แกะกล่อง
Review : OPPO Reno2 สมาร์ทโฟนดีไซน์เรืองแสง พร้อมกล้องหลัง 4 ตัว
ที่จะมาช่วยให้ทุกระยะของคุณคมชัดแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับรีวิวมือถือรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับ OPPO Reno2 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่มาพร้อมสโลแกน "4 กล้องหลัง ชัดทุกระยะ" แน่นอนว่าเด่นมาซะขนาดนี้ก็คงมาพร้อมจุดเด่นในเรื่องกล้องอีกเช่นเคย แต่นอกจากเรื่องกล้องแล้ว รุ่นนี้ก็มีทั้งดีไซน์สุดงาม, สเปคภายในที่ยอดเยี่ยม และยังมีระบบชาร์จที่เป็นจุดเด่นไม่แพ้กันด้วย วันนี้เฮียขอมารีวิวให้ชมกันหน่อยว่าเจ้ารุ่นนี้น่าสนใจสักแค่ไหน มามะ มาเริ่มกันเลย !!
ค่าตัว 17,990 บาท !
มาเริ่มกันที่ราคากันก่อนเลย ก่อนที่เราจะไปทราบรายละเอียดตัวเครื่อง Reno2 นั้นเปิดราคาค่าตัวมาที่ 17,990 บาท มาพร้อมความจุภายในที่ 8GB + 256GB เรียกว่าใช้ได้เหลือ ๆ สเปคภายในเดี๋ยวมาพูดอีกทีในหัวข้อต่อ ๆ ไปครับ รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยจะมีให้เลือก 2 สีคือ Luminous Black และ Sunset Pink ครับ
สำหรับโปรโมชั่นพิเศษของ Reno2 เมื่อสั่งจองล่วงหน้าตั้งแต่วันนี้ - 25 ต.ค.นี้จะได้รับของแถมเป็นชุด VOOC Car Charge และ VIP Card ไปเลยมูลค่ากว่า 4,799 บาท นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นกับทางผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 ค่ายราคาเริ่มต้นเพียง 8,990 บาทอีกด้วย !
แกะกล่องกันต่อเลย
ต่อมาเรามาแกะกล่องตัวเครื่องกันดีกว่า OPPO Reno2 นั้นมาพร้อมกล่องทรงตั้งยาวแบบเดียวกับรุ่นก่อน พร้อมสีเงินสวย ๆ และมีภาพสัญลักษณ์ของตัวเครื่องอยู่ที่ด้านหน้า ชัดเจนว่ามาพร้อมกล้องหลัง 4 ตัวและมีชื่อรุ่นว่า OPPO Reno2 อยู่ด้านล่าง มองเผิน ๆ ไม่ต่างจากรุ่นก่อนเท่าไหร่นะตัวกล่อง
เปิดกล่องชั้นแรกจะเจอซองพร้อมคู่มืออยู่ในนั้นเหมือนเดิม ยกซองนั้นขึ้นมาเราจะเจอกับตัวเครื่อง Reno2 ที่นอนรอเราอยู่ในซองอีกที่แบบเรียบร้อยมาก ที่หน้าซองจะมีคุณสมบัติเด่นประกอบด้วย 48MP Quad Camera, ซูมไฮบริด 5x, Ultra Dark Mode, Ultra Steady Mode, หน้าจอ Panoramic Screen 6.5", VOOC 3.0 และปิดท้ายที่หน่วยความจำเยอะถึง 8GB + 256GB โอเคครบแล้ว จบรีวิวได้ เดี๋ยว ๆ 55
ภายในลงไปอีกชั้นจะเจอตัวเคสแบบหนังเทียมที่วางอยู่คู่กับอะแดปเตอร์ VOOC 3.0 ที่วางไว้อย่างมีระเบียบ ตัวเคสที่แถมมาจะเป็นแบบหนังเทียมเว้นช่องของกล้องหลังและกล้องหน้าไว้ชัดเจน ตัววัสดุภายในของเคสจะรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี
เคสใส่แล้วก็ไม่ได้โชว์สีตัวเครื่องเท่าไหร่ แอบแปลกนิดหน่อยตรงสีที่ออกมาเหลือม ๆ ไม่เต็มทั้งโซนเนอะ แต่ในเรื่องการปกป้องตัวเครื่องทำได้แน่นหนาดีทีเดียวครับ
ส่วนพวกสายชาร์จ, หูฟังและเข็มจิ้มถาดซิมจะอยู่ล่างเคสอีกทีครับ ตัวสายชาร์จของรุ่นนี้จะเป็นแบบ USB Type-C ที่ออกแบบมาให้รองรับระบบ VOOC 3.0 โดยเฉพาะ, หูฟังยังเป็นแบบแจ็ค 3.5 มม. เหมือนเดิมรุ่นนี้ยังไม่ตัดช่องหูฟังออกไป และเข็มจิ้มถาดซิมก็จะอยู่ในถาดอย่างเรียบร้อยเลยครับ
เบ็ดเสร็จอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องจะมีด้วยกัน 7 อย่างคือ
- ตัวเครื่อง Reno2
- เคสหนังเทียม
- สายชาร์จ USB Type-C
- อะแดปเตอร์รองรับ VOOC 3.0
- หูฟัง
- เข็มจิ้มถาดซิม
- คู่มือการใช้งาน
ดีไซน์
ดีไซน์เครื่องสวย เรืองแสงได้ !
ได้เวลามายลโฉมตัวเครื่องกันแล้ว Reno2 มาพร้อมกับดีไซน์สวย ๆ ด้วยเทคโนโลยีการเคลือบสีแบบ 3 ชั้นที่มีความเงางามและสะท้อนตามมุมที่แตกต่างกัน สีที่เราได้มารีวิวคือสี Luminous Black หรือดำที่ตัดด้วยสีน้ำเงินตรงมุมเครื่องรวมถึงตรงแถบโลโก้ OPPO เด่น ๆ อีกด้วย แกะกล่องออกมาเจอแบบนี้ต้องมองกันใหม่หลาย ๆ รอบเลยทีเดียว เหมือนมันเรืองแสงได้จริง ๆ
อย่างที่บอกว่าตัวแสงสีน้ำเงินที่สะท้อนนี้จะมีไปถึงขอบกระจกด้านหลังนี้เลย เมื่อมีการเอียงเครื่องไปในองศาต่าง ๆ ก็จะเจอกับแสงสวย ๆ นี้วิ่งไปด้วย ทำให้ตัวเครื่องดูโดดเด่นมาก ๆ เวลาจับถือ ไปไหนมาไหนมีแต่คนจ้องแน่นอน
ฝาหลังตัวเครื่องจะเป็นกระจก Gorilla Glass 5 แบบ 3D ช่วยให้เวลาเราจับถือนั้นโค้งรับรูปมือได้ดี แต่ด้วยกระจกดำก็แอบเก็บรอยนิ้วมืออยู่บ้าง แต่ก็เช็ดทำความสะอาดได้ไม่ยากเย็นนัก
ตัวกล้องหลังของรุ่นนี้จะเรียงกันแบบสมมาตรลงมา 4 ตัวอย่างเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์นี้ พร้อมตัว O-Dot ที่จะมาช่วยกันไม่ให้ตัวฝาหลังโดยกระแทกโดยตรงกับพื้นผิว จะเห็นว่าตัวกล้องทั้ง 4 ตัวนี้ยังซ่อนอยู่ภายในกระจกด้านหลังได้อย่างแนบเนียน ไม่มีนูนขึ้นมาจากตัวเครื่องเลย
ไฟแฟลช LED ของ Reno2 จะอยู่ย้ายมาอยู่ตรงตัวเครื่องแล้ว จากเดิมที่ซ่อนอยู่บนกลไกกล้องหน้าที่ยกขึ้นได้ เพราะฉะนั้นเวลายกขึ้นตรงด้านหลังก็จะเรียบ ๆ ไม่มีส่วนทำงานใด ๆ ในตัว Pivot Rising Camera นี้
หน้าจอ Panoramic Screen แสดงผลเต็มตา
พลิกกลับมาดูที่ด้านหน้า Reno2 ยังมาพร้อมกับ DNA เดิมของซีรีส์นี้ด้วยหน้าจอเต็ม ๆ แบบ Panoramic Screen ไร้ติ่งไร้รูบนหน้าจอ แสดงผลได้เต็มตากับขนาดที่ใหญ่ถึง 6.5 นิ้ว ขอบจอบางเฉียบมาก ๆ รอบนี้มาพร้อมกับอัตราส่วนแบบใหม่ 20:9 ตัวจอจะยาวขึ้นมาอีกหน่อย ตัวกระจกด้านหน้าจะใช้เป็น Gorilla Glass 6 ด้วยนะรุ่นนี้
ในเรื่องการแสดงผลจะใช้ชนิดหน้าจอแบบ Sunlight Amoled ความละเอียด FHD+ สีสันที่แสดงออกมาก็สวยคมชัด สู้แสงได้ดี หน้าจอของ Reno2 นั้นใช้สัดส่วนด้านหน้าไปกว่า 93.1% ทำให้ตัวเครื่องดูไม่ใหญ่จนเกินไป ถึงแม้ว่าตัวหน้าจอจะใหญ่เบิ้มขนาดนี้ก็ตาม
เหนือหน้าจอจะมีลำโพงสนทนาขนาดกลางซ่อนอยู่บนสุด ไม่มีเซ็นเซอร์อะไรอยู่ตรงนี้แล้ว เพราะทั้งหมดไปใส่ไว้บนหน้าจอทั้งหมด ทำให้เหนือหน้าจอนี้จะเรียบไปทั้งหมดเลย
ล่างหน้าจอก็จะเหลือตัวขอบล่างนิดเดียวเท่านั้น ภายในหน้าจอก็จะมีตัวเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือซ่อนอยู่ด้วย
กล้องหน้ายกได้แบบครีบฉลาม
ด้วยหน้าจอที่ซ่อนทุกอย่างอยู่ภายในแบบนี้ กล้องหน้าก็ซ่อนไว้เช่นกัน กล้องหน้าของ Reno2 จะเป็นแบบ Pivot Rising Camera หรือแบบยกเฉียงทรงครีบฉลามเช่นเดียวกับรุ่นก่อน ยกขึ้นมาเกร๋ ๆ พร้อมกับซ่อนตัวกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และตัวไฟแฟลช Soft Light ไว้ภายในอีกตัวด้วย ใช้พื้นที่ได้คุ้มมาก ๆ
ตรงตัวกล้องหน้านี้ถ้ามองจากด้านบนก็จะเห็นว่ามีไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนอยู่ด้วย ทำให้เวลาคุยโทรศัพท์เสียงก็จะตัดได้ดีขึ้นด้วย
ผิวสัมผัสดีน่าจับถือ
รอบ ๆ ตัวเครื่องจะใช้วัสดุแบบอลูมิเนียมผิวด้านให้ความรู้สึกเวลาจับถือที่ดีตัดกับฝาหลังที่เป็นแบบมัน ๆ ให้ความรู้สึกที่หรูหราใช้ได้เลย ตัวปุ่มกดต่าง ๆ จะยังอยู่ที่มุมและตำแหน่งเดิม เริ่มด้วยปุ่ม Power ที่อยู่มุมขวา และมีขีดสีเขียวที่เป็นเอกลักษณ์ตามสีแบรนด์ของ OPPO
ด้านซ้ายจะมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง ที่แบ่งเป็น 2 ปุ่มกดได้ง่ายและสัมผัสดีทีเดียว
ช่องใส่ซิมของรุ่นนี้จะอยู่ที่มุมขวาเหนือปุ่ม Power โดยถาดซิมของรุ่นนี้จะเป็นแบบไฮบริดคือต้องเลือกเอาว่าจะใส่แบบ 2 ซิมหรือใส่แบบ 1 ซิม 1 micro-SD ครับ ไม่สามารถใส่ 2 ซิมพร้อม micro-SD ได้นะครับ
พอร์ตการเชื่อมต่อของรุ่นนี้จะอยู่ที่ด้านล่างตัวเครื่องทั้งหมดครับ ช่องหูฟัง 3.5 มม. ยังมีมาให้อยู่, ถัดไปเป็นไมโครโฟนสนทนา, พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และลำโพงหลักของตัวเครื่อง
โดยรวมแล้ว OPPO Reno2 นั้นก็ถือว่ามีการปรับโฉมขึ้นมาอีกนิดจากรุ่นเดิม ด้วยดีไซน์ที่สวยโดดเด่นของ สีฝาหลังเรือนแสงได้เด่น ๆ บนสี Luminous Black และบอดี้งานประกอบดีทั้งกระจกกันรอย Gorilla Glass 5 ทั้งหน้า - หลัง และกรอบโลหะหรู ๆ ขนาดและน้ำหนักที่กำลังดีให้ความรู้สึกที่แน่นหนาดี
สเปคและฟีเจอร์การใช้งาน
สเปคใหม่ Snapdragon 730G !
เข้าสู่เรื่องสเปคของ Reno2 รุ่นนี้มาพร้อมกับชิปเซ็ตรุ่นกลางตัวใหม่ Snapdragon 730G ที่อัปเกรดประสิทธิภาพมาอย่างดี มาพร้อมกับหน่วยความจำที่เยอะถึง 8GB + 256GB และแบตเตอรี่ที่จุใจถึง 4000mAh อีกต่างหาก
สเปค OPPO Reno2
- หน้าจอ Panoramic Screen Super Amoled 6.5" FHD+ (20:9)
- ซีพียู Snapdragon 730G Octa-core 2.2GHz
- จีพียู Adreno 618
- แรม 8GB
- ความจุ 256GB (UFS2.1)
- รองรับ micro-SD สูงสุด 256GB
- แบตเตอรี่ 4000mAh
- รองรับชาร์จไว VOOC 3.0
- กล้องหน้า Pivot Rising Camera 16 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัง 4 ตัว 48 + 13 + 8 + 2 ล้านพิกเซล
- (Main + Tele 2x + Ultra Wide Angle + Mono)
- รองรับระบบสแกนใบหน้า
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- รัน Android 9.0 Pie (ColorOS 6.1)
- ขนาดตัวเครื่อง 160 x 74.3 x 9.5 มม.
- น้ำหนัก 189 กรัม
คะแนนเป็นไงชิปตัวใหม่ !
อย่างที่บอกว่า Reno2 นั้นใช้ชิปเซ็ตตัวใหม่อย่าง Snapdragon 730G แถมยังได้หน่วยความจำที่เยอะมาก ๆ ถึง 8GB + 256GB เรียกว่าสเปคจัดเต็มมาให้แบบสุด ๆ และเมื่อเราทดสอบประสิทธิภาพผ่านแอป AnTuTu Benchmark ก็ได้คะแนนออกมาที่ 213,897 คะแนนเลยทีเดียว สูงใช้ได้เลย !
ซอฟต์แวร์ตัวล่าสุด ColorOS 6.1
เช่นเดียวกับ Reno2 F ในส่วนของซอฟต์แวร์ Reno2 จะมาพร้อมกับ Android 9.0 Pie ที่ครอบทับมาด้วย ColorOS 6.1 แล้ว การทำงานต่าง ๆ ก็คือลื่นไหล และมีการปรับรูปแบบอีกเล็กน้อย ๆ ขึ้นมาจากเวอร์เดิมอีก
อย่างแรกเลยก็คือการปรับปรุงประสิทธิภาพภายในให้ลื่นไหลมากขึ้น เพิ่มตัวระบบ HyperBoost 2.0 รวมถึง TouchBoost และ FrameBoost ที่เป็นเวอร์ชั่น 2.0 แล้วเช่นกัน ช่วยให้การเล่นเกม การรันแอป รวมถึงการสัมผัสต่าง ๆ นั้นแม่นยำและลื่นไหลมากยิ่งขึ้นด้วย เรียกว่าปรับปรุงประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก
มี Dual Wi-Fi ใช้ได้ 2 คลื่นพร้อมกัน
OPPO Reno2 มาพร้อมกับระบบ Dual Wi-Fi ที่ให้เราสามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi 2 คลื่นความถี่ 2.4GHz และ 5GHz เข้าด้วยกันได้ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพและความเสถียรให้กับ Wi-Fi ได้มากขึ้นไปอีก แต่ตรงนี้ต้องบอกว่าจะมีแอปที่รองรับฟีเจอร์นี้อยู่ ไม่ใช่ทุกแอปจะใช้งานได้นะ แต่หลัก ๆ ก็โซเชี่ยลที่เราใช้ ๆ กันอยู่ Facebook, IG, Twitter, YouTube ได้หมดครับ
ฟีเจอร์หลัก ๆ ของ ColorOS เดิมก็ยังมีมาให้ครบทั้งหน้า Smart Assistant ที่ด้านซ้ายสุด ที่มีทางลัดให้เราใช้งานสภาพอากาศ, ปฏิทิน, การนับก้าว รวมถึงฟังค์ชั่นอย่างการแปลงค่าเงินต่าง ๆ เลื่อนมาที่มุมนี้จะเจอหมดเลย
ตรงมุมขวาสุดก็จะมี Smart SideBar หรืออีกหนึ่งทางลัดอันนี้ใช้เข้าแอปหรือจะลากออกมาแคปหน้าจอ อัดวิดีโอหน้าจอก็ทำได้เช่นกันสะดวกดีไม่ต้องไปคอยหา
มีระบบ Gesture ในการควบคุมอย่างดี
มือถือยุคนี้ก็มักจะมีหน้าจอที่เต็มมากขึ้นเรื่อย ๆ การควบคุมก็มีหลากหลายวิธีมากขึ้น เราไม่จำเป็นต้องมาคอยกดปุ่ม 3 ปุ่มที่ล่างหน้าจอแล้วก็ได้ บน ColorOS 6.1 จะมีระบบ Gesture Swipe from Both Side หรือลักษณะท่าทางจากทั้งสองด้านเข้ามาเพิ่ม ให้เราได้ใช้งานรูปแบบ Gesture เต็มรูปแบบได้มากขึ้น
อย่างการกดย้อนกลับเราสามารถลากนิ้วจากมุมข้างของทั้ง 2 ฝั่งออกมาได้ หรือจะเป็นการลากจากขอบจอล่างเพื่อเป็นการเข้าสู่หน้าโฮมก็ได้เช่นกัน ตรงนี้เท่าที่ลองใช้ก็คล่องตัวดีทีเดียวครับ ไม่ต้องเอื้อมนิ้วมากดที่ปุ่มล่างหน้าจอตลอด แถมการปัดจากขอบจอด้านข้างเพื่อย้อนกลับก็สะดวกดี ใช้งานได้จากทั้ง 2 ฝั่งอีก ใครชอบการใช้งานแบบ Gesture ตรงนี้ถูกใจแน่ ๆ
ตั้งค่าได้ที่ Settings > Convenient Aid > Navigation Keys > Gesture Swipe from Both Side
มีหน้ารวมแอปด้วยนะ
นอกจากนี้บน ColorOS 6.1 นี้ยังมีหน้ารวมแอปมาให้เราเลือกใช้งานด้วย สะดวกดีใช้การเลื่อนหน้าจอขึ้นจากมุมล่างเพื่อเลือกแอปทั้งหมดทำให้เราไม่ต้องเอาแอปที่มีมาโชว์ไว้บนหน้าหลักให้เต็มหน้าจอไปหมด เลือกเอาแอปที่ใช้ประจำ ๆ พอ แต่ในค่าเริ่มต้นจะไม่ได้ตั้งค่ามาให้เราต้องไปปรับเพิ่มเติมอีกทีในการตั้งค่าดังนี้ครับ
Settings > Home Screen & Lock Screen Magazine > Home Screen Mode > Drawer Mode
สแกนนิ้วมือใหม่ เร็วขึ้นอีก !
ในส่วนของระบบสแกนลายนิ้วมือรุ่นนี้ก็ยังเป็นแบบ Hidden Fingerprint Unlock เหมือนเดิม แต่อัปเกรดมาเป็นเวอร์ชั่น 3.0 แล้ว ช่วยเพิ่มแสงมากขึ้นทำให้เราสามารถแตะสแกนได้เร็วขึ้นกว่าเดิมอีก 11.3% จากเดิมที่เร็วแบบแตะแป๊บเดียวก็ติดนี่กลายเป็นแตะปุ๊บก็ติดปั๊บเลย เร็วมาก ๆ
ตัวอนิเมชั่นในการสแกนนิ้วยังคงมีให้เลือกปรับเปลี่ยนได้อีก 4 แบบ เผื่อสแกนแล้วเบื่อแบบเดิม ๆ ก็เข้ามาปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งตัวอนิเมชั่นนี้จะมาพร้อมเสียงที่แตกต่างกันไปด้วยนะ เจ๋งดี เข้าไปตั้งค่าได้ที่
Settings > Fingerprint, Face & Passcode > Fingerprint > Animation Style
ส่วนระบบปลดล็อคด้วยใบหน้าก็ยังมีอยู่ครับ ใช้ตัวกล้องหน้า Pivot Rising Camera นี่แหละ ยกขึ้นมาปุ๊บปั๊บแล้วสแกนได้เลย
หน้าจอ ระบบเสียง เล่นเกม
จอ Panoramic Screen เต็มตา ดูอะไรก็ฟินจริง ๆ
มาดูในเรื่องของความบันเทิงบน Reno2 กันบ้าง รุ่นนี้ได้หน้าจอ Sunlight Amoled ที่แสดงผลได้สวยสดมาแล้ว แน่นอนว่าเอามาดูวิดีโอหรือไฟล์ภาพความละเอียดสูงนี่ฟินจริง ๆ แหละ อันนี้บอกเลย แถมตัวหน้าจอยังเต็มไร้ติ่งหรือรูบนหน้าจออีก เวลาดูนี่ก็ได้เต็ม ๆ เลย
อัตราส่วนหน้าจอแบบ 20:9 นี่ก็ช่วยให้แสดงผลได้เต็มมากขึ้น เวลาดูวิดีโออัตราส่วนโรงหนัง (21:9) ก็จะเหลือขอบดำนิดเดียวเท่านั้น ช่วยให้ได้อรรถรสในการดูหนังมากขึ้นไปอีก
ระบบเสียง อัปเกรดใหม่
มาต่อในเรื่องระบบเสียง OPPO Reno2 นั้นมาพร้อมกับระบบเสียงอย่างดี Dolby Atmos ที่ช่วย เสียงที่ได้ออกมาดังใช้ได้เลย วางตำแหน่งของลำโพงได้ดีไม่เอามือไปบังเวลาใช้งานง่าย ๆ
แต่น่าเสียดายที่ลำโพงที่ให้มานั้นเป็นแบบลำโพงตัวเดียว ไม่ใช่ลำโพงคู่แบบ Stereo ซะงั้น มิติเสียงเลยดังออกมาที่มุมขวาเพียงอย่างเดียวนี่แหละ น่าจะใช้ลำโพงคู่มาจะสะใจกว่านี้เนอะ
ส่วนการฟังเพลงผ่านหูฟังก็ง่าย ๆ ครับเสียบเข้าไปที่ช่องหูฟังได้เลยรุ่นนี้ยังไม่ตัดออกไป หรือจะใช้งานคู่กับอุปกรณ์เสริมตัวใหม่ของ OPPO อย่าง หูฟังไร้สาย OPPO Enco Q1 ก็ได้เช่นกัน อัปเกรดเสียงขึ้นไปใหม่อีก
ช่วยให้เราได้เสียงแบบ 3D พร้อมตัดเสียงรบกวนแบบไฮบริด ช่วยให้เราได้ยินเสียงเพลงได้อย่างชัดเจนแม้สภาพเสียงรบข้างจะวุ่นวายก็ตาม รวมถึงใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่องถึง 15 ชม.อีกต่างหาก เป็นอุปกรณ์เสริมที่ควรมีติดไว้ใช้กับ Reno2 มาก ๆ ขายของเพิ่มหน่อย Enco Q1 สนนราคา 2,990 บาทนะจ๊ะ :P
ระบบสั่น แรงสะท้านเลย
ขอเพิ่มเรื่องระบบสั่นในการใช้งานอีกนิดหน่อยละกัน สำหรับ Reno2 นั้นจะมีระบบสั่นที่แรงสะใจเลย เวลาวางเครื่องอยู่จะได้ยินเสียงที่ดังออกมาเวลามีแจ้งเตือนเข้าหรือสายเข้าตรงนี้หายห่วงเวลาใช้งาน ไม่ต้องกลัวว่าเปิดสั่นแล้วจะไม่ได้ยินได้เลย ถือว่าทำได้ดีขึ้นกว่าตอนรุ่นแรก (อันนั้นสั่นมาตั้งนานไม่ได้ยินเลย) แต่ก็แอบสั่นแรงแบบกระด้างไปหน่อย ขนาดตอนพิมพ์ข้อความยังได้ยินเสียง "แกง ๆ" ออกมาเลยล่ะ
มาเล่นเกมกันหน่อย
ในส่วนของการเล่นเกม Reno2 จะมาพร้อมกับระบบ OPPO Game Space ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพและจัดการระบบภายในให้พร้อมสำหรับการเล่นเกมมากที่สุด อาทิ การปิดการแจ้งเตือนบางอย่างออกไป, ล็อคแสงหน้าจอให้อยู่คงที่ หรือจัดการระบบเน็ตเวิร์คให้เสถียรสำหรับเกมออนไลน์ด้วย
นอกจากนี้ระบบภายในก็ยังมีตัว HyperBoost 2.0 + FrameBoost 2.0 + TouchBoost 2.0 + EngineBoost 1.0 ที่แฝงอยู่ภายในช่วยให้การเล่นเกมทั้งเฟรมเรตที่นิ่งขึ้น, การตอบสนองการสัมผัสที่ดีขึ้น รวมถึงการประหยัดแบตขณะเล่นเกมที่ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วย
ส่วนเกมที่เราจะมาทดสอบในรอบนี้ก็คือ Call of Duty Mobile เกมใหม่สด ๆ ที่กราฟิกอลังการมาก ๆ บน Reno2 นั้นสามารถปรับระดับกราฟิกได้ที่ระดับ Very High รวมถึงเฟรมเรตก็ Very High ด้วย เปิดพวกลบรอยหยัก, Depth of Field ได้หมดเลยด้วย
ในเกมก็รันได้ลื่นไหลดีจริง ๆ กราฟิกปรับสุดขนาดนี้ ตัวเฟรมเรตเล่นจริง ๆ ก็ถือว่าลื่นสมกับระดับ Very High แล้ว เล่นได้ต่อเนื่อง การตอบสนองในการสัมผัสทำได้ดีมาก ๆ ลื่นไหลและตามมือดีจริง ๆ ช่วยให้ยิงต่อเนื่องได้แบบไม่ติดขัด
หน้าจอที่เต็มขนาดนี้ก็ช่วยให้มองฉากได้อย่างครบถ้วนไม่มีแถบหรือติ่งมาบัง UI แต่น่าเสียดายที่ลำโพงตัวเครื่องให้มาแค่ตัวเดียว ถ้าเป็นลำโพงคู่ Stereo นี่น่าจะฟินกว่านี้ ได้ยินเสียงกระสุนจากหลาย ๆ มุมมันช่วยได้เยอะกับเกมแนวนี้น่ะเนอะ
กล้อง
กล้อง 4 ตัว ชัดทุกระยะมันเป็นยังไง !?
อัปเกรดเพิ่มขึ้นมาอีกขั้นสำหรับกล้องหลังของ Reno2 โดยรวมนี้ให้มาครบทุกมิติ และชัดเจนทุกระยะตามชื่อสโลแกนเลย ด้วยกล้อง 4 ตัวที่ให้มาด้านหลังนี้ ประกอบด้วย
กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล Sony IMX586, f/1.7, OIS + EIS
กล้อง Tele 2x ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ซูมไฮบริดได้ที่ 5x และดิจิทัลสูงสุด 20x
กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 116 องศา
กล้อง Monochrome ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล สำหรับถ่ายในโหมด Portrait
อย่างที่บอกว่ากล้องที่ให้มานั้นครบช่วงตั้งแต่ระยะกว้างสุด 116 องศาของเลนส์ Ultra Wide Angle ไปจนถึง ซูมสุดแบบดิจิทัลที่ 20x อีก และคุณภาพเลนส์ที่ให้มาก็คุณภาพเยี่ยม ไม่แปลกใจที่ OPPO จะเลือกใช้คำว่า ชัดทุกระยะในการโปรโมทแบบนี้เนอะ :D
ในโหมด Auto นั้นจะมีตัว AI Scene Recognition มาทำงานร่วมเช่นเคย ช่วยในการจัดแจงภาพให้สวยตามที่ควรจะเป็น ตัว UI ก็ใช้งานได้ไม่ยากเย็นนัก
มีเลนส์ Ultra Wide Angle ที่ทำมุมได้กว้างถึง 116 องศา ช่วยให้เก็บมุมที่แปลกตากว่าปกติได้ดี หรือจะเป็นวิวที่กว้างมาก ๆ ใช้เลนส์นี้ก็ช่วยให้เก็บภาพได้โดยไม่ต้องถอยออกมามากนัก รวมถึงเลนส์นี้ยังสามารถใช้งานเป็น macro เลนส์ที่สามารถเข้าใกล้วัตถุได้ถึง 2.5 ซม. อีกด้วย เรียกว่าเข้าใกล้แบบระยะประชิดเลย เลนส์เดียวได้ตั้ง 2 แหนะ
ส่วนเลนส์ Tele รอบนี้ให้แบบ Optical ที่ 2x มาซึ่งก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ถ่ายระยะที่เข้าใกล้ไปได้อีกอย่างดี รายละเอียดต่าง ๆ ก็มาครบถ้วน และยังสามารถซูมแบบไฮบริดเข้าไปได้อีก 5x ก็คือใช้การรวมภาพจากเลนส์หลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซลมาช่วย ทำให้เราได้ภาพที่คมชัดแม้จะซูมเข้าไปถึงระดับ 5 เท่าแล้วนั่นเอง
หรือถ้าเท่านั้นยังไม่พอก็ยังซูมเกินไปเข้าไปอีกด้วยการซูมแบบดิจิทัล มากสูงสุดถึง 20x เลยทีเดียว เรียกว่าช่วงซูมนี่ลึกไปได้แบบสุด ๆ เลยบน Reno2 นี้
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ Reno2 จะเห็นว่าช่วงที่มีให้เลือกมากมายของ Reno2 นี้มีประโยชน์มาก ๆ จะเก็บตั้งแต่มุมกว้างไปจนถึงระยะซูมไกลสุด ๆ ถึง 20x นี้คุณภาพก็ยอดเยี่ยมไปหมด รายละเอียดของภาพทำได้ดีได้ AI Scene มาช่วย เลนส์ Ultra Wide Angle เก็บภาพได้กว้างดีรวมถึงใช้งานเป็น Macro เลนส์ได้ด้วยเจ๋งดี และการประมวลผลภาพ ไฮบริดซูมก็คมชัดสุด ๆ เรียกว่าชัดทุกระยะของจริงเลยล่ะ
Portrait mode 2.0 เก่งขึ้นประระดับความเบลอได้แล้ว
ในส่วนของภาพถ่ายบุคคลหรือ Portrait Mode นั้น Reno2 ก็เก่งขึ้นมาอีก รอบนี้เราสามารถปรับระดับความเบลอของฉากหลังได้แล้ว โดยค่าเริ่มต้นจะตั้งมาที่ 60% ก็ถือว่าเบลอสวยตัดขอบเนียนแล้ว แต่ถ้าอยากได้มากกว่านั้นก็มาปรับเพิ่มเติมได้
มีตัวฟิลเตอร์มาให้เลือกปรับหลายรูปแบบ และแน่นอนว่ามีเบอร์ 6 ที่ใช้เลนส์ Monochrome เข้ามาเสริมการใช้งานด้วยนี่แหละ เลนส์ที่ 4 ใช้ในโหมดนี้ครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait 2.0 ของ Reno2 จะเห็นว่าการตัดขอบและการเสริมความเนียนของใบหน้านั้นเนียนตาขึ้นเยอะ ฟิลเตอร์ที่มีให้เลือกก็สวยจนไม่ต้องแต่งเพิ่มเลย เรียกว่ามาเลือกเอฟเฟกต์แล้วเล็งมุมดี ๆ ก็จบหลังกล้องได้เลย แต่น่าเสียดายที่ตัวฟิลเตอร์กับระดับความเบลอนั้นเลือกแล้วเลือกเลย ไม่สามารถมาปรับแต่งเพิ่มหลังจากถ่ายได้ ถ้าเผลอถ่ายขวา-ดำมาแล้วจะกลับเป็นสีก็ไม่ได้แล้วนะ
Ultra Dark Mode โหมดกลางคืนที่ดีขึ้นไปอีก
ในส่วนของโหมดกลางคืน Reno2 ไม่ได้มาแค่ Ultra Night Mode แล้ว เพราะปรับชื่อมาให้มืดกว่าเดิมเป็น Ultra Dark Mode คือเมื่อเราเจอภาพที่มืดมาก ๆ ตัวกล้องจะเพิ่มการลั่นชัตเตอร์เข้าไปอีกทำให้ภาพกลางคืนนั้นสวยและมีมิติกว่าเดิม แต่ถ้าเป็นแสงกลางคืนปกติก็จะไม่ต่างจากรุ่นก่อนมากนักครับ คือยิงชัตเตอร์รัว ๆ ไปเลย และใช้เวลาประมวลผลต่ออีกแป๊บก็ได้ภาพกลางคืนสวย ๆ แล้ว
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Ultra Dark Mode จะเห็นว่าการเก็บรายละเอียดในส่วนที่สว่างและมืดของภาพนั้นเก็บออกมาได้สมดุลดีมาก ๆ และสีสันที่ได้จากโหมดนี้ก็สมจริงเหมือนตาเห็นดีทีเดียว ไม่สดหรือฟุ้งจนเกินไปด้วย แถมบน Reno2 นี้ยังสามารถใช้ Ultra Dark Mode ได้ในทั้ง 3 ระยะหลักด้วย จะกว้างหรือซูมก็ได้ภาพกลางคืนทั้งหมด
วิดีโอเทพขึ้น มี Ultra Steady กันสั่นเทพ
ในส่วนของวิดีโอ Reno2 ก็มาพร้อมกับโหมด กันสั่นขั้นเทพตามเทรนด์แล้ว โดยมีโหมด Ultra Steady ที่ใช้การทำงานร่วมกันของ OIS + EIS ในการบันทึกวิดีโอ ซึ่งจะช่วยให้นิ่งมาก ๆ แบบไม่ต้องใช้ Gimbal เลย ถือด้วยมือเปล่าก็นิ่งมาก ๆ แต่ความละเอียดจะถูกล็อคอยู่ที่ 1080p/60fps เท่านั้น
ส่วนวิดีโอในโหมดปกติก็สามารถบันทึกได้สูงสุดถึงระดับ 4K/30fps และรอบนี้เราสามารถใช้เลนส์ Ultra Wide Angle ในการบัทึกวิดีโอได้แล้ว แต่ความละเอียดก็จะล็อคอยู่ที่ 1080/30fps เท่านั้น ถ้าอยากได้มุมกว้างก็ต้องลดความละเอียดเอาหน่อยเนาะ
นอกจากนี้ในโหมดวิดีโอยังมีฟีเจอร์ละลายฉากหลังหรือ Bokeh Video ด้วย มาให้ใช้งานด้วย ทีเด็ดก็คือใช้งานได้ทั้งกล้องหน้าและหลังเลยครับ เพิ่มลูกเล่นในการถ่ายวิดีโอไปอีก
กล้องหน้ายังสวยเหมือนเดิม
กล้องหน้าเป็นอีกจุดที่ Reno2 นั้นทำได้น่าสนใจ ด้วย Pivot Rising Camera ให้มุมสูงสุด 11 องศา เห็นเป็นกลไกแบบนี้แต่การยกขึ้น-ลงก็ใช้เวลาเพียง 0.8 วินาทีเท่านั้น ยังคงทำงานได้ทนทานเหมือนเดิม สามารถยกขึ้นลงได้กว่า 200,000 ครั้ง เขาทดสอบมาแล้ว
ตัวอย่างจากกล้องหน้าของ Reno2
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
แบตเตอรี่ 4000mAh ใช้สบาย ๆ
เข้าเรื่องการใช้งานสุดท้ายกับแบตเตอรี่ Reno2 ให้ความจุแบตฯมาเยอะถึง 4000mAh ก็หายห่วงในการใช้งานตลอดทั้งวัน อยู่ได้สบาย ๆ ครับ จะถ่ายรูป เล่นเกมก็เหลือ ๆ ไม่ต้องคอยกังวลว่าแบตฯจะหมดไปดื้อ ๆ
ชาร์จไวด้วย VOOC 3.0
ส่วนระบบชาร์จรุ่นนี้ได้ระบบชาร์จไวระดับเรือธงอย่าง VOOC 3.0 (20W) ที่ชาร์จได้รวดเร็วและปลอดภัย ด้วยระบบความปลอดภัยถึง 5 ขั้นตอน เมื่อใช้งานอะแดปเตอร์และสายชาร์จที่ให้มาในกล่องก็มั่นใจได้แล้ว เพราะมีการันตีความปลอดภัยจาก TUV Rhienland จากประเทศเยอรมนีด้วยนะ
สรุปแล้ว…!?
สำหรับ OPPO Reno2 เรียกว่าอัปเกรดขึ้นมาดีเลยทีเดียว ทั้งในเรื่องของดีไซน์ที่สวยงามโดดเด่น ชอบสี Luminous Black ที่เรืองแสงได้แบบนี้จริง ๆ ส่วนเรื่องการใช้งานต่าง ๆ ก็ทำได้ดีเหมือนเคยทั้งกล้องที่โดดเด่นตามสโลแกนเลย ชัดทุกระยะทั้งภาพนิ่งและวิดีโอแจ่มมาก ๆ สเปคการใช้งานก็ครอบคลุมการทำงานทุกอย่างได้เป็นอย่างดีด้วยชิปเซ็ตใหม่ Snapdragon 730G ความจุเยอะถึง 8GB + 256GB อีก แบตเตอรี่และระบบชาร์จที่ให้มาแบบจุใจ แต่จะมีจุดที่น่าเสียดายอยู่บ้างก็ตรงเรื่องลำโพงที่น่าจะให้ลำโพงคู่มาสักหน่อย คงจะดีไม่น้อย แต่รวม ๆ แล้ว Reno2 ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นพรีเมี่ยมที่น่าจับตามองมาก ๆ ใครที่กำลังมองหามือถือสวย ๆ พร้อมทุกการใช้งานรุ่นนี้เป็นคำตอบได้เลย !
จุดเด่น
- หน้าจอ Panoramic Screen แสดงผลเต็มตา
- หน่วยประมวลผลตัวใหม่ Snapdragon 730G แรงตอบโจทย์
- หน่วยความจำเยอะ 8GB + 256GB
- กล้องหลัง 4 ตัว ชัดทุกระยะ
- วิดีโอดีมากกันสั่นนิ่งสุด ๆ
- แบตเตอรี่อึดใช้ได้ รองรับชาร์จไว VOOC 3.0
จุดสังเกต
- ไม่มีลำโพงคู่แบบ Stereo
- ถาดซิมเป็นแบบไฮบริด
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite