ดีไซน์
Review : iPhone 11 กับการใช้งานจริงกว่า 2 เดือน อื้ม…มันคุ้มค่าไหมนะ !?
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือกับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย มาแล้วนะมาแล้วกับรีวิว iPhone 11 หลังจากแกะกล่องแล้วหายไปนาน เพราะไปใช้งานจริงมากกว่า 2 เดือนนี่แหละ ตอนนี้ก็กลายเป็นเครื่องหลักของเฮียไปเรียบร้อย ผ่านมา 2 เดือนที่ใช้งานมาก็เจอสิ่งที่น่าสนใจชอบ ไม่ชอบอยู่หลายอย่างเลยทีเดียว วันนี้จะขอมาเล่าแบบจัดเต็มให้อ่านกันละกันว่า iPhone 11 ในปีนี้นั้นถูกใจเราแค่ไหน มามะ มาเริ่มกันเลย !!
ดีไซน์ก็ไอโฟนอะนะ ไม่หวือหวาแต่ก็ดีอะ
ในเรื่องของการออกแบบ คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากเราคงคุ้นชินกับ iPhone ในรูปลักษณ์นี้มาสักพักแล้ว หลังจากที่เปิดตัว iPhone Xr ไปเมื่อปีที่แล้ว มีติ่งบนหน้าจอขนาดใหญ่ที่หลายคนก็แซวกันบ่นกันมาตลอด แต่เอาเข้าจริงในการใช้งานก็ไม่ถึงกับเป็นอุปสรรคเท่าไหร่ แอปต่าง ๆ ก็รองรับครบอยู่แล้วแหละ ก็ใช้ดีไซน์นี้มาตั้ง 2 ปีแล้วนี่เนอะ
แต่จุดที่ขัดใจจริง ๆ ของ iPhone 11 นี่ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของขอบหน้าจอที่ไม่รู้จะหนาไปไหน ยิ่งถ้ามีการใส่เคสเข้าไปด้วยก็รู้สึกว่าหนาเตอะไปเลย ถึงแม้จะไม่มีผลต่อการใช้งานอะไร แต่ก็มีผลต่อความสวยงามอยู่นิดหน่อยน่ะนะ
ตัวหน้าจอก็เป็นแบบ LCD ที่ Apple เรียกว่า Liquid Retina Display ตรงนี้แอบประทับใจในความสวยนะ ถึงแม้ในสเปคจะแอบผิดหวังก็เถอะ ในการใช้งานจริงบอกเลยว่าสวยกว่าที่คิดและรับได้เลย มุมมองก็กว้างและความละเอียดที่ระดับ HD+ นั้นทำได้คมระดับ FHD+ ซะงั้น เอ้อ…จอสวยอะ
บอดี้ก็กระจกสวยพร้อมลูกเล่นที่มุมกล้อง
ตัวฝาหลังก็เป็นกระจกมันวาวตามสไตล์ iPhone สวยและดูดีทีเดียว มีการแบ่งกระจกเป็น 2 แบบที่ตัวฝาหลังจะเป็นแบบมันวาวและตรงกระจกกรอบเลนส์ก็จะเป็นแบบด้านแทน แต่ตรงนี้จะเป็นกระจกชิ้นเดียวกัน ช่วยเพิ่มมิติของฝาหลังได้มากกว่าแบบเรียบ ๆ ของรุ่นก่อนเยอะ สีสันของ iPhone 11 ก็มีมาให้เลือกเยอะ แน่นอนว่าเฮียเลือกสีแดงมาเพราะชอบสีนี้ที่สุด
ตัวเลนส์กล้องหลายคนบ่นว่าออกแบบมาไม่สวย แต่สำหรับ iPhone 11 ที่เรียงแบบนี้ส่วนตัวก็ไม่รู้สึกว่าแย่อะไรครับ วางแนวนอนก็ดูสวยดีไม่หยอกแอบคล้ายตานกฮูกด้วยอะ :P ซึ่งการใช้สีของตัวเครื่องมาบนกรอบเลนส์แบบนี้ก็ดีเพราะเวลาใส่เคสก็จะได้เห็นหน่อยว่าเราใช้สีอะไร ไม่ปิดทึบไปทั้งด้านหลังเนาะ แต่เอาจริง ๆ เห็นพูดเรื่องกล้องไม่สวย ๆ มากันเยอะ ใช้งานจริงเราก็ไม่ได้หันฝาหลังมาดูบ่อย ๆ อยู่ดีเพราะมองแต่จอด้านหน้าอะ :P
กรอบเครื่องแบบอลูมิเนียมผิวด้านนี่แหละดี
กรอบเครื่องของ iPhone 11 จะเป็นอลูมิเนียมแบบด้าน ซึ่งส่วนตัวชอบผิวสัมผัสแบบนี้ที่สุดเพราะมันจับได้ง่ายไม่หนืดมือแถมทำความสะอาดง่ายกว่าแบบผิวมัน อันนั้นจับนิดจับหน่อยก็ต้องคอยมาถู ๆ เช็ด ๆ กันแล้ว
ปุ่มกดอะไรก็วางออกแบบมาได้ดีแล้ว กดได้ง่ายและสัมผัสได้ดีกดแล้วมีความกึก ๆ และตัวปุ่ม Silent ก็ช่วยให้เราสลับโหมดการใช้งานเสียงกับเงียบได้ง่าย ๆ ตรงนี้พวกสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ไม่ค่อยมีมาให้ พอมาใช้งานบน iPhone ก็ง่ายไปอีกแบบ
พอร์ตการเชื่อมต่อน่าเสียดายที่ยังเป็น Lightning อยู่ ถ้าเปลี่ยนมาใช้เป็น USB Type-C น่าจะสะดวกกว่านี้ เพราะอุปกรณ์ทั้งหลายที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็ Type-C กันหมดแล้วอะเนอะ (iPad Pro ก็ด้วย) แต่สำหรับผู้ใช้ iPhone รุ่นก่อน ๆ การใช้ Lightning เหมือนเดิมก็อาจจะพอใจดีอยู่แล้วเพราะใช้ชุดชาร์จหรือหูฟังเดิมได้เลยอะเนาะ
โดยรวมในเรื่องของดีไซน์ iPhone 11 ก็มาในทรงที่อาจจะไม่หวือหวามากนัก แต่ก็ลงตัวในความเป็น iPhone ครับ ขนาดที่กำลังพอเหมาะกับหน้าจอระดับนี้ พกพาได้สะดวก น้ำหนักก็ไม่ได้เบาเท่าไหร่ แต่ก็ให้อารมณ์ที่หนักและแน่นหนาดีทีเดียว จะมีเรื่องที่ติดใจอยู่ก็คงเป็นเรื่องขอบหน้าจอที่ทำไมต้องหนาเตอะมาขนาดนั้นแค่นั้นแหละครับ
ฟีเจอร์การใช้งาน
iOS 13 ที่เริ่มสมบูรณ์แล้ว
ในเรื่องซอฟต์แวร์และการใช้งาน iPhone 11 ก็มาพร้อมกับ iOS 13 ตั้งแต่แกะกล่อง ซึ่งผ่านมา 2 เดือนหลังจากใช้งานไปก็รู้สึกว่าเริ่มเข้าที่แล้ว ในช่วงแรก ๆ ที่ใช้งานตอบยอมรับเลยว่ามีบั๊กอยู่เยอะทีเดียว ทั้งเรื่องแอปเด้ง เครื่องค้างในบางจังหวะบ้าง ตอนนี้ก็ดีขึ้น เพราะมีการอัปเดตแก้บั๊กมาตลอด ๆ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาครับ
การทำงานของ iPhone 11 ต้องยอมรับว่าใช้รูปแบบ Gestures เต็มรูปแบบนี่ก็สะดวกและคล่องตัวเอามาก ๆ ตรงนี้ผู้ใช้ iPhone X หรือ Xs มาก่อนหน้านี้ก็อาจจะไม่ได้รู้สึกว่าหวือหวาอะไร แต่ถ้ามาจาก iPhone 8 ลงไปหรือฝั่ง Android ก็จะรู้สึกได้ว่า Apple นั้นออกแบบและคิดเรื่องรูปแบบนี้มาได้ดีมาก ๆ การทำงานเลื่อนหน้าจอรูดไปมาสลับแอปต่าง ๆ ลื่นไหลแบบไม่มีสะดุด นี่แหละต้นตำรับจริง ๆ
การควบคุมต่าง ๆ ก็ยอดเยี่ยม ชอบพวกระบบสั่นในการใช้งานในแอปหลัก ๆ ทั้งการแตะ การกด ระบบสั่นดูนุ่มนวลและมาในจังหวะที่ดีมาก อาทิ เวลาเรากดถ่ายรูปก็จะสั่งเบา ๆ ให้เรารู้สึก ระบบ Haptic Touch ที่มาแทนที่ 3D Touch ถึงแม้จะแยกแยะระดับแรงกดไม่ได้แต่ก็ยังสามารถแตะแชะไว้ใช้งานได้อยู่
คีย์บอร์ดก็ดีพิมพ์ง่าย วาง Layout ดี ตัวคีย์บอร์ดหลักของ iPhone 11 ก็เป็นแบบเดียวกับพวก iPhone X หรือ iPhone Xs นั่นแหละครับ ใช้งานได้ดีด้วยการวางตำแหน่งที่พอดีนิ้วและแตะได้ง่ายไม่ผิดตัว แต่ที่ชอบที่สุดก็คงหนีไม่พ้นระบบ Cursor ที่เราสามารถใช้การกดปุ่ม Spacebar ค้างไว้แล้วเลื่อนไปมาได้ ตรงนี้ใช้พิมพ์แก้คำผิดต่าง ๆ ได้ง่ายมาก แต่ถ้าใครใช้พวกรุ่นที่มี 3D Touch มาก่อนอาจจะต้องปรับตัวหน่อย เพราะไม่สามารถแตะแรง ๆ บนแป้นได้แล้วต้องมากดที่ Spacebar อย่างเดียวเนาะ
แต่ยังมีจุดที่ขัดใจอยู่บ้างก็คือด้วยความเป็น iOS ก็จะมีการฟรีซแอปต่าง ๆ อยู่บ้างเวลาเรากดโฮมออกมา ทำให้การทำงานอาจจะไม่ต่อเนื่องเหมือนพวก Android อย่างปกติเราอัปพวก Story IG บน Android พอกดโพสต์ก็ออกได้เลย หรือส่งรูปเข้าอัลบั้มใน LINE ก็ปล่อยมันอัปเบื้องหลังได้เลย แต่ใช้บน iPhone เวลาเราออกมาก็จะไม่อัปโหลดต่อเลย ตรงนี้แอบขัดใจจริง ๆ นะ
มี Dark Mode ให้เลือกปรับแล้วอย่างที่ทราบว่า iOS 13 นั้นจะมาพร้อมกับ Dark Mode ให้เลือกปรับเป็นโหมดมืดเพื่อความสบายตาและประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้น เท่าที่ลองใช้งานมาก็ทำได้ดีครับ ตัวแอปหลัก ๆ ของเครื่องก็เปลี่ยนมาเป็นสีมืดสบายตา แถมช่วยลดการใช้แบตเตอรี่อีกด้วย
FaceID ก็เร็วดี ใช้จนชินก็โอเค
iPhone 11 มาพร้อมระบบปลดล็อคเพียงอย่างเดียวคือ FaceID หรือสแกนใบหน้า ซึ่งคนที่ใช้ Android มาตลอดอย่างเฮียแรก ๆ ที่มาใช้ก็ไม่ค่อยชินเท่าไหร่ ปกติเราจะสแกนนิ้วบนหน้าจอบ้าง สแกนหลังเครื่องบ้าง พอมาเป็น iPhone ก็ต้องสแกนหน้าอย่างเดียว แรก ๆ ก็ต้องปรับตัวหน่อยเพราะส่วนใหญ่เราก็ต้องมองที่หน้าจอตลอดให้ระบบสแกน ไม่สามารถเอานิ้วไปแตะสแกนนิ้วได้ บางครั้งใส่ Mask ก็สแกนไม่ได้ หรือนอนเล่นก็สแกนไม่ติดอยู่บ้าง
แต่ถ้าเริ่มปรับตัวให้ชินได้ก็ถือว่าโอเคครับ ใช้งานเหมือนพวกสแกนหน้าของ Android นั่แหละ แต่ระบบพวก Raise to Wake และ Tap to Wake ของ iPhone นั้นทำได้ดี ตอบสนองการทำงานได้ดีมาก ไม่ลั่นมั่วซั่วเวลาใช้งาน และความเร็วก็ดีมากด้วย
สเปคและประสิทธิภาพ
รุ่นล่าสุดสเปคจัดเต็ม เล่นอะไรก็ลื่น
ในเรื่องของสเปคก็คงต้องยอมรับอีกนั่นแหละว่า iPhone 11 นั้นให้มาแบบไม่กั๊กและจัดเต็ม ทุกการใช้งานจริง ๆ จะทำอะไรก็ลื่นไปหมด ทั้งหน่วยประมวลผล Apple A13 Bionic แรมก็ให้มา 4GB มีความจุมาให้เลือก 3 ความจุคือ 64GB/128GB/256GB ซึ่งตัวที่รีวิวนี้เฮียเลือก 128GB มานั่นเอง
สเปค iPhone 11
- หน้าจอ LCD 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล (19.5:9)
- หน่วยประมวลผล Apple A13 Bionic Hexa-Core (7 nm+)
- แรม 4GB
- ความจุ 64GB/128GB/256GB
- แบตเตอรี่ 3110 mAh
- กล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล f/2.2
- กล้องหลังคู่ 12 + 12 ล้านพิกเซล f/1.8 + f/2.4
- (Main + Ultra Wide 120 องศา)
- ขนาดตัวเครื่อง 150.9 x 75.7 x 8.3
- น้ำหนัก 194 กรัม
- รองรับ 2 ซิม (NANO-SIM + eSIM)
- รองรับระบบสแกนใบหน้า Face ID
- กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 (ลงน้ำได้ลึก 2 เมตรนาน 30 นาที)
- รัน iOS 13
คะแนนสูงสุด ๆ
ถ้าจะให้เห็นภาพอีกนิดก็คงต้องเอาตัวเลขมาการันตีกันสักนิด สำหรับ iPhone 11 ถ้านำมาทดสอบประสิทธิภาพผ่านแอปทดสอบหลัก ๆ อย่าง AnTuTu Benchmark ก็จะได้คะแนนที่สูงถึง 495,374 คะแนนเลย *0*
ส่วนการทดสอบ CPU บนแอป GeekBench 5 นั้น คะแนนก็สูงไม่แพ้กัน ด้วยคะแนน Single-Core ที่ 1331 และ Multi-core ที่ 3209 เรียกว่าแรงขึ้นกว่ารุ่นก่อนเกือบเท่าตัวเลยทีเดียวถ้าดูจากตัวเลขแบบนี้
สเปคแรงเล่นเกมอะไรก็ลื่น
อีกจุดที่ iOS ทำได้ดีมาตลอดก็คือเรื่องการเล่นเกม เพราะเกมหลัก ๆ นั้นออกแบบมาให้รองรับอย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงแรก ๆ ที่เครื่องออกอาจจะมีปัญหากับเกมบางเกมอยู่บ้าง แต่จนถึงตอนนี้เกมฮิต ๆ นั้นรองรับและปรับคุณภาพกราฟิกได้สูงสุดแทบทั้งหมด แถมประสิทธิภาพก็ลื่นมาก ๆ อีกด้วย
อย่าง Call of Duty Mobile ในช่วงแรกที่เกมออกจะปรับเฟรมเรตได้แค่ Very High ล่าสุดก็เป็น Max เรียบร้อย เกมเพลย์ก็ลื่นไหล ขนาดตัวเครื่องและการวางปุ่มต่าง ๆ ก็ถนัดในการเล่นได้เลย ไม่ต้องปรับตัวให้ยุ่งยาก ประสิทธิภาพก็ล้นเหลืออย่างที่บอกไปครับลื่นตลอดถึงจะเล่นต่อเนื่องนาน ๆ ก็เถอะ
หรือจะเป็น Asphalt 9 ก็ทำได้ดีไม่แพ้กันแต่ทีเด็ดก็คือบน iOS นั้นจะปรับเฟรมเรตได้สูงถึง 60fps ในขณะที่บน Android จะมีเพียงไม่กี่รุ่นที่เลือกปรับได้ แถมปรับแล้วก็ลื่นไหลไม่เจออาการกระตุกความลื่นไหลนั้นต่างกันพอควรเลยกับ 30fps กับ 60fps น่ะนะ
เรื่องเล่นเกมเอาจริง ๆ รุ่นล่าสุดแบบนี้เกมอะไรที่ปล่อยออกมาก็เล่นได้ลื่นไหลอยู่แล้ว พร้อมรองรับเต็มรูปแบบอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ และที่สำคัญยังมาพร้อมกับแพลตฟอร์มเกมเฉพาะตัวอย่าง Apple Arcade อีกด้วย ได้เล่นเกมเจ๋ง ๆ แบบ Exclusive เพิ่มเติมแบบที่หาจากเครื่องไหนไม่ได้อีก
หน้าจอก็สวยกำลังดีลำโพงคู่นี่โดนใจ
ในเรื่องหน้าจอสำหรับการรดูหนังหรือเล่นเกม ตรงนี้ทำได้ดีเลยล่ะ อย่างที่บอกไปว่าหน้าจอของ iPhone 11 นั้นดูดีกว่าที่คิด ตัวจอ IPS อาจจะแสดงผลสีสันได้ไม่สดเท่ากับพวก Amoled หรือ OLED แต่ถ้าใช้งานทั่วไป ดูไฟล์ภาพ วิดีโอก็ถือว่าตอบโจทย์อยู่นะ ขนาดหน้าจอที่ 6.1 นิ้วก็กำลังดีเลย ส่วนติ่งบนหน้าจอก็พอรับได้ครับ ใช้จนชินก็โอเคอยู่ แต่เรื่องที่ไม่ค่อยชินจริง ๆ ก็คงเป็นเรื่องขอบจอที่หนา ๆ นี่แหละ :P
เรื่องเสียงอันนี้ต้องชมครับ มาพร้อมลำโพงคู่แบบ Stereo ที่ให้เสียงได้ดีมาก ๆ กระจายออกมาแบบมีมิติใช้ฟังเพลง ดูหนัง เล่นเกมได้อย่างเต็มอิ่ม ในเครื่องเล็ก ๆ แบบนี้เสียงดีกว่าที่คิด ส่วนเรื่องการใช้งานผ่านหูฟังก็ใช้ผ่านพอร์ต Lightning เลยใช้หูฟังในกล่องก็ได้ หรือจะหูฟังไร้สายเดี๋ยวนี้ก็มีให้เลือกเยอะขึ้นแล้ว จะเป็น AirPods ไปเลยก็สะดวกดีครับ
กล้อง
กล้องสวย ใช้งาน ก็ไอโฟนอะเนอะ
เป็นอีกจุดที่หลายคนคาดหวังกันมาตลอดสำหรับกล้องของไอโฟน รอบนี้ iPhone 11 ก็มีการอัปเกรดขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจ ด้วยกล้องคู่ที่ได้เลนส์ Wide และ Ultra Wide มาให้ใช้งาน ซึ่ง 2 ระยะนี้ก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่ว ๆ ไปแล้ว ตัวกล้องจะมีระบบ Smart HDR และ Deep Fusion มาให้ด้วย ช่วยให้ได้ภาพที่สวยงามและคมชัดขึ้นกว่าเดิมไปอีก
รวมถึงมีเพิ่มโหมดการถ่ายภาพกลางคืนเข้ามาให้เราเก็บภาพแสงน้อยได้สวยยิ่งขึ้น ไม่น้อยหน้าคู่แข่งแล้วด้วย ซึ่งตัวโหมดหลัก ๆ ก็มีเท่านี้ ตัว UI ใช้งานได้ง่ายไม่วุ่นวาย ตรงนี้น่าจะเป็นจุดเด่นของไอโฟนที่เน้นความง่ายในการถ่าย
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก iPhone 11 ภาพโดยรวมทำได้ดีขึ้นมาก ทั้งการเก็บแสงรายละเอียดต่าง ๆ แต่เท่าที่ลองมาจริง ๆ ภาพจะติดอมเหลืองหน่อย ๆ แต่มีความเรียลของภาพอยู่เยอะ ตัว Smart HDR ปรับให้ภาพนั้นดูมีมิติและแสงสวยใช้ได้ ส่วนตัว Deep Fusion ก็เร่งความคมชัดของภาพขึ้นได้คมดี แต่บางภาพอาจจะคมเกินไปหน่อยก็มี Night Mode ของ iPhone 11 ก็เก็บรายละเอียดของภาพและแสงได้เยี่ยมเลย จะออกมาเป็นโทนกลางคืนที่สวยมากกว่ากลางคืนเป็นกลางวัน ตรงนี้เน้นความสมจริงเข้าว่าจริง ๆ เนาะ
ส่วนโหมด Portrait ก็ใช้ตัวเลนส์หลักในการถ่าย ตรงนี้ระยะอาจจะกว้างไปหน่อย ถ้าถ่ายแล้วมาครอปเพิ่มอีกหน่อยจะได้มุมที่กำลังสวยเลย แต่การตัดขอบและการละลายฉากหลังทำได้ดีขึ้นไปอีก ตรงนี้ชอบเลย Portrait สวยคม
วิดีโอก็แจ่ม
ในเรื่องวิดีโอ น่าจะเคยได้ยินมาเยอะแล้วว่า iPhone 11 Series นั้นเทพเรื่องนี้ขึ้นมาก เท่าที่ลองใช้งานมาจริง ๆ ต้องยอมรับครับว่าทำได้ดีจริง ๆ เพราะใช้งานได้ทั้งเลนส์ Wide และ Ultra Wide แบบ 60fps การเก็บสี Dynamic Range รวมถึงความสมูทของภาพและการกันสั่นทำได้ยอดเยี่ยมมากเลยล่ะ
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
แบตเตอรี่อึดขึ้นจริง
ในเรื่องของแบตเตอรี่เห็น Apple เคลม ๆ ว่าแบตฯอึดขึ้นกว่ารุ่นก่อน 1 ชม. ซึ่งเฮียก็ไม่เคยใช้รุ่นก่อนมาไม่รู้มันแค่ไหนอะนะ :P แต่เอาเข้าจริงก็รู้สึกว่าแบตฯของ iPhone 11 นั้นทำได้ดีมาก ตามสเปคแล้วจะได้แบตฯมาประมาณ 3100mAh เท่านั้น แต่ที่ใช้งานมาตลอด 2 เดือนนี้ มันทนกว่าที่คิดไว้เลย อยู่ในระดับเดียวกับสมาร์ทโฟน Android ที่มีแบตฯระดับ 4000mAh ได้เลยล่ะ คือใช้งานทั้งวันได้โดยไม่ต้องพึ่ง PowerBank แล้ว
เล่นเกมดูหนัง ถ่ายรูปแบบทั่วไปเลย ดึงสายชาร์จตอนเช้าตั้งแต่ประมาณ 8 โมงจนถึงค่ำ ๆ 1 ทุ่มแบตฯก็ยังเหลือใช้งานราว ๆ 30% เลยด้วย เรียกว่าจัดการระบบภายในได้ดีครับ บวกกับ Dark Mode ที่เฮียใช้ด้วยอันนี้ข้อดีจริง ๆ
ชาร์จไว 18W แต่ซื้อที่ชาร์จแยกเอานะ
อันนี้น่าจะเป็นเรื่องที่น่าติมากที่สุดสำหรับ iPhone 11 เลยล่ะ ตัวเครื่องนั้นรองรับระบบชาร์จไว PD แบบ 18W แต่อุปกรณ์ในกล่องดันให้มาแค่อะแดปเตอร์เก่า ๆ ที่ชาร์จได้ไวแค่ 5W ให้ตาย ! นี่มันยุคไหนแล้ว อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะให้มาสัก 10W ก็ยังดี เพราะมันชาร์จได้ช้ามากจริง ๆ แหละ
ซึ่งทางแก้สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากได้ระบบชาร์จเร็วก็คือต้องซื้ออุปกรณ์แยกอย่างสาย Lightning to Type-C และอะแดปเตอร์ที่รองรับ PD มาอีกชุด ซึ่งถ้าเป็นของแบรนด์ 3rd Party ก็จะหาซื้อได้ในราคาราว ๆ 4 - 500 บาทต่อชุด หรือของ Apple เองเลยก็ข้ามไปถึง 1,880 บาทเลยทีเดียวครับ
แต่ก็ยอมรับว่าถ้ามีชุดชาร์จไวมาด้วย จะช่วยให้ชาร์จเร็วขึ้นจริง เพราะชาร์จ 30 นาทีก็ได้แบตฯขึ้นมาประมาณ 50% แล้ว เร็วใช้ได้เลย คือถ้าแถมมาเลยแบบรุ่น Pro นี่จะครบมาก ๆ นะ แหม่ !
สรุปเลยละกัน !
หลังจากได้ลองใช้เป็นเครื่องหลักมากว่า 2 เดือน ต้องยอมรับว่า iPhone 11 ก็มีจุดเด่นและข้อดีอยู่เยอะเลยทีเดียว ทั้งในเรื่องของระบบที่รันได้อย่างลื่นไหล การทำงานต่าง ๆ ลงตัวขึ้นมาก หน่วยประมวลผลและสเปคก็คือตามฉบับไอโฟน รองรับการทำงานไปอีกยาว ๆ กล้องที่ดีขึ้นทั้งภาพนิ่งและวิดีโออย่างมาก มี 2 มุมมองให้เลือกใช้ ดีไซน์ที่ถึงไม่หวือหวาแต่ก็ใช้งานได้ดีอยู่แล้ว จะมีจุดที่ไม่ชอบอยู่บ้างก็คงเป็นเรื่องของขอบหน้าจอที่หนาจัง พอร์ต Lightning ที่น่าจะเปลี่ยนมาได้แล้ว และก็เรื่องของอุปกรณ์ชาร์จที่ทำไมไม่แถมมาให้เลยล่ะ !?
ถ้าถามว่าคุ้มไหมกับราคาค่าตัวประมาณนี้ ส่วนตัวคิดว่าก็สมเหตุสมผลกับ iPhone รุ่นล่าสุดเพราะได้อะไรหลาย ๆ อย่างที่ Apple นำเสนอ ในราคาไม่ถึง 30,000 บาท ถ้าหาโปรคู่ดี ๆ ได้ก็แจ่มไปเลยครับ !
ราคาและสีที่มีจำหน่าย
ปิดท้ายกันที่ราคาค่าตัวละกัน สำหรับ iPhone 11 นั้นมีให้เลือกด้วยกัน 3 ความจุอย่างที่บอกไปคือ 64GB, 128GB และ 256GB และมีให้เลือกด้วยกัน 6 สีคือ ดำ, ขาว, เขียว, เหลือง, ม่วง และแดง (Product RED) ครับ โดยราคาของแต่ละความจุจะตามด้านล่างนี้เลย
iPhone 11 (64GB) = 24,900 บาท
iPhone 11 (128GB) = 26,900 บาท
iPhone 11 (256GB) = 30,900 บาท
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite