ราคา
Review : realme Watch และ realme Buds Air Neo สมาร์ทวอทช์และหูฟัง TWS คู่ใจใหม่ในราคาน่าเป็นเจ้าของ !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวแก็ดเจ็ตใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เราแกะกล่องไปเรียบร้อย วันนี้เราจะมารีวิว realme Watch และ realme Buds Air Neo สองอุปกรณ์เสริมตัวใหม่จาก realme ที่จะมาเติมเต็มในการใช้งานให้สะดวกยิ่งขึ้น แต่ราคายังสบายกระเป๋าตามสไตล์แบรนด์นี้ มามะ เริ่มกันเลยเถอะ :D
ราคา
เริ่มต้นกันที่ราคากันก่อนเลยละกันเนาะ อย่างที่บอกไปว่าราคานั้นสบายกระเป๋าตามสไตล์แบรนด์นี้ โดยราคาของ 2 อุปกรณ์ AIoT มีดังนี้ครับ
realme Watch = 2,499 บาท
เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 มิ.ย.63
realme Buds Air Neo = 1,499 บาท
เริมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันที่ 31 พ.ค.63
เห็นไหมล่ะครับ ราคาสบายกระเป๋าจริง ๆ เนาะ ทราบราคาแบบนี้แล้ว มาเริ่มอ่านรีวิวของ realme Watch กันเลยดีกว่าครับ :D
realme Watch
สมาร์ทวอทช์ น้ำหนักดี ฟีเจอร์ครบ
มาดูตัวสมาร์ทวอทช์กันก่อน realme Watch มีดีไซน์ที่เรียบสวย น้ำหนักเบาเหมาะกับไลฟ์สไตล์ยุคนี้อย่างมากครับ ตัวเรือนมาพร้อมขนาดหน้าจอ LCD ขนาด 1.4” ความละเอียด 320 x 320 พิกเซล สีสวยกำลังดีครับ ตัวกระจกหน้าจอจะเป็น Gorilla Glass แบบ 2.5D สังเกตดี ๆ จะมีโลโก้ realme อยู่ที่ล่างหน้าจอนี้ด้วยนะ
ที่ด้านหลังของตัวเรือนจะมีเซ็นเซอร์ Heart Rate Monitor อยู่ด้วย รองรับการใช้งานตรวจจับดารเต้นของหัวใจรวมถึงฟีเจอร์อย่างการวัดออกซิเจนในเลือดด้วย
ส่วนตัวสายจะเป็นสายสายซิลิโคน ผิวนุ่ม ใส่แล้วสบายไม่ระคายผิวเท่าไหร่ครับ กระชับกับตัวข้อมือได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ แต่มีข้อสังเกตอยู่นิดหน่อยก็คือเวลาใส่นั้นแอบยากไปนิดยิ่งตัวสายสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำมาตรฐานนี่ต้องตั้งใจใส่เป็นพิเศษเลยล่ะ
ตัวสายจากตรงนี้เราสามารถถอดออกและเปลี่ยนได้เองด้วยนะ ทาง realme เขามีให้เลือกถึง 4 สีคือ สีดำ, สีแดง, สีน้ำเงิน และสีเขียว อย่างในรีวิวนี้เราใช้สีเขียวครับผม
ที่มุมขวาจะมีปุ่มกด 1 ปุ่ม พร้อมกบัการทำเส้นสีเหลืองที่เป็นเอกลักษณ์ของ realme อยู่ด้วย เห็นปุ่มนี้แล้วนึกถึงบนสมาร์ทโฟน realme จริง ๆ
และที่สำคัญ realme Watch นั้นรองรับการกันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 ด้วย หายห่วงเรื่องการใช้งานในหลายสภาพ จะออกกำลังกายให้เหงื่อชุ่ม หรือใส่พร้อมล้างไม้ล้างมือก็ไม่ต้องกลัวว่าสมาร์ทวอทช์เราจะพังไปดื้อ ๆ เนาะ
โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ realme Watch ก็ทำออกมาได้ดีสมราคาครับ เน้นในเรื่องความเบาและการสวมใส่ที่สะดวกสบาย ฟีเจอร์ก็ครบครัน วัสดุงานประกอบก็สมกับราคา 2,499 บาทดีครับ
เชื่อมต่อผ่าน realme Link
มาเข้าสู่เรื่องการใช้งานกันเลย อุปกรณ์เสริมทั้ง 2 นี้ก็สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ง่าย ๆ ด้วยแอป realme Link ตัวเดียวเลย จะหูฟังหรือสมาร์ทวอทช์ก็ใช้แอปนี้แหละครับ การเชื่อมต่อก็ไม่ยุ่งยากเปิดแอปมาและคุ้นหาอุปกรณ์จากนั้นเชื่อมต่กันผ่านระบบ Bluetooth ปกตินี่แหละ แต่น่าเสียดายที่แอปตัวนี้ยังมีให้ดาวน์โหลดผ่านระบบ Android เท่านั้นบน iOS ยังไม่มา ><“
ซึ่งข้อดีของแอปนี้ก็คือเมื่อเราเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้าสู่แอปของเราแล้ว ตัวอุปกรณ์ก็จะถูกผูกไปกับบัญชีเลย แบบนี้ดีมากเพราะหากเราเปลี่ยนเครื่องอุปกรณ์ทั้งหลายที่เคยเชื่อมกันไว้ก็ยังอยู่ แค่กดเชื่อมต่อไม่ต้องมาตั้งค่าอะไรใหม่ให้วุ่นวายครับ
โดยในแอป realme Link เมื่อเราเชื่อมต่อ realme Watch เข้าไปแล้ว ก็จะมีการตั้งค่ารวมถึงข้อมูลที่ซิงค์กันมากมาย ทั้งเรื่องข้อมูลการออกกำลังกายของเรา รวมถึงการตั้งค่าการแจ้งเตือนก็ทำได้จากแอปนี้เลยครับ
การใช้งาน
การใช้งานตัว realme Watch ก็ไม่ยุ่งยากครับ เราสามารถใช้นิ้วแตะบนหน้าจอได้เลย เลื่อนหน้าจอได้ทั้ง 4 มุมแบ่งเป็นการทำงานคร่าว ๆ ดังนี้
- เลื่อนหน้าจอลง - ดูการแจ้งเตือน
- เลื่อนหน้าจอขึ้น - หน้าเมนูการทำงานต่าง ๆ
- เลื่อนไปขวา - ทางลัดเปิดการตั้งค่า
- เลื่อนไปทางซ้าย - หน้ากิจกรรมต่าง ๆ
เวลาเราเข้าใช้งานแล้วอยากจะย้อนกลับก็เพียงเลื่อนไปทางขวาหรือกดที่ปุ่มกดด้านขวา 1 ครั้งก็ได้ครับ
แจ้งเตือนเป็นภาษาไทยครบ
เริ่มต้นกันที่เรื่องการแจ้งเตือน เชื่อว่าหลายคนเป็นห่วงเรื่องการรองรับภาษาไทย แต่บอกได้เลยว่า realme Watch นั้นรองรับภาษาไทยแบบเต็มรูปแบบแล้วครับ เวลามีแจ้งเตือนเข้าก็เป็นภาษาไทยครบครับ พวกแอปอื่น ๆ นอกจาก SMS เราสามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมให้แจ้งเตือนได้ที่แอป realme Link เลยครับ เพราะค่าเริ่มต้นจะไม่ได้เลือกมาให้เนาะ
ตั้งค่าได้ที่ การตั้งค่า (รูปฟันเฟือง) > การแจ้ง > เพิ่มเติม
โทรเข้าก็แจ้งเตือนนะ
แจ้งเตือนข้อความได้ก็แจ้งเตือนสายเข้าได้ด้วยเช่นกัน บน realme Watch เราสามารถรับการแจ้งเตือนเมื่อมีสายเข้าได้รวมถึงกดวางสายได้จากข้อมือเลย แต่แน่นอนว่าไม่สามารถรับและคุยผ่านตัว Watch ได้เองเนาะ เพราะไม่มีไมโครโฟนกับลำโพงมาให้
ดูสถานะของตัว Watch ได้จากการปัดขวา
เมื่อเราปัดหน้าจอไปทางขวาเราจะเจอกับหน้าสถานะรวมถึงทางลัดในการเปิด-ปิดโหมดต่าง ๆ ด้วยประกอบด้วย
- รูปพระจันทร์ - ปิดการแจ้งเตือนช่วงคราว
- รูปนาฬิกาบนข้อมือ - เปิด-ปิดการใช้งานยกข้อมือเพื่อปลุกจอ
- รูปพระอาทิตย์ - ปรับระดับแสงหน้าจอ
- รูปแบตเตอรี่ - เปิด-ปิดโหมดประหยัดพลังงาน
เช็กสภาพอากาศ การนับก้าวหรือ อัตราการเต้นหัวใจก็ได้
หรือถ้าเราเลื่อนหน้าจอไปทางซ้ายก็จะเป็นทางลัดของแอปต่าง ๆ เราจะดูพวกสภาพอากาศ, การตรวจจับการนอน, การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวันได้จากการปัดมาทางซ้ายนี้เลยครับ แต่ตรงนี้จะเป็นแค่การ “ดู” เท่านั้นเนาะ กดเริ่มใช้งานฟีเจอร์เหล่านั้นไม่ได้
ใช้งานจริงเลื่อนขึ้นเลย
พวกฟีเจอร์การใช้งานหลัก ๆ ให้เราเลื่อนหน้าจอขึ้นเพื่อเข้าสู่เมนูครับ ตรงนี้มีให้เลือกทุกฟีเจอร์เลย ทั้ง
- การเล่นกีฬา
- วัดออกซิเจนในเลือด
- วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
- ดูบันทึกการออกกำลังกาย
- บันทึกการนอน
- ควบคุมเครื่องเล่นเพลง
- ควบคุมกล้อง
- ค้นหามือถือ
- โหมดการทำสมาธิ
- นาฬิกาปลุก
- นาฬิกาจับเวลา
- สภาพอากาศ
- การตั้งค่า
อยากใช้งานอะไรก็กดเข้ามาได้ในนี้เลยครับ
มีหน้าปัดให้เลือก 12 แบบ
ในเรื่องการปรับแต่ง realme Watch ก็ไม่เพื่อน ๆ ต้องเบื่อกับหน้าปัดเดิม ๆ เพราะมี Watch Faces ให้เลือกปรับมากถึง 12 แบบผ่านตัวแอป แต่บนตัว Watch เองจะมีสำรองไว้ 6 แบบ เราสามารถแตะค้างที่หน้าปัดและเลือกได้เลยจากบนข้อมือ
หรือถ้าอยากได้แบบอื่นที่ซ่อนไว้ก็ให้มาเลือกบนสมาร์ทโฟนแทนครับ เข้าไปที่แอป realme Link เลือก realme Watch แล้ว
การตั้งค่า (รูปฟันเฟือง) > หน้าปัดนาฬิกาข้อมือ > เปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาปัจจุบัน
ในอนาคตทาง realme สัญญาว่าจะมีการอัปเดตเพิ่ม Watch Faces เพิ่มเติมอีกเป็น 100 เลยด้วยผ่านระบบ OTA ครับ
ออกกำลังกายได้หลายประเภทกีฬา
อย่างที่เห็นว่า realme Watch มีโหมดการเล่นกีฬาด้วย ซึ่งตัว Watch เองสามารถตรวจจับรูปแบบการเล่นกีฬาได้มากถึง 14 ชนิดประกอบด้วย
- การเดิน
- การวิ่งในร่ม
- การวิ่งกลางแจ้ง
- การปั่นจักรยาน
- การปั่นจักรยานออกกำลังกาย
- การเต้นแอโรบิค
- ฟุตบอล
- บาสเกตบอล
- ปิงปอง
- แบดมินตัน
- การฝึกกล้ามเนื้อ
- การเล่นฟิตเนส
- โยคะ
- คริกเกต
เรียกว่าเยอะแยะเลือกชนิดแล้วกด “เริ่ม” เพื่อออกกำลังกายได้เลย
วัดอัตราการเต้นของหัวใจและออกซิเจนในเลือดได้ด้วย
เห็นไปแล้วว่าตัว realme Watch นั้นมีเซ็นเซอร์ PPG วัดอัตราการเต้นของหัวใจคุณภาพสูงด้วย ซึ่งเราสามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้อย่างแม่นยำและสามารถวัดได้แบบเรียลไทม์เลยด้วย
รวมถึงวัดออกซิเจนในเลือดก็ทำได้ด้วย หรือหากออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าปกติก็จะมีการแจ้งเตือนให้ด้วย
ใช้ควบคุมเครื่องเล่นเพลงได้ด้วย
นอกจากฟีเจอร์ด้านการออกกำลังกายแล้ว realme Watch ยังมีฟีเจอร์ในการควบคุมเครื่องเล่นเพลงบนสมาร์ทโฟนได้ด้วย เลือกมาที่แอป “เพลง”ได้เลย ถ้าเลือกแล้วยังใช้งานไม่ได้ให้เข้าไปตั้งค่าบนแอป realme Link เพิ่มเติมก่อนที่
การตั้งค่า (รูปฟันเฟือง) > ระบบควบคุมการเล่นเพลง
ใช้งานเป็นรีโมทชัตเตอร์ได้ด้วย
อีกหนึ่งฟีเจอร์เจ๋ง ๆ ก็คือเมื่อเราเชื่อม realme Watch เข้ากับสมาร์ทโฟนแล้ว เราสามารถใช้งานตัว Watch เป็นรีโมทชัตเตอร์ได้ด้วย สะดวกดีเผื่อเราอยากตั้งกล้องแล้วกดชัตเตอร์จากข้อมือเนาะ ก็ให้เลือกไปที่แอป “กล้อง” จาก Watch ได้เลย แต่อย่าเข้าไปตั้งค่าเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ใน realme Link ก่อนด้วยนะจ๊ะ
การตั้งค่า (รูปฟันเฟือง) > กล้องระยะไกล
ตามหามือถือได้ด้วย
realme Watch มีฟีเจอร์ค้นหามือถือได้ด้วย เผื่อเราหามือถือไม่เจอแต่ยังมี Watch อยู่ในข้อมือก็กดเรียกให้มือถือส่งเสียงได้จากแอป “กำลังมองหาโทรศัพท์มือถือ” เลยครับ เข้าไปตั้งค่าเปิดฟีเจอร์นี้ใน realme Link ได้ที่
การตั้งค่า (รูปฟันเฟือง) > ค้นหาโทรศัพท์ของฉัน
แบตเตอรี่อึดใช้งานได้เป็นสัปดาห์
ปิดท้ายตัว realme Watch ด้วยเรื่องแบตเตอรี่ละกันเนาะ รุ่นนี้ทาง realme เขาเคลมว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องราว 7 - 9 วันก็คือใช้ได้เป็นสัปดาห์เลยล่ะ เชื่อว่าหลายคนที่ใช้อุปกรณ์ AIoT แบบนี้คงไม่อยากต้องมาชาร์จอุปกรณ์บ่อย ๆ เหมือนกัน เท่าที่ลองใช้งานมาราวสัปดาห์กว่าเราก็เพิ่งจะชาร์จไปเพียงแค่รอบเดียวเท่านั้น แบตเตอรี่ถือว่าอึดใช้ได้เลย ใช้สัก 5 วันแล้วมาชาร์จทีก็กำลังเหมาะเลย
สรุปแล้ว
สรุปในส่วนของ realme Watch ก็เป็นสมาร์ทวอทช์ราคาประหยัดอีกรุ่นที่น่าสนใจไม่น้อย จุดเด่นก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของฟีเจอร์การใช้งานที่ให้มาค่อนข้างครบ กันน้ำได้, หน้าจอขนาดใหญ่, รองรับรูปแบบกีฬามากถึง 14 ประเภท, วัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ รวมถึงแบตเตอรี่ที่อึดพอใช้งานได้อย่างไม่ต้องกังวล ทั้งหมดนี้ก็น่าจะตอบโจทย์เพื่อน ๆ ที่อยากได้สมาร์ทวอทช์สักตัวแล้วแหละ แถมมีราคาค่าตัวเพียง 2,499 บาทเท่านั้นเอง ทำได้เท่านี้ก็ถือว่าแจ๋วแล้วล่ะครับ ส่วนเรื่องวัสดุงานประกอบต่าง ๆ อันนี้ก็ตามราคาครับ ไม่ได้หวือหวาอะไร แต่ก็ไม่ได้ดูแย่จนเกินไปเนาะ ชมมาเยอะแล้ว ก็ต้องมีจุดที่ขอบ่นนิดหน่อยก็คือเรื่องของตัวสายที่ใส่ค่อนข้างยากนี่แหละครับ ตัวสายมีความยืดหยุ่นประมาณหนึ่งแต่ไม่มากพอที่จะม้วนเข้ากับข้อมือเท่าที่ควร รูของสายก็ประกบเข้ากับสายอีกอันได้ยากไปนิด ทำให้เวลาสวมใส่อาจจะใช้เวลานิดหน่อยครับและอีกเรื่องก็คือตัวแอป realme Link ตอนนี้ยังมีแค่บน Android เท่านั้น บน iOS ยังไม่มานี่แหละครับ นอกนั้นโอเคหมดละ :D
realme Buds Air Neo
หูฟัง True Wireless ต้องพกง่าย สวมใส่สบาย
มาต่อกันที่หูฟังกันบ้าง realme Buds Air Neo มาพร้อมกับดีไซน์ทรงกะทัดรัด เหมาะกับการพกพาด้วยตัวเคสขนาดกำลังดี ผิวสัมผัสเป็นแบบกลอสซี่ผิวมัน มีไฟ LED และปุ่มกดอยู่ที่ด้านหน้า วัสดุก็ดูดีสมราคาครับ
ตัวฝาของเคสก็เป็นแม่เหล็กเปิดกรึ๊บ ปิดกรึ๊บ ใช้งานได้ง่ายตัวหูฟังก็ดูดกับตัวเคสเป็นอย่างดีเวลาเราดึงออกและเก็บกลับเข้าไปก็ดูดติดกันแบบที่เราไม่ต้องเอามือกดลงไปเท่าไหร่นักครับ
ตัวหูฟังก็ยังมาในทรง EarBuds พร้อมก้านยาวลงมาคล้ายกับตอน Buds Air เดิม แต่จะสังเกตว่าที่ตัวหูมีจุดสีดำ ๆ เพียงข้างละจุดเท่านั้น น่าเสียดายที่ตรงนั้นเป็นไมโครโฟนไม่ใช่ตัวเซ็นเซอร์ตรวจจับเวลาสวมใส่มาแบบรุ่นที่แล้ว เท่ากับว่ารุ่นนี้จะไม่มีฟีเจอร์แบบเอาหูฟังออกแล้วเพลงหยุดเล่นอัตโนมัติแบบนั้นครับ
ตรงท้ายของก้านจะมีคำว่า L R สกรีนอยู่เพื่อแบ่งแยกข้างของหูฟัง มีแถบแม่เหล็กอยู่เด่น ๆ ที่ด้านล่างเอาไว้ใช้งานชาร์จไร้สายเมื่อเวลาเก็บคืนเข้าไปในเคสครับ
ที่ตัวเคสด้านหลังจะมีสกรีนคำว่า Designed by realme อยู่ด้วยนะ
พอร์ตการเชื่อมต่อของตัวเคสอย่างที่บอกไปตอนเห็นสายในกล่องเนาะ รุ่นนี้ใช้ micro-USB อยู่ครับ ยังไม่ใช่ USB Type-C เนอะ ตรงนี้แอบเสียดายนิดหน่อย เพราะยุคนี้แล้วน่าจะให้ Type-C มาเลยมากกว่า
โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ realme Buds Air Neo ก็ทรงมาตรฐานแบบที่เราคุ้นเคย ใช้งานได้อย่างสะดวก แต่แอบมีเรื่องที่ขัดใจอยู่นิดหน่อยก็คือไม่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับหูกับพอร์ตเชื่อมต่อของเคสที่ยังเป็น micro-USB นี่แหละเนาะ นอกนั้นเจ๋งหมด
เชื่อมต่อง่าย
ในเรื่องการเชื่อมต่อ realme Buds Air Neo มีฟีเจอร์ Google Fast Pair ที่สามารถเชื่อมต่อกันสมาร์ทโฟน Android 10 ขึ้นไปได้ง่าย ๆ เพียงแค่เปิดฝาเคสเท่านั้น ซึ่งเท่าที่ลองใช้ก็ง่ายจริงครับ เปิดฝาปุ๊บตัวสมาร์ทโฟนก็ค้นหากันเจอเชื่อมต่อกันได้ทันที
แต่ถึงแม้ว่าหูฟัง realme Buds Air Neo จะสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้โดยตรงด้วย Bluetooth แต่เราก็ยังสามารถปรับตั้งค่าได้ผ่านแอป realme Link ด้วยโดยจะเป็นพวกการตั้งค่าฟีเจอร์คำสั่งการแตะและการอัปเดตซอฟต์แวร์ครับ
ลองฟังกันเลยเถอะ
เรื่องเสียงน่าจะเป็นจุดที่สำคัญที่สุดของหูฟังเลยเนอะ บน realme Buds Air Neo นั้นทำเรื่องนี้ได้ดีทีเดียว มาพร้อมกับไดรเวอร์ขนาดใหญ่ 13 มม.และมาพร้อมเทคโนโลยี DBB Dynamic Bass Boost ช่วยเพิ่มความแน่นของเบสให้ดียิ่งขึ้น เท่าที่ลองฟังมาเสียงดีใช้ได้เลยครับ ไม่แบนจนเกินไป มีมิติอยู่บ้าง และเสียงก็ดังพอตัวเลยไม่ต้องเร่งเสียงสูงจนเกือบสุด
ความหน่วงต่ำมีชิป R1
อีกเรื่องที่คนใช้หูฟังแบบไร้สายให้ความสำคัญก็คือเรื่องความหน่วงของภาพและเสียง ซึ่งบน realme Buds Air Neo นี้ก็ทำได้ดีครับ มีชิป R1 ที่เข้ามาช่วยให้ Latency ต่ำเพียง 119.2ms พร้อมการเชื่อมต่อแบบ Bluetooth 5.0 แยกระหว่างหูฟังทั้ง 2 ข้างด้วยทำให้เวลาใช้ฟังเพลงหรือดูหนังนี่เสียงแม่นยำและตรงกับภาพเป็นอย่างดีเลยล่ะ
เล่นเกมก็ดีเลย์น้อยเพราะมี Gaming Mode
ฟังเพลงกับดูหนังนี่เสียงตรงใช้ได้แล้ว แต่ถ้าเล่นเกมล่ะ ? หลายคนเจอปัญหาเวลาใช้หูฟัง True Wireless เล่นเกมแล้วเสียงที่ได้กับภาพนั้นไม่ตรงกัน อย่างพวกเกมยิงนี่ชัดเลยแบบยิงไปแล้ว เสียงค่อยมางี้ ตรงนี้ถ้าเราใช้ realme Buds Air Neo ก็ต้องบอกเลยว่าเป็นแบบนั้นเหมือนกันครับ...อ่าววว แต่ ๆ นั่นหมายถึงเมื่อเราใช้งานแบบทั่วไปนะครับ แต่รุ่นนี้เข้ามี Gaming mode เข้ามาช่วยในเรื่องความหน่วงเวลาเล่นเกมด้วยจ้า
โดยวิธีการเปิดก็คือใช้ 2 นิ้วของเราแตะที่ตัวหูฟัง 2 ข้างค้างไว้สักครู่ เราจะได้ยินเสียงสตาร์ทรถขึ้นมา บรึ้นนน ~ นั่นแหละครับเปิด Gaming mode แล้ว ทีนี้เวลาเราเล่นเกมเสียงก็จะตรงกันมากขึ้น แต่แน่นอนว่าก็ต้องแลกมากับการกินพลังงานมากขึ้น รวมถึงคุณภาพเสียงที่ดรอปลงมานิดหน่อยด้วยครับ เท่าที่ลองเสียงนั้นตรงกับภาพขึ้นเยอะ ใครที่ชอบเล่นเกมด้วยหูฟังแบบ True Wireless นี่บอกเลยว่าถูกใจแน่ครับ
แตะสั่งงานได้ด้วย
ไหน ๆ ก็เข้าเรื่อง Gaming mode แล้ว ก็มาเรื่องการใช้งานแตะสัมผัสที่ตัวหูฟังเลยละกัน realme Buds Air Neo สามารถสั่งงานด้วยดารแตะที่ตัวฟังได้หลายรูปแบบ ทั้งการแตะ 2 ครั้งเพื่อเล่น-หยุดเพลง, แตะ 3 ครั้งเพื่อไปเพลงถัดไป, แตะค้างเพื่อเรียก Google Assistant หรือเวลาเราคุยโทรศัพท์ก็สามารถแตะค้างเพื่อวางสายได้ด้วย สะดวกดีอยู่นะแบบนี้
ใช้งานได้ยาวนานกว่า 17 ชม.
ในเรื่องของแบตเตอรี่ realme Buds Air Neo นั้นที่ตัวหูฟังเองสามารถฟังได้ต่อเนื่อง 3 ชม. และยังสามารถชาร์จแบตฯเพิ่มจากตัวเคสได้อีก รวมแบตเตอรี่จากเคสแล้วก็สามารถใช้งานได้ราว 17 ชม.เลยทีเดียว เท่ากับว่าถ้าเราใช้งานวันละประมาณ 3 ชม.ก็ใช้ได้ถึง 5 วันเลยนะ ดีเหมือนกันเนาะ แต่ก็มีจุดที่น่าเสียดายเหหมือนกันคือพอร์ตชาร์จอย่างที่บอกไป รุ่นนี้ยังคงใช้แบบ micro-USB อยู่อะ อาจจะไม่สะดวกเท่าพวก type-C เท่าไหร่เนาะ
สรุปแล้ว
ในส่วนของ realme Buds Air Neo ก็ขอชมเลยครับ ทำได้ดีแทบทุกอย่างในงบประมาณ 1,399 บาทแล้ว จุดสำคัญที่เราตัดสินใจเลือกหูฟัง True Wireless สักตัวมีอะไรบ้างล่ะ ? เสียงดี ไม่ดีเลย์ ขนาดพกพาง่าย เชื่อมต่อไม่ยุ่งยาก แบตเตอรี่อึด ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้เจ้า Buds Air Neo ตอบโจทย์ทั้งหมดเลยล่ะครับ แถมยังมีลูกเล่นเกี่ยวกับการแตะที่ตัวหูฟังเพื่อสั่งงานเพิ่มเข้ามาอีก ถือว่าเจ๋งมาก ๆในงบนี้ครับ แต่จุดสังเกตก็มีเล็ก ๆ คือพอร์ตการเชื่อมต่อของตัวเคสนี่แหละที่ยังคงใช้แบบ micro-USB อยู่ถ้าเป็น type-C มานี่เพอร์เฟ็กมากเลย่ครับ
สรุป
สรุปแยกกันในแต่ละตัวไปแล้วเนาะ อันนี้เฮียขอมาสรุปรวม ๆ เกี่ยวกับ 2 อุปกรณ์ AIoT นี้อีกหน่อยละกัน เท่าที่ได้ลองใช้งานมาราว ๆ สัปดาห์ 2 ตัวนี้ก็ช่วยให้การใช้งานของเรานั้นสะดวกสบายมากขึ้นดี ด้วยราคาค่าตัวที่ไม่สูงมากกับความสามารถที่ได้นั้นถือว่าสมเหตุสมผลครับ ตัวหูฟัง realme Buds Air Neo เองก็ให้คุณภาพเสียงและประสบการณ์การใช้งานที่ดี เหมาะสำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากได้หูฟัง True Wireless ระดับเริ่มต้นราคาไม่แพง แต่ได้ประสบการณ์แบบไร้สาย ส่วน realme Watch ก็เข้ามาตอบโจทย์ของคนที่ไม่อยากต้องยกมือถือขึ้นมาบ่อย ๆ เวลามีแจ้งเตือนเข้ามา หรืออยากออกกำลังกายแล้วมีตัวเลขสถิติต่าง ๆ ไว้ โดยรวมแล้วถือว่าเป็น 2 อุปกรณ์ที่เข้ามาเต็มเติมการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนได้ดีขึ้นจริง ๆ ครับ :D
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite