สเปคกล้อง
รีวิวกล้อง Galaxy S20 Ultra 5G แบบจัดเต็ม ความละเอียด 108MP เป็นไง ซูม 100X ใช้ได้จริงไหม และวิดีโอ 8K ล่ะคมแค่ไหน มาชมที่นี่ !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับ Galaxy S20 Ultra 5G สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดของ Samsung ที่มีจุดเด่นใหม่มากมาย แต่ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเรื่อง "กล้อง" ที่รอบนี้จัดเต็มมาแบบไม่เคยมีมาก่อนด้วยกล้องหลังความละเอียดสูงสุด 108MP ระบบซูมที่ไกลที่สุดถึง 100X บันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงที่สุด 8K และฟีเจอร์อื่น ๆ อีกเพียบ ไหน ๆ กล้องก็เด่นมาขนาดนี้ งั้นเราขอมารีวิวเฉพาะกล้องไปก่อนเลยดีกว่าว่าเจ้า Galaxy S20 Ultra 5G นี้จะเด็ดดวงแค่ไหนครับ มามะ มาเริ่มกันเลยยย !!
สเปคกล้องเป็นไงอะตัวนี้ ?
ก่อนจะไปรีวิวกล้องกันเต็มที่ ขอพูดเรื่องสเปคกล้องของรุ่นนี้ ทำความรู้จักกันซะก่อนดีกว่า สำหรับ Galaxy S20 Ultra 5G ก็จะมาพร้อมกับกล้องหลังมากถึง 4 ตัว แบ่งเป็นกล้องที่ใช้เก็บภาพ 3 ตัว 3 ระยะการใช้งานและกล้อง ToF สำหรับวัดระยะตื้นลึกของภาพเพื่อการละลายฉากหลังในโหมดหน้าชัด-หลังเบลอนั้นเนียนขึ้นนั่นเอง ในส่วนของกล้อง 3 ตัวจะมีสเปคคร่าว ๆ ดังนี้ครับ
- กล้องหลัก: 108MP, f/1.8 เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.33", 0.8µm, PDAF, OIS (26 มม., มุมกว้าง 79 องศา)
- เลนส์ Ultra Wide: 12MP, f/2.2, 1.4µm, (13มม., มุมกว้าง 120 องศา)
- เลนส์ Periscope 4x: 48MP, f/3.5 เซ็นเซอร์ขนาด 1/2.0" 0.8µm, PDAF, OIS, รองรับ Optical Hybrid Zoom 10x (103 มม., มุมกว้าง 79 องศา)
- กล้อง Depth Vision: ToF 3D
อย่างที่เห็นว่าในเรื่องของสเปคกล้องนั้น S20 Ultra 5G นั้นจัดเต็มมากจริง ๆ มาพร้อมกล้องหลักความละเอียดสูงสุดถึง 108MP ถ่ายมากว้าง ๆ แล้วค่อยครอปเข้าไปยังคมชัดอยู่เลย มีกล้อง Ultra Wide ตัวใหม่ความละเอียด 12MP ลดมุมลงมาเหลือ 120 องศา (จากเดิม 123 องศา) แต่ยังไม่มีระบบ Autofocus มาให้เหมือนเดิมนะครับ ส่วนไฮไลท์อีกตัวก็คือเลนส์ Periscope ช่วงซูมใหม่ที่มาพร้อมระบบ Optical ที่ 4x และสามารถซูมได้สูงสุดถึง 100x เลยด้วย !
และการเพิ่มชิ้นเลนส์ใหม่พร้อมกับฮาร์ดแวร์ระดับเทพนี้เข้ามาก็ทำให้ตัวโมดูลกล้องนั้นใหญ่ขึ้นอย่างมาก มองจากด้านข้างนี้ก็ชัดเจนว่าตัวกล้องนั้นนูนออกมาจากตัวเครื่องอย่างเห็นได้ชัดและใหญ่แบบสุด ๆ ซึ่งในการใช้งานจริงก็อาจจะต้องหาเคสมาใส่เพื่อปกปิดความนูนนี้กันสักหน่อยล่ะเนาะ
UI การใช้งานกล้องของ Galaxy S20 Ultra 5G ออกแบบมาได้เข้าใจง่าย เหมือน OneUI ทั่วไป แต่รอบนี้เพิ่มระบบ Haptic Feedback แบบใหม่เข้ามา เวลากดถ่ายหรือเลื่อนโหมดจะมีความสั่นนุ่ม ๆ เพิ่มเติมด้วย อันนี้ชอบมากเลยล่ะ
**หมายเหตุ** ก่อนจะไปอ่านรีวิวเต็ม ๆ ขออธิบายนิดหนึ่งว่าตัวเครื่องที่เราได้มารีวิวนี้ยังไม่ได้ใช้ซอฟต์แวร์ตัว Final แบบที่ขายจริง ผลลัพธ์อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100% เพราะฉะนั้นปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นอาจจะไม่พบในเครื่องขายจริงก็ได้ครับ อ่านตรงนี้พอเข้าใจแล้วก็มาอ่านรีวิวกันเล้ย !
กล้องหลัก 108MP
ความละเอียด 108MP เป็นไง ไฟล์ใหญ่เลยล่ะสิ !
มาเริ่มดูกันทีละจุดเลยดีกว่า เริ่มต้นที่กล้องหลักความละเอียด 108MP พอเห็นตัวเลขแบบนี้แล้วหลายคนคงเกิดคำถามขึ้นมากมายทั้งในเรื่องความชัด ขนาดไฟล์จะใหญ่ไหม หรือ 108MP นี่ใช้ประโยชน์ได้จริงรึเปล่าล่ะ ? เราจะมาตอบคำถามนี้กัน
มาพร้อมเทคโนโลยี Nona Binning 9 in 1
Galaxy S20 Ultra 5G มาพร้อมเทคโนโลยีการรวมภาพแบบใหม่ที่เรียกว่า Nona Binning เป็นการรวมเอาพิกเซลจาก 9 มาเป็น 1 เพื่อให้ได้คุณภาพที่คมชัดมาก ๆ ในความละเอียดพิกเซลที่กำลังพอเหมาะพอเจาะสำหรับการใช้งานครับ หมายความว่าในโหมด Auto ปกติที่เราเปิดกล้องมา ตัวความละเอียดของภาพจะถูกตั้งไว้ที่ 12MP 12MP นี้มาจากไหน ก็อย่างที่บอกไปว่าเทคโนโลยี nona binning คือการรวมเอาพิกเซลจาก 9 มาเป็น 1 เพราะฉะนั้น 9 หาร 108 = 12 พอดี ในการใช้งานทั่วไปภาพที่เราได้จากกล้องของ S20 Ultra 5G ก็จะมีความคมชัดสูงแม้จะเหลือความละเอียดอยู่ที่ 12MP ก็ตามครับ
แต่ ! ถ้าอยากได้ความละเอียดแบบเต็มที่สุด ตัวแอปก็จะมีตัวเลือก 108MP มาให้เลือกปรับเช่นกัน ซึ่งเมื่อปรับมาใช้ความละเอียดนี้แล้วคุณภาพไฟล์ก็จะเต็มมากขึ้น แน่นอนว่าความละเอียดระดับนี้ใหญ่แบบสุด ๆ สามารถใช้ Wrap ตึกสูงได้ทั้งตึกเลยถ้าปริ้นออกมาจริง ๆ ซึ่งประโยชน์ของความละเอียดเต็มนี้คืออะไร ถ้าเราไม่ได้ใช้ Wrap ตึก !?
การครอปภาพไงครับ ! ด้วยความละเอียดที่สูงสุดขนาดนี้ เราสามารถถ่ายภาพกว้าง ๆ ออกมาแล้วเลือกครอปภาพที่จุดใดจุดหนึ่งของภาพเข้าไปได้อีกเยอะ โดยที่รายละเอียดของภาพจะไม่ถูกตัดทอนลงไปจากไฟล์ต้นฉบับมากนัก เหมาะสำหรับการถ่ายแบบเผื่อเลือกไว้ก่อน แล้วค่อนมาหาจุดเด่นทีหลังครอปเอาใช้งานได้อีก หรืออยากเจาะจุดเด่น ๆ แยกออกมาจากในภาพก็ทำได้ด้วยความละเอียดที่สูงขนาดนี้ครับ ซึ่งใน UI ของแอป Gallery ก็จะมีไอคอนไว้แคปหน้าจอแบบที่ได้ความละเอียดเต็ม ๆ เลยด้วยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลักความละเอียด 108MP เทียบกับ 12MP ปกติ จะเห็นว่าจากภาพตัวอย่างชุดนี้ ความละเอียดที่ 108MP นั้นใหญ่กว่าชัดเจนเวลาครอปภาพก็เห็นรายละเอียดได้มากกว่าโหมด Auto ที่ 12MP แต่ตรงนี้ก็ต้องแลกมากับขนาดไฟล์ที่ใหญ่กว่าเป็นเท่าตัวเลย ไฟล์ออกมาที่ระดับ 20 - 30MB ต่อภาพเลยล่ะครับ
เซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้นครั้งแรกในรอบหลายปี !?
ใช่ครับอีกเรื่องที่กล้องของ S20 Ultra 5G ทำได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ ก็คือขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น Samsung ใช้เซ็นเซอร์ขนาด 1/2.55" มาเป็นเวลานานมากกกก ! ตั้งแต่สมัย S7 ตั้งแต่ปี 2016 นู่นแหละ ไม่ได้เปลี่ยนเลย จนมาถึงรุ่นนี้ก็มีการยกเครื่องใหม่หมด บนกล้อง 108MP นี้ทีขนาดเซ็นเซอร์ที่ 1/1.33" ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ๆ เรียกว่าคุณภาพดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนมากหลายโข
ตัวอย่างภาพเปรียบเทียบระหว่าง Galaxy S20 Ultra 5G vs Galaxy S10+ เซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้นมิติภาพก็ดีขึ้นด้วย นอกจากเรื่องการเก็บแสงหรือความคมชัดแล้วส่วนที่ดีขึ้นจากเดิมก็คือมิติของภาพ การที่มีเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ระดับนี้แล้วการถ่ายภาพทั่วไป Depth หรือระยะตื้น-ลึกของภาพก็จะดีขึ้นด้วย แม้เราจะถ่ายในโหมด Auto ทั่วไปถ้าแบบกับวัตถุไกลกว่ากันหน่อย ฉากหลังก็จะละลายมากกว่าเดิม เทียบให้เห็นชัด ๆ กับ S10+ จะเห็นว่าในโหมด Auto เหมือนกันฉากหลังละลายมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
มี AI Scene Optimizer เร็วขึ้น เก่งขึ้น
ในส่วนของการใช้งานทั่วไป Galaxy S20 Ultra 5G จะมาพร้อมกับระบบ AI Scene Optimizer รอบนี้ Samsung ยอมใช้คำว่า AI เข้ามาแล้วนะจ๊ะ การทำงานคล้ายกับรุ่นก่อน ๆ แต่ประมวลผลภาพได้เร็วขึ้นมาก เล็งหมาขึ้นหมา เล็งคนขึ้นคนเลย ไม่ต้องรอนาน มีระบบ Auto HDR ที่ประมวลผลภาพย้อนแสงได้ดีขึ้น "มาก" เล็ง ๆ แล้วถ่ายเถอะ ออกมาสวยแน่นอน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Auto ที่ทำงานร่วมกับ AI Scene Optimizer
Space Zoom 100x
กล้อง Periscope ใหม่ ซูมสุดพลังกว่าที่เคย !
เข้าสู่กล้องซูมที่เป็นอีกจุดเด่นของ Galaxy S20 Ultra 5G โดยรอบนี้เพิ่มตัวเลนส์ Periscopoe เข้ามาสังเกตได้คือเลนส์สี่เหลี่ยมที่อยู่ล่าสุดนี่แหละ มาพร้อมความละเอียดสูงถึง 48MP ถือว่าเป็นครั้งแรกของกล้องซูมบนสมาร์ทโฟนที่ให้ความละเอียดมาสูงขนาดนี้เลย ปกติเราจะเห็นแค่ 8MP หรือ 13MP ซะส่วนใหญ่ และมีเทคโนโลยี Pixel Binning รวมพิกเซลจาก 4 ไปเป็น 1 ทำให้ผลลัพธ์ออกมาที่ 12MP ครับผม
โดยตัวเลนส์นี้จะใช้การวางตัวเลนส์เป็นแนวนอนแบบ 90 องศา วางชิ้นเลนส์ซ้อนกันถึง 4 ชิ้นเพื่อชิ่งแสงเข้าไปที่ตัวเซ็นเซอร์ลดระยะทางยาวของตัวเลนส์ ซึ่งตรงนี้ทาง Samsung ใช้ชื่อเรียกว่า Folded Lens การวางเลนส์แบบนี้จะช่วยให้เราสามารถซูมได้มากกว่าเดิมแต่ไม่เพิ่มขนาดของตัวชิ้นเลนส์จนหนาเตอะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของสมาร์ทโฟน แต่เป็นครั้งแรกของ Samsung ซึ่งทำได้ดีมากด้วย
โดยช่วงจริงของเลนส์ Periscope บน S20 Ultra 5G แบบ Optical คือ 4x และจะสามารถซูมแบบ Optical Hybrid ได้มากสุดถึง 10x เท่ากับว่าช่วง 4x - 10x เราจะได้ภาพในระยะซูมที่คมชัดแบบไม่เสียรายละเอียดเลย แต่ถ้าระยะซูมแบบ 2x - 3.9x อันนี้ก็จะกลายเป็น Digital Zoom ไปด้วยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากซูม Digital แบบ 2x - 3.9x และเปรียบเทียบ 3.9x กับ 4x จะเห็นความแตกต่างที่ค่อนข้างชัดครับเพราะ 3.9x เป็น Digital ในขณะที่ 4x เป็น Optical ไปแล้ว
ซึ่งการทำงานของระบบ Optical Hybrid Zoom นี้คือการใช้เลนส์ Periscope ร่วมกับกล้องหลักความละเอียด 108MP และประมวลผลภาพออกมาจนได้ความคมชัดที่สูงที่สุด
ตัวอย่างภาพถ่ายจากการซูมแบบ Optical Hybrid Zoom 5x - 10x จะเห็นว่าคุณภาพในการซูมทำได้ดีมาก ในระยะนี้หวังผลได้เลย ไฟล์คมชัดและช่วยให้เราได้ระยะที่มากกว่าบนสมาร์ทโฟนทั่วไป แถมการซูมมาก ๆ ระยะ Depth จะสวยงามมากขึ้นละลายฉากหลังได้คล้ายกับบนกล้อง Compact หรือ Mirrorless ระดับเบื้องต้นได้เลย
และนอกจากนั้นจะเป็นแบบ Digital Zoom แล้ว หมายความว่าต่อจากนี้จะเป็นการซูมแบบครอปภาพแล้วครับ แน่นอนว่าคุณภาพก็ไม่ได้ดีเท่ากับ Optical Hybrid Zoom แน่นอน ซึ่ง S20 Ultra 5G สามารถทำได้ถึง 100x เลย แต่เท่าที่ลองใช้งานจริง ในระยะที่ยังหวังผลได้คือระดับ 15x - 20x ไฟล์ยังรับได้และคมชัดอยู่ แต่ถ้ามากกว่านั้นก็พอซูมเข้าไปให้เห็นได้อยู่ แต่ไม่ได้เหมาะกับการใช้งานแบบจริงจังสักเท่าไหร่
ตัวอย่างภาพถ่ายจากการซูมแบบ Digital 30x - 100x ระยะซูมตั้งแต่ 10x ขึ้นไปก็จะเป็นการซูมแบบ Digital แล้ว คุณภาพพอรับได้ครับ อย่างที่บอกว่าหวังผลอะไรไม่ได้มากนัก แต่ส่วนตัวชอบในเรื่องของระบบกันสั่นที่ให้มาเพราะ OIS ทำงานดีมาก แม้จะซูมเข้าไปที่ระดับ 30x หรือ 100x ตัวกล้องยังนิ่งอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้ไม่ได้ใช้งานขาตั้งกล้อง และมีระบบ AI คอยจัดการเกลี่ยภาพให้คมชัดมากขึ้นอีกหน่อยหลังจากถ่ายเสร็จแล้วด้วยครับ
โดยรวมในเรื่องการซูม Galaxy S20 Ultra 5G ทำได้ดีมาก ๆ ในสภาพแสงกลางวันสภาพแสงปกติ ตัวกล้องทำงานได้ดีมาก ซูมได้รายละเอียดที่คมชัดจริง ๆ และระยะซูมที่มากมายตั้งแต่ 1x - 100x ก็ช่วยเพิ่มระยะการใช้งานให้เราได้มากกว่าเดิมเยอะ แทนที่การเดินเข้าไป ช่วยให้เราการเข้าถึงได้เป็นอย่างดี ระยะ 4x - 10x ไฟล์ที่ได้น่าประทับใจจริง ๆ ส่วนระยะ 100x อาจจะดูเป็นเพียง Gimmick ที่ใช้โปรโมทอยู่ แต่ก็ถือว่าทำได้จริง และที่ชอบอีกอย่างก็คือเรื่องของความสมูทของการซูมที่สามารถซูมได้อย่างลื่นไหลและภาพที่ได้ในแต่ละเลนส์ก็มีความใกล้เคียงกันมาก ๆ ด้วย สีไม่ต่างกันในแต่ละเลนส์เท่าไหร่ครับ เยี่ยมเลย !
Ultra Wide
มีเลนส์ Ultra Wide ใหม่ด้วยนะ
ไปข้างหน้าได้เยอะถึง 100x แล้ว ย้อนหลังก็ทำได้อีก 0.5x แหนะ ตรงนี้อาจจะดูไม่หวือหวาเท่าไหร่สำหรับเลนส์ Ultra Wide เพราะ Samsung เริ่มใส่มาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว รอบนี้ลดความกว้างลงจากเดิมที่ 123 องศามาเป็น 120 แทนด้วย แต่เลนส์ Ultra Wide ของ Galaxy S20 Ultra 5G รอบนี้ก็มีการเปลี่ยนเซ็นเซอร์ไปด้วยเช่นกัน เพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นจากเดิม 1/3.1" มาเป็น 1/2.55" ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นการเก็บแสงก็จะดีขึ้นไปอีก
แต่น่าเสียดายที่ตัวเลนส์ไม่มีความสามารถ Autofocus มาให้ด้วย เพราะฉะนั้นลูกเล่นอย่าง Macro ระยะใกล้ก็ไม่มีติดมาเช่นกัน เป็นได้แต่เพียงเลนส์มุมกว้างเก็บภาพวิวสวย ๆ ไปเนาะ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากเลนส์ Ultra Wide ของ Galaxy S20 Ultra 5G ในเรื่องของคุณภาพทาง Samsung ยังคงทำได้ดีในเลนส์ตัวนี้ ถึงแม้มุมมองจะไม่กว้างเท่าเก่า แต่พวก Dynamic Range ต่าง ๆ ทำได้สมบูรณ์และเข้ากับตัวซอฟต์แวร์ได้เป็นอย่างดีเลยครับ
Single Take
Single Take โหมดใหม่ฉลาดจริง ครบทุกอย่างในโหมดเดียว
โหมดใหม่ที่น่าสนใจมาก ๆ บน Galaxy S20 Series รอบนี้ก็คงหนีไม่พ้น Single Take ที่เรากดชัตเตอร์เพียงครั้งเดียว แล้วกล้องก็จะทำการบันทึกไปเรื่อย ๆ เป็นเวลา 3 - 10 วินาที (ขึ้นอยู่กับสถานการณ์) จากนั้น AI จะคำนวณให้เราและทำภาพรวมถึงวิดีโอรวมกันประมาณ 5 - 10 ภาพ ให้เราเลือกใช้งานได้ทีหลัง โดยจะคัดภาพ Best Shot มาให้ 1 ภาพก่อน
ตัวอย่างภาพถ่ายที่ถ่ายจากโหมด Single Take ของ Galaxy S20 Ultra 5G จะเห็นว่าตัวเลือกนั้นมีให้เลือกเพียบเลย ทั้งภาพนิ่งแบบปกติ ภาพนิ่งแบบหน้าชัด-หลังเบลอ ภาพนิ่งที่ใส่ฟิลเตอร์ให้แล้ว, วิดีโอแบบเร็ว ๆ, วิดีโอแบบปกติ และอีกอื่น ๆ ตรงนี้เหมาะสำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่รู้จะถ่ายในสถานการณ์นั้น ๆ ยังไง แต่อยากได้หลากหลายรูปแบบก็กดถ่ายโหมดนี้เลยครับ แล้วก็ค่อยมาเลือกผลลัพธ์เอาทีหลังอีกทีว่าอยากได้ภาพแนวไหน
Live Focus
Live Focus ฉลาดขึ้นมาก
โหมดหน้าชัด-หลังเบลอของ Galaxy S20 Ultra 5G หรือ Live Focus รอบนี้ฉลาดขึ้นมาก มีระยะให้เลือก 2 ช่วงคือ 1x หรือ 2x พร้อมเอฟเฟกต์ละลายฉากหลังได้มากถึง 5 รูปแบบด้วยกัน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Live Focus จาก Galaxy S20 Ultra 5G ถึงแม้ลูกเล่นต่าง ๆ จะเหมือนเดิม แต่การที่มีกล้อง ToF เข้ามาช่วยทำให้การตัดขอบต่าง ๆ เนียนมากขึ้น ตามช่องแขนที่ปกติมักจะโดนหลอกได้ง่าย ๆ และไม่ยอมเบลอให้ รอบนี้ก็เก็บได้ครบหมด แถมตัว Auto HDR ก็ยังใช้งานกับโหมด Live Focus นี้ได้ด้วย ทีนี้ถ่ายภาพย้อนแสงก็ย้อนแสงเถอะ หน้าชัดฉากหลังละลายพร้อมแสงครบถ้วนเลย
Bright Night
กลางคืนใหม่ Bright Night เก่งกว่าเดิมอีก
ส่วนโหมดกลางคืนรอบนี้ใช้ชื่อว่า Bright Night Mode เหมือนเดิม ทฤษฏีในการใช้งานเหมือนกันคือเก็บภาพจากหลาย ๆ สภาพแสงแล้วมาประมวลผลเป็นภาพกลางคืนที่สวยสุด ๆ รอบนี้สามารถลากไปได้ถึง 8 วินาทีเลยทีเดียว และรอบนี้ยังสามารถใช้งานร่วมกับเลนส์ได้ถึง 3 เลนส์เลย Ultra Wide, Wide และ Tele ได้หมด
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Bright Night ของ Galaxy S20 Ultra 5G คุณภาพทำได้ดีขึ้นจริง ๆ มีการทำงานร่วมกับ AI ที่บางจังหวะตอนกดถ่ายภาพเหมือนจะสั่นอยู่บ้าง แต่พอประมวลผลเสร็จตัวภาพที่ได้ สวยคมและจุดที่เราโฟกัสจริง ๆ ก็นิ่ง มีการเล่นเส้นไฟขยับอยู่บ้าง รวม ๆ ทำได้น่าประทับใจมากครับ
My Filters
My Filter อยากได้ภาพโทนไหน Samsung ทำตามได้
เคยไหมที่เห็นภาพถ่ายของคนโน้นคนนี้สีสวยจับใจ อยากได้โทนแนวนี้บ้าง แต่ปรับยังไงก็ไม่สวยสักที ปัญหานี้จะหมดไปเมื่อเพื่อน ๆ ใช้ฟีเจอร์ My Filter บน Galaxy S20 Series อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจมาก วิธีการเข้าไปใช้งานก็ง่าย ๆ ดังนี้
- เลือกเข้าไปที่ไอคอนฟิลเตอร์ที่มุมขวาบนของ UI กล้อง
- จากนั้นเลือกไปที่ My Filter
- เลือกภาพตัวอย่างที่เราอยากได้มา
- จากนั้น AI จะประมวลผล
- และสร้าง Filter นั้นขึ้นมาให้เราใช้งาน
- เท่านี้เราก็จะได้โทนภาพสไตล์เดียวกับที่เราต้องการแล้ว
ตัวอย่างภาพถ่ายจากฟีเจอร์ My Filter ถึงแม้โทนภาพจะไม่ได้เป๊ะแบบ 100% แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้คล้ายคลึงมาก น่าสนใจตรงที่มันทำงานง่ายมาก และปรับโทนออกมาได้สะดวกโดยเก็บไว้ใช้ในครั้งต่อ ๆ ไปได้อีกต่างหาก แต่ถ้าอยากจะเอามาปรับเพิ่มให้กับรูปที่เคยถ่ายไปแล้ว ตรงนี้จะยังทำไม่ได้นะครับ ไม่มีตัวเลือก My Filters ในเมนูตกแต่ง คงต้องรออัปเดตกันต่อไป
VDO 8K
วิดีโอเป็นไงบ้าง ? ภาพนิ่งจัดเต็มขนาดนี้
จบภาพนิ่งไปแล้วเรียบร้อย มาเข้าสู่เรื่องของวิดีโอกันบ้าง Galaxy S20 Ultra 5G มาพร้อมกับความสามารถในการบันทึกวิดีโอสูงสุดถึง 8K (24fps) ถือว่าเป็นครั้งแรกบนสมาร์ทโฟนเลยที่บันทึกความละเอียดได้ระดับนี้ ซึ่งวิดีโอที่ใหญ่ขนาดนี้มองในมุมการใช้งานทั่วไปอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ทีวีที่รองรับความละเอียดระดับนี้ก็ยังน้อยอยู่ แต่ ! การที่มีมาให้แบบนี้ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ซะทีเดียว
เพราะถ้ามองในมุมการตัดต่อหรือใช้งานร่วมกับการปรับแต่งเพิ่มเติมการมีไฟล์ความละเอียดสูงขนาดนี้ก็ยังช่วยให้เราครอปภาพเข้าไปได้ เลือกเจาะจงในส่วนใดส่วนหนึ่งของวิดีโอเพิ่มเติมได้แบบที่จะไม่เสียรายละเอียดเยอะ ตรงนี้ก็คล้าย ๆ กับภาพนิ่งที่ 108MP ครับ ถ่ายมาเผื่อครอป วิดีโอก็เช่นกัน
ตัวอย่างวิดีโอความละเอียด 8K จาก Galaxy S20 Ultra 5G จะเห็นว่าคุณภาพความคมชัดนั้นดีมาก ๆ คือมันคมไปหมดด้วยความละเอียดที่สูงระดับ 7680 x 4320 พิกเซล ไฟล์ใหญ่ชนิดที่เรียกว่าซูมดูบนมือถือยังไงก็ไม่แตกเลยล่ะ แต่มุมมองจะถูกครอปลงไปกว่าในความละเอียดปกติเยอะ และเฟรมเรตที่ 24fps อาจจะไม่ลื่นไหลเท่าไหร่ ถ้าได้มาสัก 30fps น่าจะลื่นไหลกว่านี้เนาะ สำหรับขนาดไฟล์ก็ใหญ่อยู่นาทีละประมาณ 600MB ได้เลยครับ
8K VDO (Snap) ไฟล์ใหญ่ขนาดนี้แคปเพิ่มได้เลย
แต่จุดขายที่เขาชูมาอีกอย่างก็คือฟีเจอร์ 8K VDO Snap ที่ดูใช้ได้จริงมาก ๆ เพราะด้วยความละเอียดที่ใหญ่ชัดขนาดนี้แล้ว การที่เราจะแคปมาเป็นไฟล์ภาพจะได้เท่ากับความละเอียด 33MP เลยทีเดียว ซึ่งมันใหญ่และคมชัดมาก ๆ เหมาะสำหรับโมเมนต์ที่อยากได้วิดีโอชัด ๆ เก็บไว้ แต่ใจหนึ่งก็อยากได้ภาพคม ๆ ไว้ด้วย ก็ค่อยมาเลือกแคปในส่วนที่สำคัญ ๆ จากตัววิดีโออีกที ซึ่ง UI ของเครื่องเล่นจะมีไอคอนให้แคปหน้าจอได้อยู่แล้ว แตะแคป ๆ ได้ในความละเอียด 33MP ได้เลย !
Super Steady 2.0
Super Steady 2.0 แล้ว มันจะนิ่งอะไรขนาดน้าน
ความละเอียดสูงสุด ๆ แบบนั้นไม่อยากได้เลย อยากได้กันสั่นนิ่ง ๆ มากกว่า ไม่มีปัญหาครับ Galaxy S20 Ultrs 5G มาพร้อมกับฟีเจอร์กันสั่นวิดีโอขั้นเทพอย่าง Super Steady 2.0 อัปเกรดใหม่ที่นิ่งกว่าเดิม เพิ่มกันสั่นมาให้ในระดับ 60 องศา คือถือถ่ายได้นิ่ง ๆ เลยโดยไม่ต้องพึ่งไม้กันสั่น จะวิ่งจะเอียง บิด โยกต่าง ๆ ทำได้สมูทสุด ๆ ไปเลยล่ะ
ตัวอย่างวิดีโอที่ถ่ายด้วย Super Steady 2.0 อย่างที่เห็นว่าวิดีโอนั้นมีความนิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตัวกล้องที่ใช้ยังเป็นเลนส์ Ultra Wide และกล้องหลักทำงานร่วมกันกดสลับช่วงซูมได้ แต่น่าเสียดายที่ความละเอียดสูงสุดยังคงถูกล็อคไว้ที่ 1080p/30fps เท่านั้น ถ้ามากกว่านี้ได้ก็คงจะแจ่มไม่น้อยครับ
โหมดวิดีโออื่น ๆ
วิดีโอสลับหน้า-หลังขณะถ่ายได้แล้วนะ
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เอ…เรียกว่าฟีเจอร์ได้ไหมน้า ก็คือการสลับกล้องไป-มาระหว่างที่ถ่ายได้แล้ว ปกติเราจะใช้งานวิดีโอได้ที่ละฝั่ง คือจะถ่ายกล้องหน้าก็ถ่ายไป แต่ถ้าอยากสลับมากล้องหลังก็ต้องหยุดแล้วสลับกล้องค่อยเริ่มใหม่ แต่บน S20 Series นั้นสามารถกดสลับกล้องได้ขณะบันทึกเลย สะดวกมาก ๆ เหมาะสำหรับสาย Vlog ที่ถ่ายหน้าตัวเองอยู่ แล้วก็กดปุ๊บสลับไปดูอะไรจากกล้องหลังได้เลย เยี่ยมมากครับ
Live Focus Video ก็สลับเอฟเฟกต์ได้ขณะถ่ายเช่นกัน
นอกจากนี้ในโหมด Live Focus Video หรือวิดีโอแบบหน้าชัด-หลังเบลอก็ยังสามารถกดสลับเอฟเฟกต์ได้ทันทีในเมนูกล้องเลยด้วย ทีนี้อยากได้วิดีโอหน้าชัด-เบลอ สลับไปเอฟเฟกต์ฉากหลังขาว-ดำหรือรูปแบบอื่น ๆ ก็ทำได้ทันทีแล้ว
Pro Video มาแล้ว
ถ่ายวิดีโอแล้วไม่ถูกใจเลย อยากได้แบบปรับเองมีไหม ? (ไม่รู้ถามใคร 555) แต่มีครับ รอบนี้ Galaxy S20 Series มีเพิ่มโหมด Pro Video เข้ามาแล้ว ให้เราสามารถปรับค่าต่าง ๆ ได้เอง ทั้ง Shutter Speed, ISO, ระบบโฟกัส, โทนสี, รวมถึง White Balance ได้เองด้วย เหมาะสำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากปรับค่าตามสไตล์เราเองมาก ๆ เลย
สรุป
ความร้อนเป็นยังไง การใช้งานจริงโอเคไหม
ปิดท้ายกันในเรื่องความร้อนและการใช้งาน ด้วยฮาร์ดแวร์มหาเทพขนาดนี้ทั้งภาพนิ่งวิดีโอความละเอียดสูงไปหมด เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยในเรื่องการใช้งานว่าถ้าถ่ายต่อเนื่องจริง ๆ แล้วมันโอเคไหม เท่าที่ลองใช้งานมาจริง ๆ เจอข้อสังเกตหลัก ๆ เลยก็คือเรื่องความร้อนนี่แหละ เพราะการประมวลผลของกล้องทั้ง 4 ตัวนั้นใช้พลังงานอย่างมาก ยิ่งตอนซูมเยอะ ๆ สัมผัสได้เลยว่าตัวขอบเครื่องนั้นอุ่นยิ่งถ้าด้านบนเรียกว่าร้อนเลยก็ว่าได้ ถ้าใช้ถ่ายภาพกลางแจ้งนี่ตัวดีเลย และบางครั้งถ้ากล้องร้อนมากจริง ๆ ตัวแอปกล้องจะมีอาการดีดออกและต้องรอจนเครื่องเย็นขึ้นหน่อยก่อนที่จะใช้งานได้ต่อไปครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขอย้ำอีกครั้งว่าเครื่องที่เราได้มาทดสอบนี้เป็นยังไม่ใช่ซอฟต์แวร์ตัวสมบูรณ์แบบที่จะวางขาย เครื่องขายจริงเชื่อว่าจะมีอัปเดตในเรื่องนี้ออกมาแก้อย่างแน่นอนครับ
สรุป !
สรุปแล้วในเรื่องกล้อง Galaxy S20 Ultra 5G ก็ถือว่ามีการพัฒนาในเรื่องของกล้องมาได้อย่างน่าสนใจด้วยฮาร์ดแวร์ระดับมหาเทพทั้งกล้องหลักความละเอียดสูง 108MP เลนส์ Periscope ซูมสุดใจได้ 100x และวิดีโอที่ละเอียดยิบระดับ 8K จุดขายที่ว่ามานี้เท่าที่ลองใช้งานจริงถือว่าทำออกมาได้สมกับที่โฆษณาไว้ครับ ถึงแม้ฟีเจอร์หลัก ๆ จะยังเป็นแค่ Gimmick อยู่ แต่ถ้าจะใช้งานจริงก็ตอบโจทย์ได้อยู่ เซ็นเซอร์หลักดีขึ้นช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยเก็บแสงและรายละเอียดได้ดีกว่ารุ่นก่อนมาก ! เลนส์ Periscope ที่สามารถซูมแบบ Optical Hybrid แบบ 10x ได้อย่างไม่เสียรายละเอียดนี่ก็ช่วยให้เราได้ภาพในระยะที่มากกว่าปกติและดีมากด้วย ส่วน 100x พอใช้ได้อยู่แต่ก็แบบ Digital อะเนอะ และสุดท้ายกับวิดีโอ 8K ก็ดูจะเป็น Gimmick ไม่แพ้กันแต่ถ้าใครอยากบันทึกความทรงจำไว้เผื่ออนาคตก็ถือว่าอนาคตมาถึงในเครื่องนี้แล้วล่ะ !
สุดท้ายนี้นี่ก็เป็นเพียงรีวิวในส่วนของกล้องเท่านั้น Galaxy S20 Ultra 5G ยังมีดีในเรื่องอื่น ๆ อีก ขอเฮียไปทดสอบใช้งานเพิ่มเติมอีกหน่อยแล้วจะมาสรุปให้ในรีวิวฉบับเต็มนะครับ สำหรับวันนี้ เฮียแม็พ. TechXcite และ Galaxy S20 Ultra 5G คงต้องลาไปก่อน ไว้พบกันใหม่บทความหน้าครับ :D
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite