แกะกล่อง
Review : OPPO Find X2 | X2 Pro 5G สองสมาร์ทโฟนเรือธง
ที่มาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสุด จัดเต็มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับ OPPO Find X2 Series 5G รอบนี้มาด้วยกัน 2 รุ่นคือ OPPO Find X2 | 5G และ OPPO Find X2 Pro | 5G ซึ่งสเปคภายในและคุณสมบัตินั้นคล้ายกันมาก จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมายทั้งหน้าจอแบบใหม่ 10Bit, หน่วยประมวลผลตัวแรง Snapdragon 865, รองรับชาร์จไวที่สุดในโลก SuperVOOC 2.0 และกล้องความสามารถเยี่ยม เราเลยขอรีวิวในบทความนี้ทีเดียว 2 รุ่นเลยละกันเนาะ มาดูกันเลยดีกว่าว่าทั้ง 2 รุ่นนี้เด็ดดวงแค่ไหนครับ !
ราคาค่าตัว
เริ่มต้นกันที่ราคาค่าตัวกันก่อนเลย OPPO Find X2 Series 5G นี้เปิดราคามาสูงกว่าที่ OPPO เคยทำราคามา เพราะด้วยเทคโนโลยีและความสามารถที่บอกไว้ข้างต้น โดยทั้ง 2 รุ่นจะมีราคาอยู่ที่
OPPO Find X2 | 5G = 33,990 บาท
OPPO Find X2 Pro | 5G = 40,990 บาท
โดยทั้ง 2 รุ่นเปิดจองล่วงหน้าแล้วตั้งแต่วันที่ 6 - 19 มีนาคมนี้ เพื่อน ๆ ที่สั่งจองจะได้รับของแถมมูลค่ารวมกว่า 15,739 บาท ไปเลย
และยังมีโปรโมชั่นกับทางโอเปอเรเตอร์ลดสูงสุดถึง 15,000 บาทอีกด้วย รายละเอียดโปรโมชั่นและแพ็กเกจดูเพิ่มเติมได้จากลิงก์ด้านล่างนี้เลยครับ
โปรโมชั่นการจองของ OPPO Find X2 Series 5G
แกะกล่อง
มาเช็คอุปกรณ์ภายในกล่องกันต่อเลยดีกว่าว่าให้อะไรเรามาบ้าง สำหรับ OPPO Find X2 Series 5G นั้นให้กล่องมามนทรงเดียวกันเลย รอบนี้ใช้กล่องสีน้ำเงินตัดกับตัวหนังสือสีทอง และมีการทำลวดลายทรงเหลี่ยม ๆ ไว้ด้วย ดูดีมาก ๆ ที่หน้ากล่องระบุชื่อรุ่นไว้ชัดเจอว่า OPPO Find X2 และ OPPO Find X2 Pro ครับ
ตรงมุมขวาบนของกล่องจะมีระบุความจุอยู่ด้วย ซึ่งรุ่นที่ขายไทยก็จะเป็น 12GB + 256GB สำหรับ Find X2 | 5G และ 12GB + 512GB สำหรับ Find X2 Pro | 5G ครับ
เปิดกล่องออกมาชั้นแรกเราจะเจอกับตัวกล่องที่ใส่พวกคู่มือ, เข็มจิ้มถาดซิมและเคสใสอยู่ครับ รอบนี้ใช้สีโทนเข้มหมดเลย ดูลึกลับและน่าค้นหาดีจริง ๆ
ตัวเคสจะเป็นแบบซิลิโคนใสที่มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยปกป้องเครื่องของเราได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่มีลวดลายหรือความสวยงามอะไรมาก แต่ก็โชว์สีสันของตัวเครื่องได้ครบถ้วนครับ
อีกชั้นก็จะเป็นตัวเครื่องแล้ว อยู่ในซองอย่างเรียบร้อยที่ตัวซองก็จะระบุพวกตำแหน่งต่าง ๆ ที่มองไม่เห็นไว้อยู่ด้วย ทั้งตำแหน่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือหรือ NFC เป็นต้นครับ
อุปกรณ์เสริมภายจะแตกต่างกันอยู่นิดหน่อยที่ตัวหูฟังครับ สำหรับ Find X2 | 5G จะได้หูฟังทรง EarBuds แบบมาตรฐาน ส่วนของ Find X2 Pro | 5G จะเป็นแบบ In-Ear แต่ทั้งคู่เป็นพอร์ต USB Type-C ทั้งคู่ครับ
ในกล่องหูฟังจะมีตัวสายชาร์จอยู่ข้างในด้วย เผื่อเปิดมาละหาไม่เจอสายชาร์จเนอะ ซึ่งตัวสายจะยังเป็นแบบ USB Type-C to Type-A ครับ มีโลโก้ SuperVOOC อยู่ด้วย ให้รู้ว่าสายนี้รองรับชาร์จไวนะจ๊ะ
ส่วนอะแดปเตอร์ก็จะเหมือนกันทั้ง 2 กล่องครับ เป็นอะแดปเตอร์ขนาดใหญ่ที่รองรับ SuperVOOC 2.0 กำลังไฟสูงสุดที่ 65W กันเลยทีเดียว หน้าตาแบบนี้ล่ะ
เบ็ดเสร็จแล้วอุปกรณ์ภายในกล่องของ OPPO Find X2 Series 5G ก็จะมี 7 อย่างประกอบด้วย
- ตัวเครื่อง OPPO Find X2 | X2 Pro 5G
- เคสซิลิโคนใส
- คู่มือการใช้งานและใบรับประกัน
- เข็มจิ้มถาดซิม
- สายชาร์จ USB Type-C to Type-A
- อะแดปเตอร์ SuperVOOC 2.0
- หูฟังพอร์ต Type-C
ดีไซน์
ดีไซน์โฉมใหม่
ยลโฉมตัวเครื่องกันเลยดีกว่า OPPO Find X2 Series 5G นั้นมาพร้อมดีไซน์แบบใหม่ ซึ่งเชื่อว่าในปีนี้ OPPO จะใช้ดีไซน์นี้ในปี 2020 แทบทั้งหมดแน่ ! เลิกใช้ดีไซน์แบบ Symmetry แล้วเรียบร้อย มาพร้อมหน้าจอโค้งแบบ Punch Hole มีรูกล้องเล็ก ๆ อยู่ที่มุมซ้ายบนแทน หน้าจอของทั้ง 2 รุ่นนั้นเหมือนกันเป๊ะ ทั้งขนาดรวมถึงสเปคหน้าจอที่ให้มาด้วย OPPO เรียกจอแบบใหม่นี้ว่า Ultra Vision Screen ครับ อัตราส่วนจะอยู่ที่ 19.8:9
OPPO Find X2 | 5G และ Find X2 Pro | 5G มาพร้อมกับหน้าจอ Curved Amoled ขนาด 6.78" พร้อมการแสดงผลสีแบบ 10bit ครั้งแรกของอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้ที่ใช้หน้าจอแบบนี้ สามารถแสดงสีได้มากถึง 1,000,000,000 สีเลยทีเดียว เทียบกับหน้าจอสมาร์ทโฟนทั่วไป 8bit นั้นทำได้ 16.7 ล้านสีเท่านั้น ! มีค่า Contrast ที่สูงถึง 5,000,000 : 1 มีความแม่นยำของสี ความครอบคลุมของสีที่กว้างถึง 100% (DCI-P3) แถมยังรองรับ HDR10+ อีกด้วยนะ
นอกจากนี้ความละเอียดยังจัดเต็มสุด ๆ ที่ QHD+ (3168 x 1440) แถมยังได้ Refresh Rate สูงสุดถึง 120Hz อีกด้วย ซึ่งใช้งานควบคู่กันได้เลย แถมตัว Touch Sampling Rate ยังสูงถึง 240Hz ทำให้การตอบสนองในการสัมผัสนั้นดีมาก ๆ รวมกับตัวความละเอียดและ Refresh Rate ทั้งหมด มอบประสบการณ์ได้อย่างน่าทึ่งจริง ๆ ครับ
ความโค้งของหน้าจอ OPPO Find X2 Series 5G นั้นทำได้สวยหรูกำลังดีด้วยมุมโค้ง 67.8 องศา ไม่ถึงกับหักลงไปที่ด้านข้าง ทำให้การใช้งานนั้นทำได้อย่างไม่ต้องปรับตัวมากนัก แถมยังได้ความหรูหราเพิ่มขึ้น มองแว้บแรกก็รู้เลยว่านี่รุ่นเรือธงเพราะรุ่นทั่ว ๆ ไปไม่มีมีทางได้หน้าจอแบบนี้แน่นอนครับ
รูกล้องบนหน้าจอก็มีขนาดที่เล็กกำลังดี ไม่ถึงกับกวนสายตาเวลาใช้งานครับ ที่เหนือหน้าจอยังมีลำโพงสนทนาขนาดใหญ่กำลังดีครับ และลำโพงตรงนี้ยังสามารถใช้งานร่วมกับลำโพงตัวหลักที่ด้านล่างเพื่อใช้งานเป็นลำโพงคู่ด้วย
บนหน้าจอยังมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือซ่อนอยู่บนหน้าจอเหมือนเดิม แต่มีการเพิ่มขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม สังเกตได้จากไอคอนสแกนนิ้วว่าใหญ่ขึ้นทำให้แตะใช้งานได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมครับ
ดีไซน์รอบ ๆ ตัวเครื่องก็มีความคล้ายกันมาก ใช้ดีไซน์แบบเดียวกันแทบทั้งหมด กรอบตัวเครื่องใช้วัสดุโลหะขัดเงาที่ให้ความหรูหราเวลาจับถืออย่างมาก ปุ่มกดต่าง ๆ วางไว้ในตำแหน่งเดิม มีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงอยู่ที่มุมซ้าย
และปุ่ม Power จะอยู่ที่ด้านขวาของตัวเครื่องขีดสีเขียวเข้ามาเหมือนเดิม ที่ตัวปุ่มจะเพิ่มความโค้งขึ้นมาอีกนิด ทำให้ลูบ ๆ ไปสัมผัสได้ง่ายขึ้นครับ
ส่วนด้านล่างตัวเครื่องจะมีพอร์ตการเชื่อมต่อ USB Type-C และลำโพงหลักของตัวเครื่อง ที่ใช้งานร่วมกับลำโพงสนทนาเป็นลำโพงคู่ได้ด้วย และแน่นอนว่าพอร์ตหูฟัง 3.5 มม. นั้นถูกตัดออกไปเรียบร้อย
ถาดซิมของ OPPO Find X2 Series 5G จะเป็นแบบ Dual-SIM และจริง ๆ เป็น Dual-Mode ที่รองรับ 5G ทั้ง 2 ซิมเลยด้วยครับ
ฝาหลัง 2 สไตล์
พลิกกลับมาดูที่ตัวเครื่องด้านหลัง OPPO Find X2 | 5G และ Find X2 Pro | 5G จะใช้บอดี้โค้งที่รับกับรูปมือได้ดีมาก วัสดุของฝาหลังจะมี 2 แบบต่างกันที่ตัวสีคือแบบกระจก (สี Ocean) และเซรามิก (สีดำ) ครับ ซึ่งผิวสัมผัสที่ได้ก็จะแตกต่างกันด้วย
อย่างในสี Ocean ของ OPPO Find X2 | 5G นั้นจะเป็นผิวกระจกแบบที่เราคุ้นเคยเลย แต่ที่ตัวกระจกจะมีการเพิ่มลวดลายเส้นเข้าไปด้วย เพิ่มความงามให้ดูไม่นิ่งจนเกินไป และสีก็จะเป็นการไล่เฉดสีและเล่นกับมุมมองสะท้อนแสงได้หลากหลายตามที่ OPPO ถนัด บางมุมก็เป็นฟ้า บางมุมก็เป็นม่วง
ส่วนสีดำของ Find X2 Pro | 5G จะใช้วัสดุเป็นเซรามิกแต่ก็ไม่ใช่เซรามิกเรียบ ๆ ซะทีเดียว ที่ตัวฝาหลังจะมี Texture เส้น ๆ แบบ Composite Zirconia พร้อมกับมีการขัด และเคลือบ เพื่อให้ได้ผิวสัมผัสดุจดั่งผ้าไหมแม้จะทำจากวัสดุที่มีความแข็งแรง ทำให้เวลาจับถือนั้นไม่หนืดมือจนเกินไป และไม่เก็บรอยนิ้วมือแบบเด่นชัดมาก ส่วนตัวชอบผิวแบบนี้เพราะมันช่วยให้จับถือได้ดี และดูพรีเมี่ยมกว่าแบบกระจกเรียบ ๆ ทั่ว ๆ ไปครับ
ตัวโลโก้ของ OPPO ก็จะเป็นแนวนอนปรับไปไว้ที่มุมซ้ายแทนที่จะอยู่ตรงกลาง ครับ เหมือนเน้นการจับถือให้ใช้งานในแนวนอนเหมือนกล้องมากขึ้นไปอีกครับ
ตัวกล้องนี่แหละที่จะเห็นความแตกต่างของ 2 รุ่นนี้ได้อย่างชัดเจนที่สุด เพราะให้กล้องมาไม่เท่ากัน การวางกล้องที่มุมซ้ายบนแทน อย่างที่บอกว่าไม่ใช้ดีไซน์แบบ Symmetry แล้ว ตัวกล้องของ Find X2 | 5G นั้นจะใช้เลนส์แบบปกติ 3 ตัวเห็นได้จากรูกล้องที่เป็นรูวงกลมทั้งหมด ส่วน Find X2 Pro | 5G นั้นจะเป็นกล้อง 3 ตัว แต่มีเลนส์แบบปกติ 2 ตัวและมีเลนส์แบบ Periscope สี่เหลี่ยมอยู่ที่ด้านบนสุดเพื่อขยายช่วงซูมให้มากกว่าปกติครับ
ซึ่งตัวสเปคกล้องคร่าว ๆ ของ OPPO Find X2 | Find X2 Pro 5G จะมีดังนี้ครับ
OPPO Find X2 | 5G
- กล้องหลัก 48MP เซ็นเซอร์ IMX586 f/1.7
- เลนส์ Ultra Wide 12MP เซ็นเซอร์ IMX708 มุมกว้าง 117 องศา
- เลนส์ Tele 13MP (รองรับ Hybrid Zoom 5x, Digital Zoom 20x)
OPPO Find X2 Pro | 5G
- กล้องหลัก 48MP เซ็นเซอร์ Sony IMX689 1/1.43" f/1.7
- เลนส์ Ultra Wide Angle 48MP เซ็นเซอร์ IMX586 f/2.2 120 องศา
- เลนส์ Periscope 13MP (รองรับ Hybrid Zoom 10x, Digital Zoom 60x, และ VDO Zoom 30x)
จะเห็นว่าสเปคนั้นต่างกันเยอะอยู่ ทั้งความละเอียดและช่วงซูม ขนาดความนูนของตัวกล้องก็จะต่างกันออกไปด้วยอย่างบน Find X2 | 5G นั้นจะอยู่ในเกณฑ์ปกติของสมาร์ทโฟนทั่วไปไม่นูนออกมาจนเกินเหตุ มีความหนาอยู่ที่ 8 มม. ส่วน Find X2 Pro | 5G นั้นมีความหนาที่ 8.8 มม.ตัวเลนส์จะนูนออกมาเยอะอยู่ด้วยความเป็นเลนส์แบบ Periscope ทำให้เวลาวางเครื่องไว้บนที่ราบตัวเครื่องจะเอียงกว่า และไม่เรียบเสมอไปกับพื้น ตรงนี้ดูเป็นปัญหานิดหน่อยในการใช้งานจริงแบบไม่ใส่เคสนะ
ขนาดและน้ำหนักของทั้ง 2 รุ่นจะแตกต่างกันนิดหน่อย โดย OPPO Find X2 | 5G ที่ใช้ฝาหลังแบบกระจกจะอยู่ที่ 187 กรัม ส่วน Find X2 Pro | 5G ที่เป็นฝาหลังเซรามิกจะอยู่ที่ 207 กรัมครับ ในการใช้งานน้ำหนักระดับนี้ถือว่าแตกต่างกันอยู่ในการจับถือ แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมครับไม่หนักหนาจนเกินไปในการพกพาครับ
ทั้งคู่มาพร้อมกับความสามารถกันน้ำกันฝุ่นด้วย แต่มาตรฐานไม่เท่ากันโดย OPPO Find X2 | 5G นั้นจะได้มาตรฐาน IP54 กันน้ำสาดหรือละอองน้ำได้ ส่วน OPPO Find X2 Pro | 5G จะได้มาตรฐาน IP68 กันน้ำลึกระดับ 1.5 เมตรได้นาน 30 นาทีครับ
โดยรวมในเรื่องของดีไซน์ต้องยอมรับว่าเปลี่ยนไปจากรุ่นปีที่แล้วและรุ่นก่อนมาก ไม่มีกลไกกล้องยกได้แล้ว ไม่มีหน้าจอเต็มแล้ว มีรูกล้องอยู่ที่มุมซ้ายบนแทน ดีไซน์ด้านหลังก็มีความนูนของกล้องหลังมากขึ้นไม่แบนราบแบบรุ่นปีที่แล้วแล้ว แต่ในเรื่องความหรูหราก็ถือว่าทำได้ดีไม่แพ้กันครับ แต่มาคนละแนวอะเนาะ
สเปคและฟีเจอร์การใช้งาน
สเปคจัดเต็ม Snapdragon 865 รุ่นแรกในไทย !
เข้าสู่เรื่องสเปคกันต่อเลย OPPO Find X2 | X2 Pro 5G นั้นมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลตัวแรง Snapdragon 865 ซึ่งถือว่าเป็น 2 รุ่นแรกในไทยเลยที่ใช้ชิปเซ็ตรุ่นนี้ แน่นอนว่ารองรับ 5G เต็มรูปแบบด้วย (เมื่อมีการอัปเดตซอฟต์แวร์) มีประสิทธิภาพที่สูงมากขึ้นทั้ง CPU และ GPU มากขึ้นถึง 25% แรมก็ให้มาอย่างจุใจ 12GB เป็น LPDDR5 ด้วย หน่วยความจำยังเป็น UFS 3.0 อีก เรียกว่าสเปคนี่คือให้แรงสุด จัดเต็มสุด เท่าที่จะหาได้ในตอนนี้แล้วล่ะครับ !
สเปค OPPO Find X2 | X2 Pro
- หน้าจอ Amoled 6.78" QHD+ 120Hz 240 Touch Sampling 10Bit
- หน้าจอ 10bit แสดงผล 1,000,000,000 สี รองรับ HDR10+ อัตราส่วน 19.8:9
- หน่วยประมวลผล Snapdragon 865 (7nm) รองรับ 5G
- แรม 12GB LPDDR5
- ความจุ 256GB | 512GB UFS3.0
- แบตเตอรี่ 4200mAh | 4260mAh
- รองรับชาร์จไว SuperVOOC 2.0 65W
- กล้องหน้า 32MP
- กล้องหลัง 48MP + 12MP + 13MP | 48MP + 48MP + 13MP
- (Main + Tele + Ultra Wide) | (Main + Periscope + Ultra Wide)
- กันน้ำ IP54 | IP68
- รัน Android 10 ครอบทับด้วย ColorOS7.1
ซอฟต์แวร์ใหม่ ColorOS 7.1 แล้ว
ซอฟต์แวร์ภายในรอบนี้ก็มีการปรับใหม่ ยกเครื่องมาเป็น ColorOS 7.0 ที่ครอบทับอยู่บน Android 10 ซึ่งมีหน้าตาที่สวยงามมากขึ้น น่าสนใจมากขึ้นมีลูกเล่นและ Theme ให้เลือกปรับมากกว่าเดิม ตรงนี้เฮียว่าสวยเลยล่ะ หน้าตาดูดีน่าใช้งาน
มี Wallpaper ชุดใหม่มาเพียบ รวมถึงรูปแบบไอคอนก็สามารถปรับเปลี่ยนเองได้ มี 3 รูปแบบได้แก่ rectangle, pebble และ material อยากได้แบบกรอบเหลี่ยม กรอบโค้งหรือไม่เอากรอบใช้เป็นไอคอนเพียว ๆ เลยก็ปรับได้หมด ตัว ColorOS 7.1 นี้มีตัวเลือกให้ใช้งานเพียบ ๆ ดูน่าปรับแต่งมาก ๆ ครับ
มีระบบเสียงใหม่ด้วย ตรงนี้น่าสนใจดีครับ ระบบเสียงใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาอิงความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี SMS การแจ้งเตือน การแจ้งเตือนสภาพอากาศ นาฬิกาปลุก เสียงแจ้งเตือน หรือแม้กระทั่งเสียงการลบรูปลบข้อมูลต่าง ๆ ยังมีเลย ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นในการใช้งานครับ ตรงนี้ OPPO ร่วมมือกับ Epic Sound พัฒนาเสียงเหล่านี้ขึ้นมาเลยนะ
Dark Mode ก็มีเต็มรูปแบบเลยด้วย ในส่วนของ Dark Mode บน ColorOS7.1 ก็ใช้งานได้แล้ว ซึ่งใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบเลยด้วย สามารถแยกความแตกต่างของชั้นเลเยอร์และปรับปรุงความคมชัดของสีในหลากหลายระดับ เพื่อให้การใช้งานในที่มืดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จากสภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่างจ้าไป จนถึงสภาวะแสงน้อย นอกจากนี้ Dark mode บน ColorOS7.1 ยังสามารถใช้งานได้ตลอดเวลาด้วย backlight อัจฉริยะอีกต่างหากครับ
อีกเรื่องที่เพิ่มมาแล้วช่วยให้การใช้งานน่าสนใจมากขึ้นก็คือระบบ Pulse Touch บน OPPO Find X2 Pro | 5G นั้นเพิ่มมอเตอร์แกน X-Axis ที่ใหญ่ที่สุดตลาด Android ช่วยให้การสั่นสะเทือนนั้นสม่ำเสมอ และนุ่มนวลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสั่งงาน การแจ้งเตือนก็จะให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมกว่าแบบเดิม ๆ ครับ
หน้า SmartBar ปรับปรุงใหม่ น่าใช้งานมากขึ้น ในส่วนของ SmartBar ที่จะเป็นทางลัดเล็ก ๆ ตรงมุมจอ บน ColorOS7.1 ก็มีการปรับรูปแบบใหม่ เป็นแถบเล็ก ๆ มีแถวเดียวดูสวยงามมากขึ้น ตรงนี้ยังมีทางลัดให้เราเลือกใช้งานเหมือนเดิมทั้งการบันทึกหน้าจอ รวมถึงแอปหลัก ๆ ที่เข้าได้อย่างด่วน ๆ ครับ
Screen Recording บันทึกเสียงภายในได้แล้วนะ ! เป็นฟีเจอร์ที่หลายคนต้องการมาตลอดสำหรับการบันทึกหน้าจอ บน ColorOS6 ก็มีมาให้แล้ว แต่การทำงานนั้นไม่สามารถบันทึกเสียงจากภายในเครื่องได้ ต้องบีนทึกจากไมโครโฟนเท่านั้น หลายคนอยากแคปเพลงหรือ MV สั้น ๆ ไว้ดูก็จะทำไม่ได้ในเวอร์ชั่นก่อนเนาะ แต่บน ColorOS7.1 นี้เราสามารถบันทึกหน้าจอพร้อมเสียงจากในเครื่องได้แล้ว
เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Additional Settings > Screen Recording > Record System Sound
Gesture ใช้งานได้ดี ลื่นไหล
ในเรื่องของการควบคุมก็มีแบบ Gesture มาให้เลือกปรับเช่นเดียวกับรุ่นก่อน เราสามารถปิดตัวปุ่ม 3 ปุ่ม (Navigation Keys) ด้านล่างไปได้เลย และใช้งานรูปแบบนี้แทน จะเลื่อนจากด้านล่างเพื่อเข้าสู่หน้าโฮม เลื่อนแล้วค้างไว้เพื่อเปิดหน้า Recent Apps ก็ทำได้สะดวก ส่วนตัวคิดว่ารูปแบบนี้คือการควบคุมใหม่ที่เราควรปรับตัวใช้งานได้แล้ว ถ้าใช้คล่อง ๆ ก็ตอบสนองการทำงานเราได้ดีมาก ๆ เลยล่ะ แถมมันลื่นไหลดีมาก ๆ เมื่ออยู่บนจอแบบ 120Hz แบบนี้ด้วยนะ
เราสามารถใช้การเลื่อนจากมุมจอซ้าย-ขวาเพื่อย้อนกลับได้ ทำให้ใช้งานได้ง่ายจะถือเครื่องจากมือซ้ายหรือขวาก็สะดวก แถมถ้าเราเลื่อนค้างไว้อีกหน่อยก็จะเจอกับแอปก่อนหน้าให้เราย้อนกลับไปได้ด้วย ก็สะดวกดีในการใช้งานครับ
เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Convenience Tools > Navigation Buttons > Swipe Gesture from Both Sides
ขอบหน้าจอยังแจ้งเตือนได้เหมือนเดิม
ตอน Find X รุ่นแรกจะมีตัวเลือกการแจ้งเตือนที่ขอบหน้าจอสวย ๆ เวลามีแจ้งเตือนเข้าก็วาบเข้ามาที่ขอบจอ ฟีเจอร์นี้ยังติดมาให้กับ OPPO Find X2 | X2 Pro 5G อยู่นะครับ ซึ่งเวลามีการแจ้งเตือนเข้ามาตัวขอบหน้าจอโค้ง ๆ นี้ก็จะมีไฟติดวิ่งวนรอบหน้าจอเลย สวยมาก ๆ มีตัวเลือกสีให้เลือก 3 แบบ โชว์การแสดงผลสวย ๆ เลย
เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Display & Brightness > Screen Light Effects
มีหน้า AOD ด้วยนะ
แน่นอนว่าหน้าจอ Amoled แบบนี้การจะแสดงผลหน้านาฬิกาไว้ตลอดตอนล็อคก็ต้องทำได้ด้วย บน ColorOS7.1 จะใช้ชื่อเรียกว่า Screen-Off Clock ครับ มีให้เลือกมากมายทั้งแบบ Digital และ Analogue รวม ๆ แล้วก็กว่า 18 แบบเลยล่ะ ตรงนี้จะโชว์พวกไอคอนการแจ้งเตือนด้วย รวมถึงไอคอนสแกนลายนิ้วมือครับ
เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Display & Brightness > Screen-Off Clock
มี Dual Wi-Fi ใช้ได้ 2 คลื่นพร้อมกัน
OPPO Find X2 | X2 Pro 5G มาพร้อมกับระบบ Dual Wi-Fi ที่ให้เราสามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi 2 คลื่นความถี่ 2.4GHz และ 5GHz เข้าด้วยกันได้ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพและความเสถียรให้กับ Wi-Fi ได้มากขึ้นไปอีก แต่ตรงนี้ต้องบอกว่าจะมีแอปที่รองรับฟีเจอร์นี้อยู่ ไม่ใช่ทุกแอปจะใช้งานได้นะ แต่หลัก ๆ ก็โซเชี่ยลที่เราใช้ ๆ กันอยู่ Facebook, IG, Twitter , YouTube ได้หมดครับ
สแกนใบหน้ารวดเร็ว มองปุ๊บติดปั๊บ
ในส่วนของระบบสแกนใบหน้า OPPO Find X2 | X2 Pro 5G นั้นมีมาให้ด้วย ใช้งานได้รวดเร็วด้วยกล้องหน้าแบบ Punch Hole ทำงานได้รวดเร็วมาก เพราะไม่ต้องยกกล้องหรืออะไรขึ้นมาแล้ว แค่กดปุ่ม Power ปลุกจอขึ้นมาแล้วสแกนในทันทีก็ปลดล็อคหน้าจอได้แล้ว หรือจะเลือกให้เป็นแบบมองจอก่อนเช็กพวกการแจ้งเตือนแล้วค่อยสไลด์หน้าจอปลดล็อคก็ได้เช่นกันครับ
เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Fingerprint, Face & Password > Face
สแกนลายนิ้วมือรวดเร็วเซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้น
ในส่วนของระบบสแกนลายนิ้วมือก็อย่างที่บอกไปครับเซ็นเซอร์ในรอบนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นอีก ทำให้เรามีพื้นที่ในการแตะสแกนได้มากขึ้น การทำงานยังคงรวดเร็วไม่เปลี่ยนเรียกว่าแตะปุ๊บก็ติดปั๊บเลยล่ะ แถมตัวแอนิเมชั่นในการสแกนก็ยังมีให้เลือกปรับใช้งานเหมือนเดิม เพิ่มลูกเล่นในการสแกนนิ้วให้เราไม่เบื่อ ปรับได้มากกว่า 8 แบบเลยด้วยนะ
เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Fingerprint, Face & Password > Fingerprint > Animation Style
หน้าจอ ระบบเสียง เล่นเกม
จอเทพที่สุดแบบนี้ ดูอะไรก็ฟิน !
มาสู่เรื่องไฮไลท์อีกเรื่องของ OPPO Find X2 | X2 Pro 5G กับเรื่องของหน้าจอที่จัดเต็มมาก ๆ อย่างที่บอกไปทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมหน้าจอ Ultra Vision ขนาดใหญ่ถึง 6.78" พร้อมการแสดงผลสีแบบ True Billion Color Display แสดงผลสีได้มากถึง 1 พันล้านสี ค่าคอนทราสก็สูงมาก ๆ อีก การจะเอามาดูคอนเทนต์ที่คมชัดมาก ๆ นี่แจ่มเลย สีสันรายละเอียดมาครบสุด ๆ
นอกจากเรื่องฮาร์ดแวร์ที่เจ๋งมาก ๆ ใช้หน้าจอ 10Bit เป็นสองรุ่นแรกของโลกแล้ว ยังมีการเพิ่มตัวชิปใหม่ O1 Ultra Vision Engine เข้ามาเพื่อทำงานกับหน้าจอ Ultra Vision นี้โดยตรงทั้งการประมวลผล Frame Rate และระบบแสดงผลให้เป็น HDR รองรับหน้าจอ 120Hz อีกด้วย ถือเป็นครั้งแรกในวงการเลย เพราะคอนเทนต์ทั่ว ๆ ไปก็จะรองรับหน้าจอใหม่นี้ด้วยครับ ซึ่งจากที่ลองใช้งานเปรียบเทียบแบบเปิดกับปิด เห็นได้ชัดว่าความสมูทรวมถึงรายละเอียดของภาพนั้นแตกต่างกัน ถ้าเปิดนี่คือคอนเทนต์ส่วนใหญ่จะลื่นไหลไปหมด ซึ่งตัวคอนเทนต์สตรีมมิ่งหลักในปัจจุบันที่รองรับก็มี YouTube (60fps/120fps), Tencent Sports (60fps / 120fps), Amazon (60fps), Netflix (60fps) และอื่น ๆ อีกมากมายจะตามมาในเร็ว ๆ นี้ครับ
หน้าจอรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ ด้วย คอนเทนต์ต่าง ๆ บน YouTube และ Netflix ก็จะแสดงผลได้แบบเต็มที่ อย่างบน YouTube นี่เปิดแบบ HDR ได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1440p HDR เลย จอสวยโดดเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสีและความสว่าง ยิ่งใช้คู่กับตัว O1 Ultra Vision Engine ด้วยแล้วนี่เนียนตามคมชัดสุด ๆ อะ…ขอชมอีกที สวยจริง ๆ วุ้ยยย !
จอลื่นปรับความละเอียดและความสมูทได้ตามความเหมาะสม อย่างที่บอกว่าตัวหน้าจอนั้นแสดงผลได้ที่ระดับ QHD+ และ Refresh Rate สูงสุดที่ 120Hz เลยแต่ไม่ต้องห่วงเรื่องการใช้พลังงานเพราะตัวระบบจะมีตัวเลือก Refresh Rate 3 ตัวเลือก ให้เราได้เลือกในการตั้งค่า ได้แก่ “Auto Select”, 60Hz และ 120Hz ถ้าเลือกแบบ Auto Select ตัวระบบจะจัดการให้เองว่าแอปไหนควรใช้งานระดับไหนเพื่อประหยัดพลังงานที่สุดครับ
ซึ่งถ้าเราเปิดสุดแล้วการไถหน้าจอนี่มอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาก ลื่นไปหมด ติดนิ้วด้วย Touch Sampling Rate สูงถึง 240Hz อีกต่างหาก เลื่อนหน้าจอ ไถฟีดนี่ถูกใจมาก ปรู๊ดปร๊่ด ๆ
เสียงก็เยี่ยม ลำโพงคู่ Stereo
OPPO Find X2 | Find X2 Pro 5G ใช้ลำโพง full-band stereo speaker ที่มีแอมพลิจูดขนาด 0.65cc, ให้เสียงเบสที่หนักแน่นและเสียงแหลมที่ชัดเจน ทำให้ได้คุณภาพเสียงที่เกินกว่าคุณภาพเสียงที่มีความละเอียดสูง และเมื่อใช้ร่วมกับลำโพงสเตอริโอคู่และยังมี Dolby Atmos จะมอบประสบการณ์เสียงที่ยอดเยี่ยมอีกต่างหากครับ
ส่วนเรื่องหูฟังก็ใช้งานผ่านพอร์ต USB Type-C แทน หูฟังในกล่องก็ให้มาแบบ Type-C อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ถนัดก็ใช้งานหูฟังแบบไร้สาย OPPO เขาก็มี OPPO Enco Free หูฟังแบบ True Wireless ที่ใช้งานร่วมกับ Find X2 | Find X2 Pro 5G ได้ทันทีเพียงแค่เปิดฝาเคส ถ้าสั่งจองก็ได้รับตัวนี้เป็นของแถมไปด้วยเลยนะ อะ…ขายของให้เขาหน่อย :D
อ่านรีวิว OPPO Enco Free ได้ที่นี่
ประสิทธิภาพแรงถึงใจ
ก่อนจะเข้าเรื่องการเล่นเกม ก็มาดูที่ผลการทดสอบกันหน่อย OPPO Find X2 | Find X2 Pro 5G ให้สเปคหลัก ๆ มาใกล้เคียงกันทั้งหน่วยประมวลผลตัวแรง Snapdragon 865, แรม 12GB LPDDR5 แรงสุด ท็อปสุดตอนนี้ ผลคะแนนก็ออกมาน่าประทับใจมาก AnTuTu Benchmark ได้ในระดับ 500,000 คะแนนทั้งคู่เลย แรง !
ส่วนแอป GeekBench 5.0 นั้นก็ได้คะแนน Single-Core 904 คะแนน ส่วน Multi-Core ไปที่ 3029 คะแนน ท็อปของตารางอีกเช่นกันครับ !
เล่นเกมก็ฟิน ลื่นไปหมด ภาพดี เสียงแจ่ม
ในส่วนของการเล่นเกม Find X2 | Find X2 Pro 5G จะมาพร้อมกับระบบ OPPO Game Space ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพและจัดการระบบภายในให้พร้อมสำหรับการเล่นเกมมากที่สุด อาทิ การปิดการแจ้งเตือนบางอย่างออกไป, ล็อคแสงหน้าจอให้อยู่คงที่ หรือจัดการระบบเน็ตเวิร์คให้เสถียรสำหรับเกมออนไลน์ด้วย
ส่วนเกมที่เราจะมาทดสอบในรอบนี้ก็คือ Asphalt 9 และ Call of Duty Mobile ครับ สำหรับ Asphalt 9 ก็คงมาตรฐานได้ดี ปรับระดับกราฟิกได้สูงสุด ตัวเกมแสดงผลรายละเอียดกราฟิกได้สวยงามและลื่นไหลมาก ไม่เจอเฟรมเรตกระตุกเลยในขณะเล่น
ตัวหน้าจอที่คมชัดแบบนี้ทำให้แสดงรายละเอียดสีสันของกราฟิกได้อย่างดีครับ ฟินมากเวลามีเอฟเฟกต์แสงพุ่งออกมาจากตัวรถรวมถึงการเบียดชนรถคู่แข่งและมีความแตกกระจายของชิ้นส่วนออกมา เยี่ยม !
ส่วน Call of Duty ก็สามารถปรับระดับกราฟิกได้ที่ระดับ Very High รวมถึงเฟรมเรตก็ Very High ด้วย เปิดพวกลบรอยหยัก, Depth of Field ได้หมดเลย ในเกมก็รันได้ลื่นไหลดีจริง ๆ กราฟิกปรับสุดขนาดนี้ ตัวเฟรมเรตเล่นจริง ๆ ก็ถือว่าลื่นสมกับระดับ Very High แล้ว เล่นได้ต่อเนื่อง
เล่นบนหน้าจอลื่น ๆ พร้อม Touch Sampling 240Hz นี่ก็ช่วยให้เราสัมผัสเลื่อนหน้าจอไปได้อย่างดีมาก ๆ ติดนิ้วไปหมด การตอบสนองในการสัมผัสทำได้ดีมาก ๆ ลื่นไหลและตามมือดีจริง ๆ ช่วยให้ยิงต่อเนื่องได้แบบไม่ติดขัด
จังหวะยิงสาดกระสุนก็แม่นยำและไม่มีอาการดีเลย์ ตอบสนองการเล่นของเราได้อย่างดี แถมตัวลำโพงยังให้เสียงที่ยอดเยี่ยมกระจายออกมาแบบ Stereo ทำให้ได้ยินเสียงของกระสุนรอบด้านได้อย่างครบถ้วน
กล้อง
กล้องจัดหนัก ทั้งคู่ไม่ว่า Pro ไม่ Pro
เข้าสู่เรื่องกล้องกันเลย OPPO Find X2 | Find X2 Pro 5G นั้นมาพร้อมกับกล้อง 3 ตัวเหมือนกันทั้งคู่ อย่างที่บอกไป สเปคของกล้องจะค่อนข้างแตกต่างกันในส่วนนี้ แต่ระยะจะได้ทั้งช่วงมุมกว้าง, ปกติ และซูมทั้งหมด แต่ช่วงจะแตกต่างกันแบ่งสเปคกล้องออกมาคร่าว ๆ ดังนี้ครับ
OPPO Find X2 | 5G
- กล้องหลัก 48MP เซ็นเซอร์ IMX586 f/1.7
- เลนส์ Ultra Wide 12MP เซ็นเซอร์ IMX708 มุมกว้าง 116 องศา
- เลนส์ Tele 13MP (รองรับ Hybrid Zoom 5x, Digital Zoom 20x)
OPPO Find X2 Pro | 5G
- กล้องหลัก 48MP เซ็นเซอร์ Sony IMX689 1/1.43" f/1.7
- เลนส์ Ultra Wide Angle 48MP เซ็นเซอร์ IMX586 f/2.2 120 องศา
- เลนส์ Periscope 13MP (รองรับ Hybrid Zoom 10x, Digital Zoom 60x, และ VDO Zoom 30x)
จะเห็นว่าในส่วนของกล้องหลักนั้นได้ค่ารูรับแสงมาเท่ากันระยะเดียวกัน แต่เลนส์ Ultra Wide Angle และ Tele จะแตกต่างกันอยู่ ซึ่งแตกต่างตามการใช้งาน แต่เอาจริง ๆ สเปคกล้องของ OPPO Find X2 | 5G นี่ก็ถือว่าไฮเอนด์มาก ๆ แล้วล่ะครับ
ตัวอย่างภาพเปรียบเทียบมุม Ultra Wide Angle ระหว่าง Find X2 | 5G กับ Find X2 Pro | 5G
เชื่อว่าหลายคนคงอยากทราบความแตกต่างของกล้องจากทั้ง 2 รุ่นนี้ ซึ่งเราก็ไปถ่ายเปรียบเทียบมาให้ชมกันคร่าว ๆ กันให้เห็นความต่างหน่อยครับและผลที่ได้ก็อย่างที่เห็นในตัวอย่างด้านบนครับ ตัว Find X2 | 5G นั้นมีเลนส์ Ultra Wide Angle ที่แคบว่านิดหน่อย (116 องศา vs 120 องศา) ถ่ายในระยะเดียวกันจะเห็นว่าเก็บภาพได้น้อยกว่านิดหน่อยครับ
ตัวอย่างภาพเปรียบเทียบจากกล้องหลักระหว่าง Find X2 | 5G กับ Find X2 Pro | 5G
ตัวอย่างภาพเปรียบเทียบ Ultra Night Mode 3.0 ระหว่าง Find X2 | 5G กับ Find X2 Pro | 5G
ตัวอย่างภาพเปรียบเทียบ Portrait Mode ระหว่าง Find X2 | 5G กับ Find X2 Pro | 5G
ส่วนในช่วงปกติก็ไม่ต่างกันมากครับ ได้ค่ารูรับแสงมาที่ f/1.7 เหมือนกัน แต่เซ็นเซอร์ภายในแตกต่างกันอยู่ ซึ่งการใช้งานจริงทำได้ดีทั้งคู่ครับ แต่ในส่วนของโหมดอื่น ๆ อย่าง Ultra Night Mode และ Portrait สีสันนั้นแตกต่างกันอยู่นิดหน่อย โดยสีของ Find X2 | 5G นั้นจะมีความสดกว่านิดหน่อย แต่ของ Find X2 Pro | 5G จะออกสมจริงกว่าครับ
ตัวอย่างภาพเปรียบเทียบการซูมระหว่าง Find X2 | 5G กับ Find X2 Pro | 5G
ซูมต่างกันมากไหม ? อีกเรื่องก็คือช่วงซูมครับ แน่นอนว่าเลนส์ Tele ของทั้งคู่นั้นแตกต่างกันชัดเจน ซึ่ง Find X2 | 5G นั้นให้มาที่ 2x แบบ Optical มี Hybrid ที่ 5x และ Digital 20x ส่วน Find X2 Pro | 5G นั้นได้ Optical ที่ 5x เลยใช้ Hybrid ได้ที่ 10x และ Digital สูงสุดถึง 60x ทำให้ผลลัพธ์เวลาซูมไกล ๆ นั้นต่างกันชัดเจนครับ ดูจากภาพตัวอย่างเห็นได้ชัดว่าในระยะหลังจาก 5x ไปตัว Find X2 Pro | 5G นั้นยังคมชัด ในขณะที่ Find X2 | 5G จะเริ่มมีความแตกบ้างแล้วในระยะซูมมาก ๆ ขึ้นไปครับ
**หมายเหตุ** ทั้งนี้ตัวซอฟต์แวร์กล้องที่ใช้งานยังไม่ใช่เวอร์ชั่นไฟนอลที่ใช้ในเครื่องขายจริง ผลลัพธ์ภาพที่ได้อาจแตกต่างไปจากนี้ในซอฟต์แวร์ไฟนอลครับผม
กล้องอันดับ 1 อยู่ที่นี่แล้ว !!
เรื่องกล้องรอบนี้ OPPO Find X2 Pro | 5G ทำได้ยอดเยี่ยมมากจนขึ้นไปอยู่บนอันดับ 1 บนตารางคะแนนของ DXO MARK เลย และไหน ๆ ก็ได้คะแนนระดับนี้แล้ว เราเลยขอรีวิวกล้องของรุ่นนี้เด่นเป็นพิเศษหน่อยละกันครับ
ตัวกล้องหลักขอมาขยายเพิ่มเติมอีกหน่อย รอบนี้ OPPO ร่วมกับทาง Sony พัฒนาตัวฮาร์ดแวร์และซอฟต์ร่วมกันกับเซ็นเซอร์หลักตัวใหม่ Sony IMX689 และค่ารูรับแสง f/1.7 คมชัดมากขึ้น ตัวความละเอียดแม้จะไม่เพิ่มไปจากรุ่นก่อน (OPPO Reno 10x Zoom) 48MP เท่าเดิม แต่เซ็นเซอร์มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 1/1.43" ขนาดพิกเซลเดียว 1.12μm ทำให้เป็นเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเซ็นเซอร์ในกล้องสมาร์ทโฟนความละเอียด 48MP โดยพิกเซล 4 พิกเซลที่อยู่ติดกัน จะรวมตัวกันเป็น 1 พิกเซลขนาดใหญ่ 2.24μm ซึ่งเป็นขนาดพิกเซลเดียวที่ใหญ่ที่สุดในบรรดากล้องสมาร์ทโฟนที่รวมภาพออกมาเป็น 12MP เมื่อเปรียบเทียบกับเซ็นเซอร์รุ่นก่อนครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลักของ OPPO Find X2 Pro | 5G จะเห็นว่าคุณภาพโดยรวมนั้นทำได้ดีมาก เซ็นเซอร์ใหม่นี้ช่วยให้ได้ความคมชัดที่ดีขึ้น เก็บแสงได้ยอดเยี่ยม รวมถึงการละลายฉากหลังจากฮาร์ดแวร์เองโดยไม่ต้องเพิ่ง Portrait Mode ครับ
เลนส์ Ultra Wide Angle ความละเอียด 48MP
ในส่วนของเลนส์ Ultra Wide Angle รอบนี้อัปเกรดความละเอียดขึ้นมาสูงสุดถึง 48MP มั่นใจได้เลยว่าคุคุณภาพในมุมกว้างนั้นจะชัดเจนมากขึ้น ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586, ขนาด 1/2 นิ้ว, รูรับแสง F/2.2 และมุมกว้างสูงสุด 120 องศา ซึ่งทำให้การถ่ายภาพมุมกว้างพิเศษพร้อมความคมชัดสูงเป็นเรื่องที่ง่ายมากครับ
นอกจากนี้ตัวเลนส์ Ultra Wide Angle นี้ยังมีระบบ Autofocus ใช้งานเป็นเลนส์ Ultra Macro ด้วย ถ่ายภาพในระยะใกล้ ๆ ได้ที่ระดับ 3.5 ซม. เลยทีเดียว
ตัวอย่างภาพถ่ายจากเลนส์ Ultra Wide Angle มุมมองกว้าง 120 องศานั้นช่วยให้เราเก็บภาพวิวได้กว้างขึ้น มุมมองนั้นยอดเยี่ยมครับความ Distortion หรือขอบที่บิดเบี้ยวก็มีน้อยมาก ทำให้ภาพที่ออกมานั้นสวยและสมส่วน เซ็นเซอร์ใหม่ก็ช่วยให้เก็บภาพได้คมชัดมากขึ้น แถมการที่มี Autofocus มาและใช้งานเป็น Ultra Macro ได้ด้วยนี่ก็ยอดเยี่ยมครับ มีประโยชน์มาก ๆ
ซูมสุดพลังได้ 60x เลยนะจ๊ะ !
เรื่องพลังซูม OPPO เริ่มมาแล้วตั้งแต่ปีที่แล้วกับ OPPO Reno 10x Zoom รอบนี้อัปเกรดขึ้นไปอีก ใช้เลนส์ Periscope เหมือนเดิม ใช้งานวางชิ้นเลนส์แบบแนวนอนเพื่อรับภาพ แต่เริ่มต้น Optical อยู่ที่ 5x แล้ว (รุ่นก่อนเริ่มที่ 4x) ทำให้การซูมนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นในระยะที่ไกลออกไป เราสามารถซูมแบบ Hybrid ไม่เสียความละเอียดไปได้ถึง 10x เลย
หรือจะมากที่สุดก็ยังได้อีกถึง 60x แต่ตรงนี้จะเป็นแบบ Digital แล้ว เพิ่มระยะเข้าไปใกล้กว่าที่เคย แต่ก็อย่างที่บอกไประยะนี้จะเป็น Digital แล้ว ทำให้คุณภาพอาจจะไม่คมชัดที่สุดแต่ก็พอที่จะเห็นรายละเอียดครับ ใช้งานจริงสักระยะ 15x - 20x นี่กำลังสวยเลย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากการซูมของ OPPO Find X2 Pro | 5G ในเรื่องซูม OPPO ยังทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนเคยครับ มีการปรับแต่งในเรื่องของซอฟต์แวร์ให้เก่งมากขึ้น ในช่วงซูมที่สูง ๆ ถ้าโฟกัสไม่ติดระยะใกล้เกินไปก็จะปรับมาใช้แบบ Hybrid รวมภาพเพื่อความคมชัดแทนด้วย ทำให้ไม่พลาดในทุกช่วงจะโฟกัสได้ติดทั้งหมดครับ ส่วนช่วงซูมระดับ 5x - 10x นี่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ไฟล์คมชัดและไม่เสียรายละเอียดจริง ส่วน Digital ก็ทำได้ดีขึ้นครับภาพที่ออกมาได้ AI ช่วยปรับให้คมชัดขึ้นด้วย
Portrait แจ่มเหมือนเดิม มีฟิลเตอร์ให้เลือกปรับ
ในส่วนของโหมด Portrait ยอดเยี่ยมด้วยการใช้กล้องหลักในการถ่ายเลย ตัว UI มีให้เราเลือกปรับระดับ 2 ช่วงคือ 1x และ 2x พร้อมทั้งระดับความเบลอและฟิลเตอร์ให้เลือกปรับได้ด้วย เรียกว่าเลือกปรับอันที่เหมาะ ๆ แล้วถ่ายจบที่หลังกล้องได้เลย ไม่จำเป็นต้องมาปรับแต่งที่หลังครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait เห็นได้ชัดว่า OPPO ทำเรื่องนี้ได้ดีมาก สีสันสวยงามเป็นธรรมชาติ การตัดขอบรอบนี้ทำได้อย่างเนียนตาเลย ละลายสวยแถมเลือกปรับระดับได้ก่อนถ่าย ระยะที่มีให้เลือกใช้ช่วยให้ได้ภาพที่เหมาะสมมากขึ้น อยากได้ครึ่งตัวเต็มตัวปรับเอาได้ ส่วนความเนียนของใบหน้าก็จัดว่ายอดเยี่ยมครับปรับขึ้นมาได้สวยเนียนดีจริง ๆ ฟิลเตอร์ก็มีให้เลือกในโทนที่สวยงามจบหลังกล้องได้แบบไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเลย
Ultra Night Mode 3.0 ขั้นเทพ กลางคืนนี่งามจริง
อีกโหมดที่ OPPO เก่งมาตลอดก็คือโหมดกลางคืน รอบนี้ Ultra Night Mode 3.0 ยังพัฒนาขึ้นไปอีก ทำให้ถ่ายภาพได้ดียิ่งขึ้น ใช้งานได้ทุกช่วงเลนส์เลยจะถ่ายภาพกลางคืนแบบมุมกว้างด้วยเลนส์ Ultra Wide Angle, ถ่ายด้วยกล้องหลัก หรือซูมก็ใช้ง่ายได้ครบครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Ultra Night Mode 3.0 ก็ยังคงทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนเคยครับสำหรับโหมดกลางคืนของ OPPO ด้วยการที่จับภาพในหลาย ๆ สภาพแสงและประมวลผลเข้าด้วยกัน ทำให้เก็บรายละเอียดได้ดี สีสันที่ได้ก็สวยดีมาก ออกโทนสมจริง แถมในเรื่องการประมวลผลก็ทำได้เร็วขึ้นมากเลยทีเดียว ยิงทีฉับ ๆ
วิดีโอขั้นเทพ มีทั้งกันสั่นและความละเอียดสูง
การบันทึกวิดีโอของ OPPO Find X2 Pro | 5G นั้นสามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุดถึง 4K/60fps เลยด้วย รองรับระบบ Live HDR สามารถถ่ายวิดีโอแบบ HDR ได้แบบ real-time เลยด้วย มีระบบซูมได้สูงสุดในวิดีโอที่ 30x (บนความละเอียด 4K/30fps)
มีระบบกันสั่นเทพ Ultra Steady VDO (Pro) ด้วย
เรื่องระบบกันสั่น OPPO ชูเป็นจุดเด่นตั้งแต่รุ่น Reno2 ปีที่แล้ว พอมาเป็นรุ่น Find ก็จัดเต็มเลย มีทั้งแบบ Ultra Steady ปกติและ Ultra Steady Pro ซึ่งจะใช้งานตัวเลนส์แตกต่างกันแบบปกติใช้เลนส์หลักส่วน Pro เป็นเลนส์ Ultra Wide Angle ครับ
กล้องหน้าก็ยังสวยเหมือนเดิม
กล้องหน้าถึงแม้จะไม่มีกลไกยกขึ้นมาได้เกร๋ ๆ แล้ว แต่ตัวกล้องที่ฝังอยู่บนหน้าจอก็มีความละเอียดมากถึง 32MP เลยทีเดียว มาพร้อมโหมดครบ AI Beauty, Night, Portrait แถมในโหมดปกติยังมีระบบ Auto HDR ช่วยให้เราได้ภาพถ่ายที่สวยแม้ย้อนแสงอีกด้วย
ส่วนวิดิโอได้ความละเอียดสูงสุดที่ 32MP ครับสำหรับกล้องหน้าของ OPPO Find X2 Pro | 5G
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
แบตเตอรี่เยอะจุใจ ใช้งานได้ยาวนาน !
มาเข้าสู่เรื่องแบตเตอรี่ OPPO Find X2 | Find X2 Pro 5G ให้แบตเตอรี่มาเยอะระดับ 4200mAh แต่ตัว Pro จะเยอะขึ้นกว่าอีกนิดเป็น 4260mAh แบตฯระดับนี้ถือว่าใช้งานได้อย่างสบายใจครับ เมื่อเทียบกับสเปคโดยรวมแล้วบอกเลยว่าใช้งานได้เป็นอย่างดี ตัวหน้าจอ 120Hz หรือ QHD+ ก็ไม่ได้ส่งผลให้แบตเตอรี่หมดเร็วเลย เท่าที่ลองใช้มาจริง ๆ ถ่ายรูปเพลิน ๆ เล่นเกมบ้าง โซเชี่ยลจัด ๆ บอกเลยว่าเอาอยู่ครับ !
ระบบชาร์จไวที่สุดในโลก !
อีกเรื่องที่ OPPO โดดเด่นมาตลอดก็คือระบบชาร์จไว ที่ Find X2 | Find X2 Pro 5G นั้นจะมาพร้อมกับระบบชาร์จไว SuperVOOC 2.0 ที่ความเร็ว 65W เร็วที่สุดสำหรับสมาร์ทโฟนตอนนี้เลย ซึ่งตรงนี้ทาง OPPO เคลมว่าสามารถชาร์จจาก 0 - 100% ได้ในเวลาเพียง 38 นาทีเท่านั้น เร็วมากพี่จ๋าาา !!
จากที่ทดลองใช้งานมาจริง ๆ ก็พบว่าได้เร็วตามที่เคลมจริง ดูจากภาพด้านบนได้เลย เราชาร์จจาก 1% - 100% ใช้เวลาราว ๆ 39 นาทีเท่านั้น ไม่ต่างจากที่เคลมไว้เลยครับ เร็วมาก ๆ แถมอุณหภูมิของตัวเครื่องก็ไม่สูงจนเกินไปด้วย ดึงที่ชาร์จออกมาก็ยังแค่อุ่น ๆ เท่านั้น
ใครที่กังวลเรื่องความไวระดับนี้แล้วจะปลอดภัยไหม อันนี้ไม่ต้องห่วงครับถ้าใช้สายและอะแดปเตอร์ที่แถมมาในกล่องยังไงก็ปลอดภัยเพราะมีระบบรักษาความปลอดภัยถึง 5 ชั้น แถมยังผ่านการรับรองมาตรฐานจาก TUV Rhienland มาแล้วด้วย มั่นใจได้เลยว่าชาร์จเร็วแล้วก็ปลอดภัยมาก ๆ ด้วย
อ๊ะ ๆ ยังไม่หมด ! นอกจากจะรองรับระบบชาร์จไว SuperVOOC2.0 ของตัวเองแล้ว ระบบชาร์จอื่นอย่าง PD (18W) เจ้า OPPO Find X2 | X2 Pro 5G นั้นก็รองรับกับเขาด้วย ทำให้เราสามารถชาร์จเร็วกับอุปกรณ์เสริมอย่างพวก Power Bank หรืออะแดปเตอร์ชาร์จไวได้ด้วยก็ได้เช่นกันครับ มีประโยชน์มาก ๆ เพราะถ้าเร็วแค่กับของตัวเองก็คงไม่โอเคเนาะ
สรุปให้เลยแล้วกัน !
ก็มาถึงบทสรุปแล้ว OPPO Find X2 Series 5G ก็ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนเรือธง 5G สุดพรีเมี่ยมรุ่นใหม่ที่ให้ทุกอย่างมาได้ครบครัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เรียกว่าไม่มีกั๊กเลยให้มาสุดเท่าที่สมาร์ทโฟนจะหาได้ตอนนี้แล้ว ทั้งหน้าจอสุดยอดสเปค 10Bit 1 พันล้านสี, ความละเอียด QHD+ รองรับ Refresh Rate 120Hz ได้แถมยังมีชิปทำงานควบคู่ไปได้ด้วยอีก สเปคภายในก็ให้มาแบบสุดจัดของจริง Snapdragon 865 ตัวแรงที่สุดตอนนี้ (สองรุ่นแรกในไทยด้วย) แรม 12GB LPDDR5 แถมหน่วยความจำภายในก็ให้มาเยอะถึง 256GB และ 512GB หายห่วงเรื่องเม็มเต็มได้เลย ! ในเรื่องดีไซน์อาจจะไม่หวือหวาแต่ถ้าลองจับจริงแล้วจะรู้เลยว่าพรีเมี่ยมมาก ๆ ฟีเจอร์การใช้งานที่ให้มาอย่างครอบคลุมทั้งระบบสแกนลายนิ้วมือที่เร็วที่สุด แตะปุ๊บก็ติดปั๊บแม่นยำอีกต่างหาก, ระบบลำโพงคู่เสียงแน่น หรือจะเป็นซอฟต์แวร์ใหม่ที่ลื่นไหลปรับเข้ากับตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี ระบบชาร์จไวที่เร็วที่สุดในโลกตอนนี้ ชาร์จเร็วแบบไม่ต้องรออีกต่อไป และปิดท้ายเรื่องกล้องที่ให้มาครบทั้ง 2 รุ่นเลยจะ Pro ไม่ Pro ก็เทพทั้งนั้นครับ !
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite