้เลยล่ะ
ยกตัวเครื่องขึ้นมาก็จะเจอกับซองเอกสารและสายชาร์จเลย ไม่มีอะแดปเตอร์และหูฟังมาให้ก็ทำให้กล่องดูเล็กดีจริง ๆ ตัวเอกสารรอบนี้ลดขนาดลงมาครึ่งหนึ่ง เช่นเดียวกับสติกเกอร์ Apple ที่ปกติจะมี 2 ผลรอบนี้ก็เหลือ 1 ผลแล้วด้วย
ส่วนสายชาร์จก็เป็นแบบมาตรฐานใหม่ Lightning to USB type-C แทน ต่างจาก iPhone 11 รอบที่แล้วที่เป็นแบบ Lightning to USB type-A ครับ นั่นเท่ากับว่าใครที่ใช้ iPhone 11 เดิมอยู่หรือรุ่นเก่ากว่านั้นก็คงต้องซื้ออะแดปเตอร์ใหม่เพิ่มอยู่ดี แหม่ ไม่ได้รักษ์โลกเท่าไหร่เนาะ
อะ...ก็ตัดออกไปซะขนาดนั้น เบ็ดเสร็จแล้วอุปกรณ์ภายในกล่องของ iPhone 12 ก็มีแค่นี้ครับ 3 อย่างหลัก ๆ
- ตัวเครื่อง iPhone 12
- เอกสารคู่มือสติกเกอร์
- สายชาร์จ Lightning to USB type-C
ดีไซน์ที่คุ้นเคย เหลี่ยมไปหมดแล้ว
ได้เวลายลโฉมตัวเครื่องกันแล้ว iPhone 12 มาพร้อมดีไซน์โฉมใหม่ เอ...หรือจะเรียกโฉมเก่าดี กลับไปใช้ดีไซน์แบบขอบเหลี่ยม หน้าจอฝาหลังแบนราบเหมือนตอน iPhone 5 นั่นเองครับ ทำให้ตัวเครื่องวลาเราจับถือจะให้ความรู้สึกที่ชิดติดมือกว่าเดิมจับได้ถนัดมือกว่าเดิม ไม่ลื่นไปจากมือเท่ากับรุ่นก่อน แม้จะไม่มีความโค้งรับกับรูปมือก็ตาม
น้ำหนักของตัวเครื่องก็เบาลงมาก อยู่ที่ 164 กรัมเท่านั้น ถ้าใครที่เคยถือ iPhone 11 มาก่อนบอกเลยว่า จับ iPhone 12 ครั้งแรกแล้วต้องรู้สึกเลยว่า “เบามาก” เครื่องเบาหวิวเลย การถ่ายเทน้ำหนักก็ทำได้ดีไม่หนักที่หัวหรือท้ายจนเกินไปอีกต่างหาก
หน้าจอ Super Retina XDR แล้ว OLED สักที
ที่หน้าจอก็จะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถ้าเทียบกับรุ่น iPhone 11 เดิม iPhone 12 เปลี่ยนมาใช้หน้าจอ Super Retina XDR หรือจอ OLED ความละเอียดสูงเรียบร้อย สีสันและความคมชัดยอดเยี่ยมกว่าเดิมเยอะ แถมยังทำให้ตัวหน้าจอบางลง ขอบจอก็ชิดขึ้นอีกด้วย ในขณะที่หน้าจอยังขนาด 6.1” เท่าเดิม เทียบสัดส่วนแล้ว iPhone 12 จะเล็กลงกว่า iPhone 11 ถึง 15% เลยทีเดียว
ตัวหน้าจอก็อย่างที่บอกไปว่ารอบนี้ปรับมาให้เป็นแบบแบนราบไปเลย ไม่มีมุมโค้ง 2.5D เหมือนรุ่นก่อนแล้ว ที่กระจกหน้าจอของ iPhone 12 ก็จะใช้กระจกจาก Corning ที่มีการเคลือบ Ceramic Shield ตรงนี้ Apple เคลมว่าทนการตกแตกได้มากกว่ารุ่นก่อนอีก 4 เท่า ซึ่ง...เราก็คงไม่ลองให้ดูเนาะ รู้ว่ามันทนขึ้นก็พอ
ส่วนติ่งขนาดใหญ่บนสุดของหน้าจอก็ยังไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด มีขนาดเท่าเดิมเลย มีตัว FaceID, Dot Projector เซ็นเซอร์จับระยะต่าง ๆ อยู่ครบที่ด้านบนครับ
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลังกระจกก็จะเป็นแบบแบนราบไปเลยเหมือนกัน ผิวสัมผัสเป็นแบบมันวาว ก็เก็บคราบรอยนิ้วมือได้ง่ายอยู่แหละ ส่วนที่มุมสี่เหลี่ยมข้างบนที่เลนส์กล้องจะเป็นกระจกผิวด้านแทนครับ ให้ฟิลแบบ Two-Tone ดีอะ
กรอบตัวเครื่องก็จะเหลี่ยมไปหมด ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมผิวสัมผัสจะเป็นแบบด้านตรงนี้ลงตัวเมื่อสัมผัสพร้อมกับฝาหลังที่มีความมันวาวอะเนาะ ส่วนความเหลี่ยมที่เพิ่มขึ้นนี้ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าบาดมือตามที่เป็นข่าวเลย กำแน่น ๆ ยังไม่เจ็บเลย
ตำแหน่งปุ่มกดก็วางไว้เหมือนเดิมครับ ด้านขวามือปุ่ม Sleep/Wake และใช้งานเป็นปุ่มเรียก Siri ได้ด้วย ปุ่มมีขนาดใหญ่ใช้ได้เลย
ส่วนด้านซ้ายจะมีปุ่ม Silent และปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงครับ ตำแหน่งของช่องใส่ซิมรอบนี้ก็มีการขยับมาไว้ฝั่งซ้ายแทน (iPhone 11 อยู่ฝั่งขวา)
ถาดซิมของเครื่องศูนย์ไทยก็จะเป็นแบบ Single-SIM เลย ใส่ได้ฝั่งเดียว และแน่นอนรองรับ 5G ครับ
ด้านล่างจะมีพอร์ตการเชื่อมต่อที่รุ่นนี้ก็ยังคงใช้พอร์ต Lightning เหมือนเดิม พร้อมกับช่องไมโครโฟนและลำโพงอยู่ข้าง ๆ ครับ
ด้วยความที่ตัวเครื่องมีการปรับดีไซน์ให้เหลี่ยมมากขึ้นแล้ว เราก็สามารถวางเครื่องในแนวตั้งได้เลยโดยไม่ต้องพิงอะไรทั้งนั้น เจ๋งดีเนาะ
โดยรวมในเรื่องดีไซน์ iPhone 12 ภายนอก ถ้ามองเผิน ๆ ก็คงไม่ได้แตกต่างไปจากรุ่นก่อนมากนัก เพราะยังมีติ่งหน้าจอขนาดใหญ่อยู่ แต่ถ้าได้ลองสัมผัสจะรู้เลยว่าสัมผัสมันต่างออกไปเยอะทีเดียว ทั้งความเหลี่ยมที่ชวนให้เราคิดถึง iPhone 5 จริง ๆ ตัวเครื่องทำได้เล็กลงและบางเพียง 7.4 มม. แถมยังเบามาก ๆ อีกต่างหาก
สเปค iPhone 12
- หน้าจอ OLED 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล (19.5:9)
- หน่วยประมวลผล Apple A14 Bionic Hexa-Core (5 nm)
- แรม 4GB
- ความจุ 64GB/128GB/256GB
- แบตเตอรี่ 2815 mAh
- กล้องหน้า 12MP f/2.2
- กล้องหลังคู่
- 12MP กล้องหลัก f/1.6
- 12MP เลนส์ Ultra Wide f/2.4
- ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.4
- น้ำหนัก 164 กรัม
- รองรับ 2 ซิม (NANO-SIM + eSIM)
- รองรับระบบสแกนใบหน้า Face ID
- กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 (ลงน้ำได้ลึก 6 เมตรนาน 30 นาที)
- รัน iOS 14.1
ในส่วนของสเปคเครื่อง iPhone 12 นั้นก็อัปเกรดขึ้นมาอีกขั้นด้วยชิปเซ็ตตัวใหม่ Apple A14 Bionic ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ 5nm แรงขึ้นไปอีก ได้แรมมา 4GB ความจุยังมีให้เลือก 3 ความจุเหมือนเดิมคือ 64GB, 128GB และ 256GB ครับ
5G ครั้งแรกบน iPhone
อีกเรื่องที่ iPhone 12 อัปเกรดใหม่มาก็คือ 5G ทั้ง 4 รุ่นใหม่ที่เปิดตัวมาปีนี้สามารถใช้งาน 5G ได้ทั้งหมด และแน่นอนว่าพร้อมใช้งานตั้งแต่วันแรก เพียงแค่อัปเดตซอฟต์แวร์แล้วใส่ซิมก็ใช้งานได้ทันทีครับ
Night mode มาแล้วในทุกเลนส์
เรื่องกล้องถ้ามองจากสเปคแล้ว iPhone 12 ไม่ได้อัปเกรดขึ้นจากรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัดนัก เพิ่มขนาดรูรับแสงเป็น f/1.6 (จากเดิม f/1.8) ในกล้องหลัก นอกนั้นก็เหมือนเดิมครับ ทั้งเลนส์ Ultra Wide หรือกล้องหน้า แต่ทีเด็ดที่อัปเกรดจริง ๆ คงเป็น Night mode ที่รอบนี้เราสามารถใช้งานได้ทั้ง 3 เลนส์เลย จะ Wide, Ultra Wide หรือกล้องหน้าก็ใช้ได้ด้วย
วิดีโอ Dolby Vision รุ่นแรก
ส่วนเรื่องวิดีโอ iPhone 12 เก่งขึ้นด้วยการรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Dolby Vision HDR เก็บแสงและรายละเอียดบนคลิปได้ดียิ่งขึ้น บน iPhone 12 จะบันทึกได้สูงสุด 30fps แต่ถ้ารุ่น Pro จะเป็น 60fps แทนครับ
สรุปหลังแกะกล่อง
ก็ถือว่าว้าวสมการรอคอยครับ iPhone 12 รอบนี้ปรับดีไซน์ใหม่จนเรียกว่าถูกใจเลย ขอบหนาเตอะ จอ LCD ความละเอียดต่ำจาก iPhone 11 หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงหน้าจอ OLED แสดงผลได้เต็มตาบนตัวเครื่องบาง ๆ และเบาแบบประทับใจ ดีไซน์เหลี่ยมที่นำกลับมาใช้ก็ถูกใจ สวยทรงเหลี่ยมจับถือได้ดีเลย 5G ก็มาแล้วด้วย ถูกใจเลยสปีดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เรื่องกล้องยังแอบเฉย ๆ ก็ตามมาตรฐานแหละ ไม่ได้อัปเกรดขึ้นมาเยอะมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และนี่คือความรู้สึกแรกหลังสัมผัส iPhone 12 เนาะ ไว้เราขอไปใช้งานจริงอีกสักหน่อย เดี๋ยวมีรีวิวฉบับเต็มให้อ่านกันเหมือนเคยครับ :D
ราคาและสีที่มีจำหน่าย
ปิดท้ายกันที่ราคาค่าตัวเลยละกัน สำหรับ iPhone 1/ นั้นมีให้เลือกด้วยกัน 3 ความจุอย่างที่บอกไปคือ 64GB, 128GB และ 256GB และมีให้เลือกด้วยกัน 5 สีคือ ดำ, ขาว, เขียว, น้ำเงิน และแดง (Product RED) ครับ โดยราคาของแต่ละความจุจะตามด้านล่างนี้เลย
iPhone 12 (64GB) = 29,900 บาท
iPhone 12(128GB) = 31,900 บาท
iPhone 12 (256GB) = 35,900 บาท
พรีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite