Review Galaxy S20 FE 5G
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับรีวิว Galaxy S20 FE 5G สมาร์ทโฟนสุดคุ้มค่าที่เรียกว่าออกมาเพื่อแฟน ๆ Samsung อย่างแท้จริงเลยทีเดียว เพราะคำว่า FE นี้แท้จริงแล้วย่อมาจากคำว่า “Fan Edition” นั่นเอง มาพร้อมความน่าสนใจหลายอย่างทั้งสเปคที่ครบครัน ดีไซน์ที่ลงตัว กล้องครบช่วงและที่สำคัญราคาเปิดตัวเปิดมาดีมาก ๆ อีกต่างหาก ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไรบ้าง ติดตามได้ในรีวิว Galaxy S20 FE 5G กันได้เลยดีกว่าครับ :D
ดีไซน์
ดีไซน์ที่ลงตัวในแบบที่แฟน ๆ ต้องการ
เริ่มต้นกันที่ดีไซน์กันก่อนเลย Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมหน้าจอแบบแบนที่ถูกใจสาวก Samsung แน่นอน ใช้ดีไซน์แบบ Infinity-O Display ที่มีรูกล้องหน้าอยู่ตรงกลางขนาดเล็ก ไม่เด่นจนกวนสายตาเราเกินไป และวางตำแหน่งได้ดีตรงกลางไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่งให้ความรู้สึกที่สมมาตรดีทีเดียว
ในเรื่องการแสดงผล Samsung ทั้งทีก็ต้องใช้ Super AMOLED ที่มีความสวยงามสีสันคมชัดอยู่แล้ว ขนาดหน้าจอของรุ่นนี้ก็ใหญ่กำลังดีเลยที่ 6.5” อัตราส่วนเป็น 20:9 พร้อมความละเอียดระดับ FHD+ ในเรื่องการแสดงผลทำได้ดีแบบไม่ต้องห่วงอยู่แล้ว แต่ในเรื่องขอบหน้าจอเรายังเห็นถึงขอบดำอยู่บ้าง เมื่อเทียบกับรุ่นอื่น ๆ ในซีรีส์ S20 อะเนอะ
120Hz ลื่นไหลระดับเรือธง
ส่วนอีกจุดที่ทำได้ยอดเยี่ยมบนรุ่นนี้ก็คือมาพร้อม refresh rate สูงถึง 120Hz ทำให้การตอบสนองบนหน้าจอนั้่นทำได้ดีมาก ลื่นไหลแบบสุด ๆ ติดนิ้วทุกการใช้งาน แถมตัว Touch Sampling rate ก็สูงถึง 240Hz เลยด้วย ไวแบบระดับเรือธงจริง ๆ
เหนือหน้าจอเราจะเห็นรูกล้องหน้าขนาดเล็กอย่างที่บอกไป พร้อมลำโพงสนทนาอยู่เหนือขึ้นไปบนหน้าจอ รุ่นนี้เจ๋งตรงที่สามารถใช้งานลำโพงพร้อมกับลำโพงหลักของตัวเครื่องเป็นลำโพง Stereo ได้ด้วยนะ ไม่ธรรมดาเลย
บนหน้าจอก็มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่บนหน้าจอด้วย ช่วยให้ปลดล็อคได้อย่างรวดเร็วและวางตำแหน่งได้ดีเลย ไม่ต่ำหรือสูงจนเกินไป
บอดี้หรูหราตามซีรีส์เรือธง
กรอบตัวเครื่องของ Galaxy S20 FE จะหรูหราด้วยวัสดุโลหะขัดเงา มีความสวยงามและผิวสัมผัสที่แตกต่างจากพวก Galaxy A Series อยู่พอสมควรเลย ความบางของตัวเครื่องจะอยู่ที่ 8.4 มม. บางกำลังดีและให้ความรู้สึกที่แน่นหนาที่มือใช้ได้เลย
ปุ่มกดต่าง ๆ ก็อยู่ที่ด้านขวามือของตัวเครื่องทั้งหมดแบบเดียวกับ Galaxy S20 รุ่นอื่น ๆ วางตำแหน่งให้กดได้ดีไม่ต้องเอื้อมนิ้วไปกดให้ยากครับ
พอร์ตการเชื่อมต่อจะอยู่ด้านล่างของตัวเครื่องทั้งหมด ใช้พอร์ตการเชื่อมต่อหลักเป็น USB Type-C, มีไมโครโฟนสำหรับสนทนา, ลำโพงหลักของตัวเครื่อง ส่วนช่องหูฟังก็ตัดออกไปเรียบร้อยตามรุ่นพี่ ตรงนี้อาจไม่ถูกใจแฟน ๆ เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นปัญหาใหญ่เนาะ ส่วนใหญ่ก็ไม่มีมาให้แล้วช่องหูฟังเนี่ย
ส่วนด้านบนก็จะมีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน และช่องใส่ซิมการ์ดครับ ซึ่งตัวถาดซิมของ Galaxy S20 FE 5G นี้ก็จะเป็นแบบ Hybrid Slot มี 2 ฝั่ง โดยช่องใส่ micro-SD จะอยู่ที่ฝั่งซิมการ์ดที่ 2 โดยจะต้องเลือกว่าถ้าจะใส่ซิม 2 หรือใส่ micro-SD ครับ ใส่พร้อมกันไม่ได้
ฝาหลังผิวด้าน งานประกอบดูดี
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลังกันต่อเลย Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมฝาหลังแบบพลาสติกผิวด้าน ตรงนี้ Samsung ใช้ชื่อเรียกว่า Reinforced Polycarbonate แบบเดียวกับที่ใช้บน Note20 นั่นเอง ผิวสัมผัสให้ความรู้สึกที่ดี ไม่เก็บรอยนิ้วมือเท่าแบบกระจกมันวาว น่าจะตอบโจทย์แฟน ๆ ได้เป็นอย่างดีเนาะ
ส่วนเรื่องวัสดุก็ถือว่าทำได้ดีเลย แม้ว่าจะใช้พลาสติกแต่ถ้าจับถือดูจริง ๆ ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นครับ ยังมีความพรีเมี่ยมของตัวผิวสัมผัสที่เป็นแบบด้านอยู่ จับถือรวม ๆ กับกรอบเครื่องที่เป็นโลหะที่มีความเย็นอยู่ก็ได้ความพรีเมี่ยมไม่แพ้รุ่นใหญ่ ๆ เลย โดยเฉพาะ Galaxy Note20 รุ่นนี้ให้อารมณ์แบบนั้นเป๊ะ
ดีไซน์กล้องหลังก็ยังคล้ายกันด้วย มีเลนส์กล้อง 3 ตัววางเรียงกันลงมาอยู่ในกรอบเลนส์แบบเด่น ๆ พร้อมไฟแฟลชที่วางอยู่ในมุมขวาได้อย่างเหมาะสมครับ
โดยรวมแล้วในเรื่องดีไซน์ของ Galaxy S20 FE 5G ก็ออกแบบมาได้สวยและลงตัวใช้งาน งานประกอบดูหรูหราด้วยฝาหลังผิวสัมผัสด้าน กรอบเครื่องเป็นโลหะมันวาวหน้าจอ Super AMOLED แบบแบนที่สีสันและความสว่างดี ขนาดตัวเครื่องที่บางและเบาแบบกำลังดีอีกด้วย จับครั้งแรกก็รู้สึกเลยว่าเข้ามือครับ
สำหรับสีสันของ Galaxy S20 FE 5G จะมีให้เลือกมากถึง 6 สี เอาใจแฟน ๆ โดยเฉพาะประกอบด้วย Cloud Navy, Cloud Mint, Cloud Lavender, Cloud Red, Cloud White และ Cloud Orange ครับ
สเปคและประสิทธิภาพ
ชิปเซ็ต Snapdragon ระดับเรือธง มาแล้ว !
มาเข้าเรื่องสเปคกันต่อเลย เรื่องชิปเซ็ตนี่แหละที่ถูกใจแฟน ๆ จริง ๆ เพราะ Galaxy S20 FE 5G นั้นมาพร้อมชิปเซ็ต Snapdragon 865 ตัวท็อปของปีนี้แล้ว หลังจากที่แฟน ๆ เรียกร้องกันมานาน แต่ต้องบอกก่อนว่ารุ่นที่จะได้ชิปเซ็ต Snapdragon มาต้องเป็นรุ่น 5G เท่านั้นนะครับ ถ้ารุ่น 4G ก็ยังคงเป็น Exynos 990 อยู่ เพราะฉะนั้นถ้าอยากได้ Snap อย่าซื้อผิดเด็ดขาด !
สเปค Galaxy S20 FE 5G
- หน้าจอ SuperAMOLED 6.5” FHD+ 120Hz
- หน่วยประมวลผล Snapdragon 865 (รุ่น 5G)
- แรม 8GB
- ความจุ 128GB/256GB
- รองรับ micro-SD สูงสุด 1TB
- แบตเตอรี่ 4500mAh
- รองรับชาร์จไว Super Fast Charge 25W
- รองรับชาร์จไร้สาย
- กล้องหน้า 32MP
- กล้องหลัง 3 ตัว 12MP + 12MP + 8MP
- กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- รัน Android 10 (OneUI 2.5)
- มีให้เลือก 6 สี
คะแนนสูงสุด ๆ ก็ Snapdragon นี่เนอะ
ในส่วนของประสิทธิภาพจากการทดสอบคะแนนของ Galaxy S20 FE 5G ก็เรียกว่าสูงสุด ๆ เราทดสอบคร่าว ๆ กับแอป AnTuTu Benchmark ก็ได้คะแนนออกมาสูงถึง 563882 คะแนนเลยทีเดียว สูงมาก สมกับเป็น Snapdragon 865 จริง ๆ
และคะแนนจากแอป GeekBench 5.0 ก็สูงไม่แพ้กันได้ออกมาที่ Single-Core 899 และ Multi-core 3091 คะแนนครับ
รองรับ 5G เลยตั้งแต่แกะกล่อง
นอกจากชขิปเซ็ต Snapdragon 865 จะทำประสิทธิภาพได้สูงแล้ว สิ่งที่เจ๋งอีกอย่างก็คือการรองรับ 5G ครับ ซึ่ง Galaxy S20 FE 5G นั้นรองรับ 5G เลยตั้งแต่แกะกล่อง ไม่ต้องรออัปเดตอะไรให้ยุ่งยากแล้ว ใส่ซิมที่รองรับและอยู่ในจุดที่มีสัญญาณ โลโก้ 5G ก็ขึ้นมาแบบนี้เลยครับ
และเมื่อเราลองทดสอบความเร็วก็ได้สูงระดับ 500 - 600Mbps เลย เร็วได้ใจยุคนี้จริง ๆ จะดาวน์โหลด ดูหนังแบบสตรีมมิ่ง หรือเล่นเกมออนไลน์ก็ตอบสนองการใช้งานได้แบบไม่มีสะดุดเลย
เล่นเกมก็ฟินไปหมด ปรับสุดได้ทุกเกม
ไหน ๆ ก็พูดเรื่องประสิทธิภาพแล้ว มาลุยเกมกันเลยดีกว่า Galaxy S20 FE 5G ใช้ชิปเซ็ตเรือธงอย่าง Snapdragon 865 แบบนี้ เกมฟอร์ตมยักษ์ใหญ่ ๆ ก็รองรับหมดแล้ว แน่นอนเล่นได้อย่างไม่มีสะดุดแน่นอน และเกมที่เราจะใช้ทดสอบในรอบนี้ก็มี 3 เกมฮิตประกอบด้วย Call of Duty, Asphalt 9 และ Genshin Impact นั่นเองครับ
เล่น Call of Duty บน Galaxy S20 FE 5G
เริ่มต้นกันที่เกมฮิตที่เราเล่นเป็นประจำอย่าง Call of Duty Mobile กันก่อนเลย อย่างที่บอกไปว่าสเปคระดับนี้ตัวเกมรองรับอย่างเต็มที่แน่นอน สำหรับเกมนี้เราสามารถปรับระดับกราฟิกได้ที่สูงสุด Very High และเฟรมเรต Max รวมถึงเปิดเอฟเฟกต์ Depth of Field, Bloom, Real-Time Shadows, Ragdoll, Anti-Aliasing ได้ครบหมด เรียกว่าสูงสุดเท่าที่จะปรับได้บนสมาร์ทโฟนตอนนี้แล้วครับ
และหลังจากที่เราปรับสูงสุดระดับนั้นแล้ว ตัวเกมก็ยังเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่ติดขัดอะไรเลย กราฟิกสวยและสมูทมาก ๆ บนหน้าจอ Super AMOLED 120Hz นี้ ตอบสนองการเล่นได้อย่างดี ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ถึง 6.5” เต็มตามาก ๆ ในการเล่น
เล่น Asphalt 9 บน Galaxy S20 FE 5G
ต่อมาก็เป็น Asphalt 9 เกมแข่งรถยอดฮิตที่กราฟิกสวยที่สุดบนสมาร์ทโฟน ด้วยชิปเซ็ตระดับเรือธงแบบนี้ก็สามารถปรับกราฟิกได้สูงสุดได้ที่ High Quality และเปิด 60fps ได้ด้วย ทำให้ได้คุณภาพของตัวเกมที่ยอดเยี่ยมเลย กราฟิกสวยความลื่นไหลเยี่ยม
ซึ่งเท่าที่ลองเล่นมาก็เฟรมเรต 60fps นั้นทำให้ภาพลื่นไหลดีมาก ๆ กราฟิกก็สวยแบบสุด ๆ เลย หน้าจอตอบสนองการสัมผัสได้เป็นอย่างดี หรือจะเล่นแบบเอียงเครื่องก็ไม่เจอปัญหาผิดเพี้ยนใด ๆ ครับ
เล่น Genshin Impact บน Galaxy S20 FE 5G
ปิดท้ายที่เกมกราฟิกสุดงามเครื่องไม่เจ๋งจริงรันไม่ไหวกับ Genshin Impact ในค่าเริ่มต้นตัวเกมจะปรับกราฟิกมาที่ระดับ Medium ก่อน แต่ด้วยสเปคระดับนี้จะทนเล่นภาพกลาง ๆ ไปทำไม เราปรับไปที่สูงสุดทั้งหมดพร้อมเปิด 60fps ด้วยเลย
แน่นอนว่าปรับสุดขนาดนี้ตัวเกมยังรันได้แบบสบาย ๆ เฟรมเรตลื่นไหลที่ระดับ 55 - 60fps ได้เลย ไม่เจออาการกระตุกแบบหนัก ๆ แม้จะใส่เวทปล่อยพลังกันแบบเต็มหน้าจอก็ตาม ลำโพงคู่ของ S20 FE 5G ก็ช่วยให้เราได้ยินบรรยากาศของเกมได้อย่างครบถ้วนอีกต่างหาก คือฟินเลยจริง ๆ
โดยรวมในเรื่องประสิทธิภาพการเล่นเกม Galaxy S20 FE 5G ทำได้ดีมากครับ ทั้งความลื่นไหลและการตั้งค่ากราฟิกเรียกว่าปรับไปได้สุดทุกเกม ไม่เจอปัญหาเลยด้วย ส่วนเรื่องอาการทัชเพี้ยนที่อาจจะได้ยินข่าวมาบ้าง เครื่องที่เรารีวิวก็อัปเดต Security Patch เดือนตุลาคมเรียบร้อย ไม่เจอปัญหาเหล่านั้นเลย เล่นได้อย่างถูกใจหายห่วงครับ
ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์การใช้งาน
OneUI 2.5 ซอฟต์แวร์ตัวใหม่ล่าสุดจาก Samsung
ในส่วนของซอฟต์แวร์การใช้งาน Galaxy S20 FE 5G นั้นมาพร้อมกับ Android 10 พร้อม OneUI 2.5 ตัวล่าสุดของ Samsung ตอนนี้ (ตัวเดียวกับ Note20)ใช้งานลื่นไหล ความสามารถต่าง ๆ มาครบแล้วล่ะครับ
มี Navigation Gesture ให้ใช้งาน เราสามารถใช้รูปแบบ Gesture แทนปุ่ม 3 ปุ่มด้านล่างได้ และรูปแบบก็จะเป็นการเลื่อนจากแถบล่างขึ้นมาเป็นโฮม เลื่อนจากฝั่งซ้ายหรือขวาเพื่อเป็นการย้อนกลับ ใช้งานได้สะดวก ส่วนตัวชอบการใช้งานมากกว่าแบบ 3 ปุ่มเดิมเยอะเลยครับ เลื่อน สไลด์ ปาด มันลื่นไปหมดแถมพอใช้งานบนหน้าจอ 120Hz แบบนี้ก็ยิ่งลื่นไปอีก
หน้า Edge Screen ก็มีให้ใช้งาน
ตัวหน้า Edge Screen หรือไอคอนที่มุมจอนั้นก็ยังไม่หายไปไหน แม้ตัวขอบหน้าจอของ S20 FE 5G จะไม่โค้ง แต่ฟีเจอร์นี้ก็ยังมีอยู่ ใช้การเลื่อนแถบที่มุมจอออกมา สะดวกดีต่อการใช้งานครับ บางครั้งเราอยากเข้าแอปแบบด่วน ๆ ก็เลื่อนเอาเลยจากมุมขวาของหน้าจอนี้ได้เลย
มี Dark Mode ให้ปรับใช้สวยงาม
ช่วยถนอมสายตาในการทำงาน จะตั้งให้เปิด-ปิดตามช่วงเวลาก็ได้ หรือจะเปิดตลอดไปเลยก็ได้เช่นกัน
สแกนใบหน้ามีสแกนนิ้วบนหน้าจอครบ
ในส่วนของระบบปลดล็อค Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมกับระบบสแกนใบหน้า Face Unlock มาตรฐานใช้กล้องหน้าสแกน ความเร็วทำได้ดีครับ มีฟีเจอร์ยกเครื่องเพื่อให้หน้าจอติดหรือเคาะหน้าจอ 2 ทีเพื่อปลุกหน้าจอได้ด้วย หรือจะเป็นการสแกนลายนิ้วมือในช่วงที่เราต้องใส่หน้ากากบ่อย ๆ แบบนี้ก็มีให้เลือกใช้คู่กันด้วย ทำงานได้เร็วดี แม้จะยังไม่ถึงระดับแตะปุ๊บติดปั๊บแต่ก็ไม่ช้าจนหงุดหงิดแล้วครับ
หน้าจอ 120Hz ลื่นไหลไปหมด ไถฟีดเร็วมาก
หน้าจอของ Galaxy S20 FE 5G นั้นให้มาแบบ 120Hz แน่นอนว่าใช้งานโซเชี่ยลหรือเข้าเว็บได้อย่างเร็วทันใจแน่นอน ตอยสนองการทำงานได้เป็นอย่างดี จะเอามาไถฟีด IG, Facebook ก็ถูกใจ เร็วแบบสัมผัสได้เลยล่ะ ใช้จนชินแล้วกลับไปใช้จอ 60Hz มาตรฐานคือกระตุกไปเลยนะ
จอ Super AMOLED สีสวย เต็มตาไปหมด
ต่อมาในเรื่องของความบันเทิง อย่างที่บอกไปว่าเรื่องหน้าจอ Samsung เขาถนัดอยู่แล้ว Galaxy S20 FE 5G ให้หน้าจอมาที่ 6.5” เป็น Super AMOLED ความละเอียด FHD+ แสดงผลสวยงามมาก อัตราส่วนก็เป็นแบบ 20:9 ด้วย ดูหนังหรือ MV นี่ขอบดำเหลือนิดเดียวเอง
หรือจะเป็นคลิปแบบ HDR รุ่นนี้ก็รองรับนะ แสดงผลได้สวยงามสีสันและความสว่างโดดเด่นขึ้นมาเลย ดูคอนเทนต์แบบ HDR บน YouTube หรือ Netflix ได้แบบไม่เสียอรรถรสเลยล่ะ
ลำโพงคู่รองรับ Dolby Atmos ด้วย
ส่วนเรื่องระบบเสียง Galaxy S20 FE รองรับลำโพงคู่ Stereo กระจายเสียงออกมา 2 ทิศทางชัดเจน เสียงที่ได้ก็ใช้ได้เลยครับ แถมมี Dolby Atmos ให้เลือกเปิดด้วย ได้มิติของเสียงมากขึ้นไปอีก แต่การใช้งานผ่านหูฟังรุ่นนี้ก็ต้องผ่านพอร์ต USB type-C หรือแบบไร้สายแทน แต่ในยุคนี้แล้วเรื่องหูฟังคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่แล้วล่ะมั้ง
กล้อง
กล้อง 3 ตัวช่วงครบ
เข้าสู่เรื่องกล้อง Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัวด้วยกัน มาพร้อมความละเอียด 12MP + 12MP + 8MP มีครบทุกช่วง ซึ่งถือว่าดีมาก ๆ เลยเพราะสมาร์ทโฟนยุคนี้มักให้กล้องมาแค่กล้องหลักและเลนส์เสริมอีกระยะเดียวเท่านั้น แต่ของรุ่นนี้จะมีมาให้ทั้งเลนส์ซูม เลนส์ Ultra Wide เลยด้วย โดยมีสเปคคร่าว ๆ ดังนี้
- 12MP เลนส์ Ultra Wide Angle f/2.2, มุมกว้าง 123 องศา
- 12MP เลนส์หลัก f/1.8, Dual Pixel, OIS
- 8MP เลนส์ Tele 3x, f/2.4, OIS รองรับ SpaceZoom 30x
อย่างที่เห็นว่าช่วงนั้นได้มาครบจริง ๆ จะมุมกว้างก็กว้างสุด ๆ ถึง 123 องศา เก็บมุมกว้างได้ถูกใจตามที่ Samsung เคยทำไว้ได้อย่างดี
หรือจะซูมก็ได้ที่ 3x แบบชัด ๆ ไม่เสียรายละเอียดจะซูมเข้าไปอีกหน่อยระดับ 5x - 8x ก็ยังคมมี AI คอยปรับภาพให้อยู่ หรือถ้าอยากไกลแบบสุด ๆ ก็มี Space Zoom ถึง 30x ตอบโจทย์ทุกการซูมจริง ๆ ครับ
ในส่วนของ UI การใช้งานกล้องก็ทำงานได้ง่าย มีไอคอนให้เลือกปรับระยะของเลนส์ชัดเจน กดสลับได้ทันทีมี AI Scene Optimizer มาช่วยเลือกซีนและปรับแต่งภาพให้เข้ากับภาพนั้น ๆ
โหมดการใช้งานก็มีมาให้ครบทั้ง Live Focus, Night Mode, Super Slowmotion, Pro Video และ Single Take ใหม่แบบเดียวกับที่มีบน S20 หรือ Note20 ก็มีมาให้ใช้งานแล้วด้วยครับ
ตัว Live Focus หรือโหมดหน้าชัดหลังเบลอก็มีให้เลือกใช้ถ่ายคนได้แบบสวยเนียนเป็นธรรมชาติ แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถใช้เลนส์ Tele 3x เพื่อถ่ายโหมดนี้ได้ ตัวกล้องจะล็อคไว้ที่เลนส์หลักระยะ 1x เท่านั้นในโหมด Live Focus นี้ครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ Galaxy S20 FE 5G อย่างที่บอกไปว่าเลนส์ทั้ง 3 ตัวของรุ่นนี้นั้นให้มาครบมาก ใช้งานได้ครบทั้งซูม มุมกว้างรวมถึงกล้องหลักคุณภาพเยี่ยมอีก ทำให้เราได้ภาพในทุกแบบ ถ่ายวิวก็สวย ซูมเข้าไปอีกนิดก็ดี แถมโหมดการใช้งานที่ให้มาก็ถือว่าครบเลย Live Focus ถ่ายได้สวยสกินโทนเคลียร์และเป็นธรรมชาติ หรือจะเป็น Bright Night mode กลางคืนก็สวยมากแบบไม่ต้องพึ่งขาตั้งกล้อง
กล้องหน้า 32MP เลยนะจ๊ะ
กล้องหลังได้ช่วงครบ ๆ ไปแล้ว กล้องหน้าก็ไม่น้อยหน้าได้ความละเอียดสูงระดับ 32MP มาให้เลย (แอบเยอะกว่า S20 กับ Note20 อีก) เซลฟี่ได้คมชัด มีโหมด Beauty และ Live Focus มาให้เลือกปรับได้อีกด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Galaxy S20 FE 5G
วิดีโอได้ 4K 60fps ทั้งหน้าและหลัง
ส่วนเรื่องวิดีโอ Galaxy S20 FE 5G สามารถปรับความละเอียดได้สูงสุดถึง 4K/60fps ทั้งกล้องหน้าและหลังเลย เรียกว่าในเรื่องวิดีโอก็แจ่มมาเลยใช้งานได้ครบ คุณภาพเยี่ยมครับ หรือจะเป็นในเรื่องของวิดีโอกันสั่นเทพก็มี Super Steady 2.0 ที่ใช้งาน OIS ร่วมกับ EIS มาปรับให้ได้ภาพวิดีโอแบบเนียน ๆ ไม่สั่นไหวอีกด้วย แต่โหมดนี้จะใช้ได้ที่ความละเอียด 1080p/30fps เท่านั้นครับ
แบตเตอรี่และระบบชาร์จ
แบตเตอรี่เยอะใช้งานได้จุใจ
เรื่องแบตเตอรี่ Galaxy S20 FE มาพร้อมกับแบตฯจุใจถึง 4500mAh เลย เยอะมาก เพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งวันแน่นอน เท่าที่ลองใช้งานจริง ๆ มาทำได้ดีจริง ๆ ครับสามารถใช้งานได้ราววันกว่า ๆ เลยต่อการชาร์จ 1 ครั้ง แต่ถ้าไม่ใช้งานหนักมากก็อึด 2 วันได้เลยล่ะครับ
รองรับชาร์จไว 25W
แบตฯเยอะขนาดนี้หลายคนคงกลัวว่าถ้าชาร์จจริงจะใช้เวลานานไหม อันนี้ไม่ต้องห่วงครับเพราะรุ่นนี้รองรับระบบชาร์จไว Super Fast Charge 25W ด้วย ชาร์จไวหายห่วงครับ แต่...อุปกรณ์ชาร์จในกล่องจะให้มาเป็นแบบ 15W เท่านั้นนะครับ ถ้าอยากชาร์จไวแบบสุดจริง ๆ ก็ต้องซื้ออุปกรณ์เสริมแยกกันอีกหน่อย
รองรับชาร์จไร้สายด้วย
เห็นวัสดุฝาหลังเป็นพลาสติกแบบนี้ แต่ Galaxy S20 FE 5G นั้นรองรับระบบชาร์จไร้สายมาด้วยนะ สามารถเอาเครื่องวางชาร์จกับอุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐาน Qi ได้เลย
มี Wireless PowerShare
แต่ชาร์จอย่างเดียวคงไม่พอเพราะสามารถปล่อยไฟชาร์จให้กับอุปกรณ์อื่นได้ด้วย จะชาร์จหูฟังแบบไร้สายอย่าง Galaxy Buds Live ที่ด้านหลังหรือพวกสมาร์ทวอทช์กับสมาร์ทโฟนที่รองรับ Qi ก็ได้ด้วยเช่นกัน ไม่ธรรมดาเลยล่ะ
สรุป
Galaxy S20 FE 5G ดีขนาดนี้ไม่ต้องเป็นแฟนซัมซุงก็รักอะ
สรุปแล้ว Galaxy S20 FE 5G ถือว่าออกแบบมาให้แฟน ๆ Samsung อย่างแท้จริง จัดเต็มมาในทุกจุดที่แฟน ๆ ต้องการในปีนี้แล้ว ทั้งหน้าจอ Super AMOLED ลื่น ๆ 120Hz กล้องครบชุดทั้ง 3 ช่วงเลนส์ ดีไซน์สีสันหลากหลาย สเปคที่จัดเต็มที่สำคัญชิปเซ็ตระดับเรือธง Snapdragon มาแล้ว ทั้งหมดนี้รวมอยู่บนสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นนี้ที่ราคาเพียง 20,000 ต้น ๆ เท่านั้น เหมือนฝันที่เป็นจริงที่แฟน ๆ Samsung รอคอยเลยใช่ไหมล่ะ แต่เอาจริง ๆ ดีขนาดนี้ไม่ต้องเป็นแฟนซัมซุงก็รักอะ :D
วางจำหน่ายแล้ววันนี้เริ่มต้น 21,510 บาท
Galaxy S20 FE 5G วางจำหน่ายแล้ววันนี้ มีให้เลือก 2 ความจุ 128GB และ 256GB มีราคาดังนี้
Galaxy S20 FE 5G [128GB] ราคา 21,510 บาท
Galaxy S20 FE 5G [256GB] ราคา 23,310 บาท
เพื่อน ๆ สามารถเข้าไปสั่งซื้อได้แล้ววันนี้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยครับ :D
สั่งซื้อ Galaxy S20 FE 5G ได้ที่นี่
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite