Preview : Samsung Galaxy Buds+ อัปเกรดใหม่ ตีบวกประสิทธิภาพในราคาเท่าเดิม !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความพรีวิวอุปกรณ์ใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับ Galaxy Buds+ หูฟังตัวล่าสุดของ Samsung ที่เปิดตัวมาควบคู่กับ Galaxy S20 Series นั่นเอง รุ่นนี้ก็ถือว่าอัปเกรดสเปคภายในมาได้ตอบโจทย์มากขึ้น ใช้งานได้ดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และหลังจากที่ได้ลองฟังมาคร่าว ๆ ก็ขอพรีวิวให้อ่านกันสักหน่อยว่ารุ่นนี้ดีขึ้นแค่ไหนเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนที่เฮียใช้อยู่ทุกวัน มามะ เริ่มกันเลย :D
รูปลักษณ์เดิม พกพาง่ายเหมือนเดิม
ในส่วนของดีไซน์มองเผิน ๆ แล้วไม่มีอะไรแตกต่างจาก Galaxy Buds รุ่นแรกเลย ตัวเคสมาในทรงแคปซูลเหมือนเดิม พกพาได้ง่าย แต่รอบนี้มีการปรับรูปแบบของฝาเคสให้เป็นแบบกลอสซี่ดูหรูหรามากขึ้น
นอกนั้นก็แทบไม่ต่างกัน ถ้าดูจากสเปคและขนาดตัวเคสนั้นก็เท่ากันเป๊ะ ๆ มีปรับสีนิดหน่อย ด้านในเวลาเปิดฝามาจะเห็นตำแหน่งที่แตกต่างกันอยู่ตัวโลโก้ L R เขยิบลงมาล่างตัวไฟ LED แจ้งเตือนแล้ว รุ่นก่อนจะกระจุกอยู่ในที่เดียวกันครับ
ที่ด้านหน้าจะมีไฟ LED ไว้บอกสถานะการชาร์จอยู่ด้วย เท่ากับว่าตัวเคสมีไฟ LED อยู่ 2 จุดทั้งด้านในและด้านนอกครับ ด้านในเอาไว้บอกสถานะการชาร์จของตัวหูฟัง ส่วนด้านนอกบอกการชาร์จของตัวเคสนั่นเอง
ตัวเคสยังมาพร้อมกับพอร์ตการชาร์จแบบ USB Type-C ง่ายต่อการชาร์จไม่ต้องพกสายมากมาย ใช้ชุดเดียวกับสมาร์ทโฟนได้เลย ตัวเคสรองรับการชาร์จแบบไร้สายเหมือนเดิม ก็ชาร์จกับแท่นชาร์จไร้สายหรือฝาหลังสมาร์ทโฟนที่มีระบบ PowerShare ได้เลยครับ
เช่นเดียวกับตัวเคสตัวหูฟังก็มาในทรงเดียวกันเป๊ะ ๆ อย่างที่บอกว่าในเรื่องของดีไซน์นั้นไม่ได้แตกต่างจากเดิมเลย ส่วนตัวคิดว่ามันก็ลงตัวอยู่แล้วล่ะเนอะดีไซน์นี้ ใครที่ชอบหูฟังแบบ In-Ear เจ้า Galaxy Buds+ นี้ก็เหมาะมาก ใส่เข้าหูแล้วก็แน่นพอดีไม่ต้องกลัวหลุดหรือหล่นง่าย ๆ
ตัวหูฟังจะเพิ่มตัว Woofer และ Tweeter เข้ามาทำให้เสียงดีขึ้น เพิ่มไมโครโฟนด้านนอกมากอีก 1 ตัว น้ำหนักตัวหูจะหนักขึ้นกว่ารุ่นเดิมนิดหน่อยตามสเปคคือ 0.7 กรัม ซึ่งใช้งานจริงแล้วไม่รู้สึกอะ ทำน้ำหนักได้ดีเหมือนเดิม ที่ตัวหูจะมีเซ็นเซอร์ในการตรวจจับการใช้งานเหมือนเคยครับ
โดยรวมในเรื่องของดีไซน์ก็ปรับเปลี่ยนไม่มากอย่างที่บอก แต่ของเดิมก็ดีอยู่แล้ว ทั้งขนาดที่พกพาได้ง่ายทรงแคปซูล ตัวหูฟังก็ออกแบบมาดีสำหรับคนที่ชอบทรง In-Ear อยู่แล้วคงชอบ ใส่ง่ายและน้ำหนักเบา มีไฟ LED บอกสถานะต่าง ๆ ไว้ครบทั้งด้านนอกและด้านใน ตัวฝาที่เปลี่ยนมาเป็นแบบกลอสซี่ไม่ถูกใจเท่าแบบก่อน แต่มันก็ดูหรูหราขึ้นน่ะนะ
ใช้งานง่ายเหมือนเดิม
ในส่วนของการเชื่อมต่อ ถ้าเพื่อน ๆ ใช้สมาทโฟน Galaxy อยู่แล้ว ก็ง่ายเลย แค่เอาตัว Buds+ มาวางใกล้ ๆ ตัวเครื่อง ระบบจะตรวจจับให้เอง และขึ้น Pop Up มาแบบในภาพให้เราแตะเชื่อมต่อกันได้ทันที
ตัวแอปที่ใช้จะเป็น Galaxy Wearable เหมือนเดิม ใช้สำหรัลปรับการตั้งค่าเพิ่มเติม มีให้โหลดบน Play Store สำหรับสมาทโฟน Android รุ่นอื่น และรอบนี้ Samsung ยังใจดีส่งแอป Galaxy Buds+ ลง App Store ให้ผู้ใช้งาน iOS ได้ใช้ฟีเจอร์แบบเต็ม ๆ เหมือนกับสมาร์ทโฟน Galaxy เลยด้วยครับ
การตั้งค่าต่าง ๆ ในแอปจะมีให้เลือกอย่างโหมด Ambient Sound ที่เปิดรับเสียงภายนอกเข้ามา เลือกได้ 3 ระดับครับ หรือการตั้งค่าพวก Equaliser, ระบบสัมผัสที่ตัว TouchPad ก็ปรับตรงนี้ได้ รอบนี้เพิ่มการเข้าถึง Spotify ด้วยการแตะค้างเข้ามาด้วย
มี Game Mode แล้ว ช่วยให้ซิงค์เสียงและภาพได้ตรงกันมากขึ้น จากที่ลองมาในงานยอมรับเลยวาาทำได้ดีขึ้นจริง ๆ ครับ ไม่ถึงกับตรงเป๊ะ แต่พอเล่นได้เลย ดีกว่ารุ่นก่อนพอควร ตรงนี้น่าจะถูกใจคอเกมแน่นอนครับ
ส่วนเรื่องเสียงจากที่ฟังคร่าว ๆ ทำได้ดีขึ้นครับ มีความแน่นมากขึ้น ถึงแม้จะไม่มีระบบตัดเสียง ANC (Active Noise Cancelling) แต่ตัวหูฟังแบบ In-Ear ก็ช่วยให้เสียงนั้นชัดเจนกว่าแบบ EarBuds ทั้วไปอยู่แล้ว
แบตเตอรี่อึดขึ้น ชาร์จไวกว่าเดิม
อีกเรื่องที่อัปเกรดขึ้นมาแบบจริงจังก็คือแบตเตอรี่ รอบนี้อึดขึ้นกว่าเดิม Samsung เคลมว่าตัวหูฟังใช้งานได้นาน 11 ชม. แถมตัวเคสยังสามารถชาร์จเข้าไปได้อีก 1 รอบ ทำให้รวม ๆ แล้วฟังได้ถึง 22 ชม. เลยทีเดียว
แถมยังรองรับการชาร์จเร็ว เอาหูฟังเข้าเคสชาร์จเพียง 3 นาที ก็ฟังต่อเนื่องได้อีก 1 ชม. ด้วยนะ และแน่นอนว่าตัวเคสยังคงรองรับระบบชาร์จแบบไร้สาย (รองรับ Qi) เหมือนเคยด้วยครับ
สรุปคร่าว ๆ หลังลองสัมผัส
โดยรวมแล้ว Galaxy Buds+ อัปเกรดใหม่มาในรอบนี้ก็ถือว่าทำได้ดีครับ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากขึ้น ถึงแม้ดีไซน์จะไม่เปลี่ยนไปมากแต่มันก็ลงตัวอยู่แล้ว มีการปรับปรุงประสิทธิภาพทั้งคุณภาพเสียงและการซิงค์ได้เป็นอย่างดี รวมถึงแบตเตอรี่ที่เคลมว่าอึดขึ้นนี่ก็น่าจะถูกใจใครหลาย ๆ คนแน่นอนครับ
ราคา
Galaxy Buds+ วางจำหน่ายราคาเท่าเดิมคือ 4,990 บาทมีให้เลือก 4 สีคือ สีขาว สีดำ สีฟ้า และสีแดงจะตามมาทีหลังครับ วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันที่ 16 มี.ค.นี้ครับผม
พรีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite