แกะกล่อง
Review : Vivo NEX 3 สมาร์ทโฟนเรือธงที่แท้จริง พร้อมนวัตกรรมชั้นยอด
ในราคาเพียง 24,999 บาท !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับสมาร์ทโฟนเรือธงตัวล่าสุดของ Vivo กับ NEX 3 นั่นเอง ใครที่ติดตามข่าวของ Vivo มาก็น่าจะทราบกันอยู่แล้วว่าซีรีส์ NEX นั้นเป็นเรือธงของ Vivo ที่น่าสนใจมาก ๆ แต่ก็ไม่ได้มาทำตลาดในไทยสักที ล่าสุดรุ่นที่ 3 นี้ก็ได้ฤกษ์นำเข้ามาในไทยสักที จุดเด่นของรุ่นนี้มีเยอะมากเลยทีเดียวทั้งหน้าจอ Waterfall แบบใหม่, กล้องหลังความละเอียดสูง 64MP, หน่วยประมวลผลตัวแรง Snapdragon 855+ รุ่นแรกในไทย และอีกเพียบ เอาเป็นว่าวันนี้เราจะมาสรุปให้อ่านกันว่าเจ้า NEX 3 นี้คุ้มค่าสักแค่ไหน มามะ เริ่มกันเลย !!
ราคา 24,999 บาทนะย้ำอีกที !
เริ่มต้นก็เรื่องราคากันก่อนเลยละกันรุ่นนี้เรือธงครบเครื่องสุด ๆ เปิดราคาค่าตัวมาที่ 24,999 บาทเท่านั้น เรียกว่าเปิดราคามาได้ดีทีเดียว เพราะสเปคก็จัดเต็มมาไม่แพ้คู่แข่งไหน ๆ แล้ว สีที่วางจำหน่ายในบ้านเราจะมีสีเดียวเลยคือ Glowing Night ครับ
แกะกล่อง Vivo NEX 3
ทราบราคาเรียบร้อย มาแกะกล่องตัวเครื่องกันต่อเลยดีกว่า Vivo NEX 3 นั้นให้แพ็กเกจที่ดูดีทีเดียว ตัวกล่องจะมีขนาดใหญ่สมกับเป็นเรือธง ด้านหน้ามีชื่อรุ่นสัญลักษณ์เป็นกรอบเลนส์กลม ๆ ตามแบบฉบับของรุ่นนี้พร้อมคำว่า NEX อยู่เด่น ๆ ใช้กล่องสีดำที่ดูเข้มขรึม ดูภูมิฐานมาก ๆ
เปิดกล่องออกมาชั้นแรกจะเจอกับแผ่นปิดที่มีทรงกล้องครึ่งวงกลมอยู่ที่มุมซ้ายและมีแถบที่ด้านขวาพร้อมโลโก้ NEX อยู่ตัดกันได้ลงตัวมาก ๆ เลยล่ะ
เปิดเข้ามาในชั้นต่อไป ตรงนี้เราจะเจอกับตัวเครื่องพร้อมกับอุปกรณ์เสริมที่วางกันอย่างเป็นระเบียบ ทั้งหูฟังและอะแดปเตอร์ชาร์จไฟครับ
ตัวหูฟังที่แถมมาในกล่องจะเป็นพอร์ตแบบ 3.5 มม. ปกติยังไม่ต้องใช้แบบ Type-C หรือ Dongle เพราะรุ่นนี้ยังมีช่องหูฟังมาอยู่เนาะ ส่วนอะแดปเตอร์ชาร์จก็รองรับระบบชาร์จไว Vivo Flash Charge ที่ความเร็ว 22.5W ด้วย
ยกตัวเครื่องขึ้นมาเราจะเจอกับเคสและอุปกรณ์เสริมอย่างสาย USB Type-C และเข็มจิ้มถาดซิมอยู่อีกชั้นครับ ตัวเคสที่แถมมาเป็นผิวแบบหนังเทียมสวย ๆ ให้ความรู้สึกที่พรีเมี่ยมมาก ๆ ปกป้องตัวเครื่องด้านหลังได้เป็นอย่างดีเลย
เบ็ดเสร็จแล้วอุปกรณ์ภายในกล่องที่ให้มาจะมาทั้งหมด 7 อย่างประกอบด้วย
- ตัวเครื่อง Vivo NEX 3
- สาย USB Type-C
- อะแดปเตอร์ชาร์จไว (22.5W)
- หูฟัง (3.5 มม.)
- เข็มจิ้มถาดซิม
- คู่มือการใช้งาน
- เคส
ดีไซน์
ยลโฉมตัวเครื่อง NEX 3 ดีไซน์ใหม่สุดล้ำ
เช็คของเรียบร้อยแล้วก็มาดูตัวเครื่องกันเลยดีกว่า ความรู้สึกแรกที่เปิดเครื่องมาต้องบอกเลยว่าจอสวยมากกกก !! และเต็มตาสุด ๆ เต็มแบบที่ไม่เคยเจอจากรุ่นไหนเลยล่ะ แถมขนาดหน้าจอก็ใหญ่จริงจัง รุ่นนี้ให้หน้าจอตั้ง 6.89 นิ้ว แต่ขนาดตัวเครื่องก็ดูไม่ใหญ่จนเทอะทะเลย เพราะเขามากับจอโค้งแบบใหม่ที่ Vivo ตั้งชื่อไว้ว่า Waterfall FullView Display นั่นเอง
Waterfall FullView Display คืออะไร คำตอบก็คือจอโค้งแบบใหม่ที่โค้งลึกมาถึงขอบหน้าจอเหมือนน้ำตกที่ไหลลงมาเลยนั่นเอง ทำให้การแสดงผลด้านหน้านั้นเต็มไปหมดแล้ว ไม่เหลือขอบดำที่ด้านข้างเลยด้วย รุ่นนี้ใช้พื้นที่การแสดงผลไปมากถึง 99.6% เลย อื้อหือ !! จะเห็นว่าบนจอก็ไม่มีอะไรมาบดบังด้วยจะติ่งหรือรูก็ไม่มากวนใจแล้ว
ในเรื่องการแสดงผลสีสัน NEX 3 ได้หน้าจอแบบ E3 Super Amoled ความละเอียดอยู่ที่ FHD+ ความคมชัดจัดว่าดีทีเดียว สามารถแสดงความสว่างได้สูงสุดถึง 800nits แสดงผลค่าสี sRGB ได้ 100%, P3 100% รวมถึงรองรับ HDR10 อีกต่างหาก
หลายคนที่เห็นหน้าจอโค้ง ๆ แบบนี้แล้วอาจจะกังวลเรื่องการลั่นของหน้าจออยู่แน่ ๆ ตรงนี้เฮียมาคอนเฟิร์มอีกเสียงว่าไม่ต้องห่วงเลยเพราะเขามาระบบกันลั่นขอบจอ (ชื่อทางการไม่ใช่อันนี้หรอก :P) มาให้ด้วย ตัวเครื่องจะตรวจจับได้ว่าเราจับเครื่องอยู่และปิดการทำงานของขอบจอไป ทำให้เวลาเราจับถือจะไม่โดนขอบจอลั่นแน่ ๆ
เหนือหน้าจอเราจะเห็นว่าขอบจอนั้นชิดขึ้นไปแบบสุด ๆ เหลือเพียงลำโพงสนทนาไว้เท่านั้น ตัวกล้องก็จะถูกซ่อนอยู่ภายในหน้าจออย่างที่ Vivo นั้นถนัดนั่นเองครับ
ล่างหน้าจอจะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ซ่อนอยู่บนหน้าจอนั่นเอง นี่ก็เป็นอีกจุดที่ Vivo นั้นถนัดไม่แพ้กัน เพราะรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมระบบนี้ก็คือ NEX รุ่นแรกของ Vivo นี่แหละครับ
ตัวกล้องหน้า Pop-Up ของ NEX 3 นั้นจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าในรุ่นก่อนนิดหน่อย เพราะไม่ได้มีแค่กล้องอย่างเดียว แต่มีตัวไฟแฟลช Soft Light มาคู่กันด้วยนาจา
ไร้ปุ่มกด ใช้ปุ่มแบบสัมผัสแทน
นอกเหนือจากตัวหน้าจอที่เป็นเทคโนโลยีใหม่แล้ว รอบ ๆ ตัวเครื่องก็ยังคงมาพร้อมกับปุ่มด้านข้างแบบใหม่ ที่จะไม่ใช่ปุ่มกดแบบทั่วไปแล้ว บน NEX 3 ปุ่มด้านข้างจะเป็นตัว Haptic ที่รองรับแรงกดหลายระดับให้เราได้แตะสัมผัสเพื่อสั่งงานแทนที่ปุ่มกดแบบเดิม
ในค่าเริ่มต้นบนจอจะมีไอคอนบอกตำแหน่งไว้คร่าว ๆ ด้วย เพื่อให้เราไม่หลงตำแหน่ง แต่ตัวปุ่ม Power จะมี Texture เป็นเส้น ๆ ให้คอยลูบเจออยู่แล้ว ใช้งานแรก ๆ อาจต้องปรับตัวนิดหนึ่ง เพราะมันไม่ใช่ปุ่มที่กดลงไปจริง ๆ น่ะนะ แต่ใช้ไปสักพักพอปรับตัวได้ก็ถือว่าเจ๋งดีเลยล่ะ
ด้านบนตัวเครื่องจะมีช่องหูฟัง 3.5 มม. อยู่ด้วยนะ ถือว่าเป็นเรือธงไม่กี่รุ่นตอนนีั้แล้วที่ให้มาน่ะ ตรงกลางก็จะเป็นพื้นที่ของกล้องหน้า Pop Up และที่มุมสุดนั่นก็คือปุ่ม Power แบบกดอีกปุ่มที่เอามาเผื่อการใช้งานแบบฉุกเฉิน เพราะตำแหน่งไม่ได้เอื้อให้กดเปิด-ปิดบ่อย ๆ สักเท่าไหร่เนอะ
ส่วนด้านล่างก็จะมีช่องใส่ซิม, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และลำโพงหลักของตัวเครื่องครับ
ถาดซิมของรุ่นนี้จะเป็นแบบ nano-SIM 2 ซิม ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอก micro-SD ได้นะ
ฝาหลังสะท้อนสวย
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลังของตัวเครื่องกันบ้าง NEX 3 จะมาพร้อมกับสี Glowing Night หรือโทนเข้มที่จะออกดำพร้อมสะท้อนแสงสวย ๆ ตรงกลางเครื่อง บ้านเราขายสีนี้สีเดียว ก็ให้อารมณ์ความคมเข้มและสวยหรูดีไม่น้อยเลย
ตัวเลนส์กล้องจะเป็นทรงกลมแบบนี้เรียกว่า Lunar Ring Camera มีกล้อง 3 ตัวเรียงกันสวย ๆ ในกรอบประกอบด้วยกล้องหลักความละเอียดสูงถึง 64MP และกล้อง Tele 2x 13MP กับกล้อง Ultra Wide 13MP ด้วย
โลโก้ด้านหลัง Vivo ยกให้คำว่า NEX แบบเด่นชัดมาก แน่นอนว่าซีรีส์นี้เป็นซีรีส์เรือธงของแบรนด์จริง ๆ
ส่วนโลโก้ Vivo เองก็ใช่ว่าจะไม่มีนะ พี่แกซ่อนเอาไว้ที่ขอบเครื่องเล็ก ๆ ต้องเพ่งจริง ๆ ถึงจะเห็น ก็ถือว่ายังเก็บรายละเอียดได้ดีนะนั่น
โดยรวมในเรื่องดีไซน์ Vivo NEX 3 ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้สวยครบจริง ๆ ทั้งหน้าจอ Waterfall FullView Display ที่แสดงผลได้เต็มตามาก ๆ ไล่ไปถึงขอบเครื่องทำให้ดูสวยไหนก็เจอหน้าจอเต็มไปหมด ไม่มีอาการลั่นเวลาใช้งานด้วย ใครที่ชอบจอโค้งแบบสวย ๆ ตรงนี้สวยถูกใจแน่นอน บอดี้งานประกอบก็หรูหราแบบที่เรือธงควรเป็นเลยล่ะจับถือแล้วได้ทั้งน่ำหนักที่หนักแน่นกับความหรูหราของเครื่องอย่างแท้จริง
สเปคและฟีเจอร์การใช้งาน
สเปคจัดเต็ม เรือธงที่เรารอคอย !
ในเรื่องสเปค Vivo NEX 3 ให้สเปคระดับท็อปสุดไม่น้อยหน้าคู่แข่งเลย ทั้งหน่วยประมวลผลตัวแรงสุด Snapdragon 855+ ซึ่งในบ้านเรา NEX 3 นี้ก็ถือว่าเป็นรุ่นแรกเลยด้วยที่ใช้ชิปเซ็ตตัวนี้ ได้หน่วยความจำที่รวดเร็ว UFS 3.0 พร้อมแบตเตอรี่ความจุเยอะ 4500mAh อีกต่างหาก เรียกว่าครบมาก ๆ แล้วสำหรับเรือธงยุคนี้
สเปค Vivo NEX 3
- หน้าจอ Waterfall FullView Display 6.89" FHD+
- หน่วยประมวลผล Snapdragon 855+ 2.96GHz (7nm)
- แรม 8GB
- ความจุ 128GB (UFS3.0)
- แบตเตอรี่ 4500 mAh
- รองรับชาร์จไว Vivo Flash Charge 22.5W
- กล้องหน้าป๊อปอัพ 16MP
- กล้องหลัง 3 ตัว 64 + 13 + 13MP
- (Main + Wide Angle + Tele 2x)
- รองรับระบบเสียง Hi Fi ด้วยชิป AK4377A
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- รัน Android 9.0 Pie ครอบด้วย FunTouchOS 9
ท็อปสุดขนาดนี้คะแนนถึงไหน
เห็นสเปคแล้วต้องยอมรับเลยว่า NEX 3 นั้นให้มาแบบไม่กั๊กเลยจริง ๆ หน่วยประมวลผลตัวแรงแบบนี้พร้อมหน่วยความจำแบบใหม่ UFS 3.0 ด้วย เมื่อเราจับมาทดสอบคะแนนกับแอป AnTuTu Benchmark คะแนนก็ออกมาสูงถึง 393331 คะแนนเลยทีเดียว สูงมาก ๆ
ซอฟต์แวร์ฟีเจอร์เยอะ ใช้งานสนุก
ในส่วนของซอฟต์แวร์ NEX 3 มาพร้อมกับระบบ Android 9.0 ที่ครอบทับมาด้วย FunTouchOS 9 หน้าตา UI เป็นแบบที่เราคุ้นเคยบนสมาร์ทโฟน Vivo เป็นอย่างดี พร้อมลูกเล่นกับตัวขอบจอต่าง ๆ ได้อย่างดี
มีแอป iTheme ให้เราเลือกปรับแต่งธีมรวมถึง Wallpaper ของตัวเครื่องได้ตามสไตล์ของเรา รวมถึงดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ด้วย
หน้า UI ของ FunTouchOS 9 นั้นจะแบ่งตัวแถบแจ้งเตือนและตัว Control Center แยกกัน ด้านบนก็จะมีตัวการแจ้งเตือนเน้น ๆ พร้อมกับตัวผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi ไม่มีพวกทางลัดเปิด-ปิดต่าง ๆ นะครับ
เพราะตรงนั้นจะอยู่ที่มุมล่างของตัวเครื่อง โดยเราสามารถเลื่อนขึ้นจากมุมล่างเพื่อเรียกขึ้นมาได้ ตรงนี้นอกจากทางลัดเปิด-ปิดพวก Wi-Fi, Bluetooth แล้ว ก็ยังมีทางลัดเข้าแอป ปรับความสว่าง รวมถึงเสียงของตัวเครื่องได้ด้วย ก็ดูแบ่งเป็นสัดส่วนดี ใช้งานง่ายไม่งง
จอใหญ่แบบนี้แบ่งจอท่าจะดี
ได้หน้าจอใหญ่และเต็มตามาขนาดนี้การแบ่งทำงาน 2 หน้าจอน่าจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย บน NEX 3 เราก็สามารถแบ่ง 2 หน้าจอทำงานได้ จะกดปุ่ม Recent ค้างไว้ขณะเปิดแอปอยู่ก็ได้ หรือจะเลือกทางลัด Split Screen จาก Control Center ก็ได้เช่นกันครับ
Dark Mode ก็มา
กลายเป็นเทรนด์ของมือถือยุคนี้ไปแล้วกับ Dark Mode หรือโหมดมืด ที่รุ่นหลัง ๆ ก็มีมาให้เพื่อถนอมสายตาและใช้งานประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย บน NEX 3 ก็มีให้เลือกใช้งานด้วย เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Display > Dark Mode ครับ
สำหรับ Dark Mode ของ NEX 3 นี้ครอบคลุมไปในหลายแอปเลย ไม่ใช่แค่ตัวระบบหลักของเครื่องเท่านั้น เพราะแอปอื่น ๆ ที่ถึงแม้ไม่มี Dark Mode ติดมาตัวระบบก็จะจัดการให้เป็นสีดำเช่นกัน อาทิ Facebook ที่ตอนนี้ยังไม่มีมาให้ใช้งาน พอเราเปิด Dark Mode ของตัวเครื่องแล้วมาเปิด Facebook ตัว UI ก็จะเป็นสีดำไปด้วย ตรงนี้ใครที่ชอบสายดาร์กน่าจะถูกใจกันนะ :P
ขอบจอโค้งแบบนี้ โชว์ไฟสวย ๆ ได้ด้วย
นอกจากหน้าจอ WaterFall นี้จะช่วยให้ตัวจอนั้นสวยมีมิติแล้ว การที่มันคลุมลงมาถึงขอบเครื่องแบบนี้ก็ยังสามารถใช้ประโยชน์เป็นแถบแจ้งเตือนได้ด้วย ซึ่งเวลามีการแจ้งเตือน โทรเข้า หรือกระทั่งฟังเพลงตัวขอบหน้าจอนี้จะมีไฟวิ่งวาบขึ้นมาตามการตั้งค่าด้วย ถือว่าใช้พื้นที่มุมให้มีประโยชน์จริง ๆ นะเออ
สแกนนิ้วบนจอเร็วเหมือนเดิม
อย่างที่บอกว่า Vivo นั้นเป็นเจ้าแรกของวงการที่ใส่ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอมาบนสมาร์ทโฟน บน NEX 3 การทำงานก็อยู่จุดที่ลงตัวมาก ๆ แล้ว สแกนได้อย่างรวดเร็วด้วยระบบ Optical ไม่ต้องใช้แรงกดแค่แตะเบา ๆ ก็สแกนเข้าเครื่องได้แล้ว
ตัวไอคอนสแกนนิ้วก็สามารถปรับเปลี่ยนได้เช่นเดียวกับอนิเมชั่นในการแตะสแกน ทั้งแบบวูบวาบ ฟรุ้งฟริ้ง มีให้เลือกปรับในการตั้งค่าเลยครับ
หน้าจอ ระบบเสียง เล่นเกม
หน้าจอ Waterfall FullView เต็มตาพร้อมไล่ไปด้านข้าง
มาเข้าสู่เรื่องความบันเทิงบน NEX 3 กันบ้าง อย่างที่บอกว่ารุ่นนี้มาพร้อมหน้าจอแบบใหม่ Waterfall FullView Display ที่มีความโค้งเว้าและแสดงผลได้มากถึง 99.6% ชนิดหน้าจอที่ให้มาจะเป็น Super Amoled ที่แสดงผลได้สวยและสดมาก ๆ ใครที่ชอบการดูวิดีโอ รูปภาพแบบชัด ๆ บนมือถือรุ่นนี้ถูกใจแน่นอน
การแสดงผลที่เต็มตาเราแบบนี้เวลาเอามาดูวิดีโอสเกล 21:9 หรือตัวอย่างหนังต่าง ๆ ต้องบอกเลยว่าเต็มมากขึ้น ขอบดำที่มีก็จะไปอยู่ที่มุมบนและล่างของจอแทน ไม่มากินเนื้อที่ตรงกลามากนัก ตัวหน้าจอที่สุดขอบไปหมดแบบนี้ยิ่งทำให้ดูอะไรก็อิ่มไปหมด ไม่มีติ่งหรือรูบนหน้าจอมาบดบัง
ตัวขอบหน้าจอที่ไหลลงไปนั้นเอาจริง ๆ ก็แอบมีจุดที่ขัดใจอยู่นิดหน่อย ตรงเวลาแสดงคอนเทนต์แบบเต็ม ๆ หรือดูวิดีโอที่มีซับไตเติ้ลเนื้อหาเวลาเรามองตรง ๆ ก็จะมีความโค้งลงไปนิดหน่อย ทำให้อาจจะเห็นเนื้อหาไม่ครบอยู่บ้างน่ะนะ
ลำโพงตัวเดียวเสียงดังใช้ได้
มาในเรื่องระบบเสียง NEX 3 นั้นมาพร้อมกับลำโพงหลักที่ด้านล่างตัวเครื่องใช้งานเพื่อความบันเทิงได้ตัวเดียว ไม่สามารถใช้งานควบคู่กับลำโพงสนทนาเป็นลำโพง Stereo ได้ ตรงนี้ก็แอบน่าเสียดายเหมือนกัน เพราะระดับเรือธงแบบนี้น่าจะจัดเต็มเป็นลำโพงคู่หน่อย แต่ลำโพงหลักของตัวเครื่องเสียงที่ได้ก็ดังกำลังดีเลย ถ้าได้มิติซ้าย-ขวาด้วยคงจะดีไม่น้อย
ส่วนการทำงานผ่านหูฟังรุ่นนี้ก็น่าจะถูกใจใครหลาย ๆ คนเพราะมาพร้อมกับช่องหูฟัง 3.5 มม. อยู่ เสียบจิก ใช้งานกันได้เลยไม่ต้องใช้หูฟัง USB Type-C หรือ Dongle มาแปลงเนาะ ระบบเสียงที่ฟังผ่านหูฟังก็ยอดเยี่ยมตามสไตล์ Vivo ครับ รองรับระบบเสียง Hi Fi ด้วยชิป AK4377A
เล่นเกมเป็นไงล่ะ ?
แล้วเรื่องเล่นเกมเป็นไงบ้างนะ แน่นอนว่าสเปคที่ให้มาของ NEX 3 นั้นเป็นระดับท็อปที่สุดของแอนดรอยด์ตอนนี้แล้วก็ว่าได้ ทั้งหน่วยประมวลผล Snapdragon 855+ ที่เป็นตัวแรกของไทย, แรม 8GB แถมได้หน่วยความจำแบบ UFS3.0 ที่สามารถอ่าน-เขียนข้อมูลได้เร็วกว่า UFS2.1 เดิมกว่า 90% เลยด้วย เรื่องประสิทธิภาพการเล่นเกมนี่หายห่วงแน่นอน โหลดเร็ว เล่นลืน
นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมีระบบ Game Assistant ที่จะเข้ามาจัดการระบบในการเล่นเกมให้ลื่นไหลมากขึ้น รวมถึงจัดการระบบการแจ้งเตือนต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับคนที่จะเล่นเกมแบบจริงจัง ๆ โดยที่ไม่ต้องมีใครมากวนเลยล่ะ
สำหรับเกมที่เราใช้ทดสอบในรอบนี้จะเป็น Call of Duty Mobile เกมใหม่ที่ต้องใช้ประสิทธิภาพสูง ๆ ในการประมวลผลเลยล่ะ และแน่นอนว่าบน NEX 3 นั้นเราสามารถปรับคุณภาพกราฟิกไปได้ที่สูงสุด Very High รวมถึงเฟรมเรตไปได้ที่ MAX เลยล่ะ ชิปเขาแรงนี่เนอะ
ในเกมก็สามารถรันได้อย่างลื่นไหล ทั้งตัวเฟรมเรตที่นิ่งเอามาก ๆ เล่นได้เพลินยิงกันรัว ใช้ฝีมือได้อย่างเต็มที่เลยล่ะ ตัวกราฟิกก็แสดงผลได้สวยงามดีมาก ๆ ตัวขอบจอที่เว้าลงไปก็ไม่เจออาการกดลั่นไปโดนเลย
อีกเกมก็เป็น Asphalt 9 ที่ก็ปรับคุณภาพกราฟิกได้สูงสุดไม่แพ้กัน เอฟเฟกต์ในเกมทำได้ดี รวมถึงความลื่นไหลในการควบคุม
ตัว UI ในการแสดงผลของเกมนี้ก็ไม่ได้ขาดหายไปเท่าไหร่เมื่ออยู่บนจอโค้งแบบ Waterfall นี้ ยังคงเห็นรายละเอียดและแตะที่ไอคอนต่าง ๆ เพื่อควบคุมได้ดีอยู่ครับ
ในเรื่องของความบันเทิงทั้งการเล่นเกม ดูหนัง รวมถึงฟังเพลง เจ้า NEX 3 นี้ทำได้ยอดเยี่ยมดีทีเดียวครับ ด้วยหน้าจอที่ใหญ่และเต็มตามาก ๆ นี้ ดูอะไรก็สวยชัดไปหมด ถึงแม้จะมีความเว้าโค้งมากกว่าปกติไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหามากนัก เรื่องเสียงก็ยอดเยี่ยมด้วยชิปเสียง Hi-Fi ใช้งานผ่านหูฟังดีมาก ส่วนลำโพงแอบเสียดายที่ได้ลำโพงเดียวมา ถ้าเป็นลำโพงคู่ด้วยนี่คือฟินครบเลยล่ะ
กล้อง
กล้อง 3 ตัวความละเอียดสูงถึง 64MP
มาดูเรื่องกล้องกันบ้าง เห็นดีไซน์ดีแล้ว สเปคเทพสุด กล้องก็ไม่น้อยหน้าใคร ๆ เหมือนกัน เพราะมาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัวความละเอียดสูงสุดถึง 64 ล้านพิกเซลเลยล่ะ โดยเลนส์ที่ให้มาก็เรียกว่าครบต่อการใช้งานแบ่งออกเป็น 3 ตัวดังนี้ครับ
กล้องหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล f/1.8
เลนส์ Ultra Wide 13 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 120 องศา f/2.2
เลนส์ Tele 2x 13 ล้านพิกเซล f/2.48
ตัว UI จะแบ่งโหมดการใช้งานไว้ได้ครบดีทีเดียว ตัวหลัก ๆ อย่าง Photo, Video, Portrait, Night จะอยู่ในหน้าหลักทั้งหมด มีไอคอน 1x ไว้ให้กดสลับตัวเลนส์ได้อย่างง่าย ๆ ที่มุมขวา เราสามารถกดไปเรื่อย ๆ จาก 1x ไป 2x และ 0.6x ได้ หรือใช้การรูดขึ้น-ลงเพื่อซูมเข้าออกก็ได้เช่นกันครับ
นอกจากนี้ยังมีไอคอนเสริมที่ให้เราใช้โหมดพิเศษอย่าง Bokeh, Super macro รวมถึง Ultra Wide Angle ได้จากตรงนี้ด้วย ถ้าเกิดหาบางโหมดไม่เจอมันซ่อนอยู่ตรงนี้แหละครับ
ในโหมด Auto ก็แน่นอนว่าจะมีโหมด AI มาคอยช่วยแนะนำซีนและปรับภาพให้สวยขึ้นตามที่ควรจะเป็น มีระบบ Hyper HDR ใหม่ที่ช่วยให้การถ่ายภาพย้อนแสงนั้นดียิ่งขึ้น เพิ่มขอบเขตของแสงและ Dynamic Range ได้อย่างดีบนรุ่นนี้ครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Auto จะเห็นว่าภาพที่ได้นั้นสวยงามดีจริง ๆ ในทุกมุมมอง เพราะด้วยช่วงเลนส์ที่มีมาให้ครบทั้งกว้าง, ปกติ รวมถึงซูมอีก คุณภาพที่ได้นั้นยอดเยี่ม สีสันนั้นสวยงาม รวมถึงความคมชัดก็ดีมาก ๆ มี AI เข้ามาช่วยในการเก็บภาพ ถ่ายอาหารก็สวยสดน่ากิน ถ่ายวิวท้องฟ้าก็สว่างเคลียร์
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Super Macro
มีโหมด 64MP ให้เลือก เผื่ออยากได้แบบคม ๆ
ถึงแม้ตัวกล้องที่ให้มาจะมีความละเอียดสูงสุดถึง 64 ล้านพิกเซล แต่แน่นอนว่าการใช้งานทั่วไปเราคงไม่ได้ต้องการความละเอียดสูงขนาดนั้นเนอะ ในโหมด Auto ปกติจะตั้งค่าความละเอียดมาที่ 16 ล้านพิกเซลเป็นหลัก ซึ่งมันก็พอแล้วจริง ๆ แต่ถ้าใครที่อยากได้ความละเอียดสูงแบบเต็ม ๆ ของเซ็นเซอร์ก็ให้เลือกไปที่โหมด 64MP ในหน้า more ได้เลยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด 64MP จะเห็นว่าความละเอียดที่สูงขึ้นขนาดนี้ ทำให้เราสามารถซูมเข้าไปดูรายละเอียดหลังถ่ายมาได้อย่างครบถ้วน ไฟล์คมชัดดีจริง ๆ แต่ก็ต้องแลกมากับขนาดไฟล์ที่ใหญ่ระดับ 10MB++ เลย ถ้าไม่ได้เน้นความคมชัดขนาดนั้น ถ่ายแบบปกติเอาดีกว่าครับ
โหมดกลางคืนทำงานเร็วมาก
อีกหนึ่งโหมดที่จะขาดไม่ได้บนสมาร์ทโฟนยุคนี้ก็คือ Night Mode บน NEX 3 นี้ Vivo เรียกว่า Super Night Mode 2.0 ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ทั้งการถ่ายที่รวดเร็วเพียง 2 - 3 วินาที และการเก็บแสงที่ได้มากกว่าเดิมอีกด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Super Night 2.0 จะเห็นว่าภาพที่ได้นั้นแสงสีและความคมชัดในตอนกลางคืนทำได้ดีมาก ๆ รายละเอียดต่าง ๆ มาครบประหนึ่งเราถ่ายในโหมด HDR ตอนกลางวัน ได้แสงที่เท่า ๆ กันและความคมชัดที่ดี การเก็บภาพอย่างที่บอกว่าเร็วขึ้น กดแล้วรอประมาณ 2- 3 วินาทีก็ได้ภาพสวยแล้ว แต่น่าเสียดายที่โหมดนี้เรายังคงใช้ได้แค่เฉพาะเลนส์หลักเท่านั้น ไม่สามารถใช้กับเลนส์ Ultra Wide ได้
Portrait ถ่ายคนสวยพร้อมลูกเล่น Bokeh
อีกหนึ่งโหมดก็คือโหมดบุคคลหรือ Portrait ที่ Vivo ก็โดดเด่นมาอยู่แล้ว หน้าตา UI อาจจะงง ๆ นิดหน่อย เพราะถ้าในโหมด Portrait ปกติจะเป็นหน้าสวยเฉย ๆ ถ้าอยากได้แบบหลังละลายก็ให้มาเลือกที่ไอคอนพิเศษแล้วกด Bokeh ควบคู่ไปด้วยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait ของ NEX 3 ก็อย่างที่เห็นครับ ภาพที่ได้จากโหมด Portrait นั้นทำได้ดีทีเดียว การละลายฉากหลังทำได้เนียนและคมพอประมาณ ชอบตรงที่เราสามารถใช้เลนส์ได้ทั้ง 1x กับ 2x ในการถ่าย ทำให้ได้ภาพในมิติที่แตกต่างกัน ความเนียนของใบหน้าก็ปรับให้สวยขึ้นมาในระดับที่พอเหมาะบน Portrait กล้องหลังนี้ครับ
กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล เซลฟี่เนียน
มาเข้าถึงตัวกล้องหน้ากันบ้าง NEX 3 มาพร้อมกล้องหน้า Pop-UP ความละเอียดสูง 16 ล้านพิกเซล ตามจุดขายของแบรนด์นี้ที่เด่นในเรื่องของเซลฟี่มาอยู่แล้ว บนรุ่นนี้ก็ไม่ต้องห่วงเลยครับ มีทั้งโหมด Beauty มาครบ มี Portrait หน้าชัด-หลังเบลอ รวมถึง Hyper HDR บนกล้องหน้าด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้าจากโหมด Auto
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้าจากโหมด Portrait
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
แบตเตอรี่ 4500 mAh จุใจ อึดมาก !
เข้าสู่ช่วงสุดท้ายด้วยแบตเตอรี่ รุ่นนี้ให้แบตมามากถึง 4500mAh เรียกว่าเยอะพอใช้งานมาก ๆ เท่าที่ลองใช้งานมาแบบจริงจัง ๆ ต้องยอมรับเลยว่า NEX 3 นั้นใช้งานได้ดีมาก อึดสุด ๆ จะเล่นเกม ดูหนัง ถ่ายรูป ความจุเท่านี้เรียกว่าเป็นที่น่าพอใจสุด ๆ ใช้งานได้เพลินๆ โดยที่ไม่ต้องกลัวแบตฯหมดไปดื้อ ๆ เลย
รองรับระบบชาร์จ Vivo Flash Charge 22.5W
ในเรื่องของระบบชาร์จก็ไม่ต้องห่วง เห็นแบตฯเยอะแบบนี้ ถ้าเกิดหมดขึ้นมาก็ไม่ต้องกลัวจะชาร์จนานเพราะรุ่นนี้เขาให้ระบบชาร์จไวใหม่ Vivo Flash Charge ที่จ่ายไฟได้สูงสุดถึง 22.5W มั่นใจได้เลยว่าถ้าเราจะชาร์จก็ไม่ต้องเสียเวลานั่งรอกันนาน ๆ แล้ว
สรุปให้เลย !
สรุปให้เลยละกัน สำหรับ Vivo NEX 3 นี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรือธงที่น่าจับตามองมาก ๆ อีกรุ่น ด้วยเทคโนโลยีที่จัดเต็มมาให้พร้อมในเครื่องเดียว ทั้งรูปลักษณ์แบบใหม่ที่สวยและเต็มตามากที่สุดบนแอนดรอยด์ที่เราเคยเจอมาแล้วด้วยหน้าจอแบบ Waterfall FullView สวยจริง ใหญ่เต็มตาจริง, สเปคที่ให้มาครบ Snapdragon 855+ รุ่นแรกในไทย มีหน่วยความจำแบบ UFS 3.0 ที่เร็วมาก ๆ ในการโหลดข้อมูล, แบตเตอรี่ที่อึดพร้อมชาร์จเร็วที่เต็มเติมการใช้งานได้เป็นอย่างดี ปิดท้ายที่เรื่องกล้องที่จัดมาให้ครบทุกช่วงตามสไตล์เรือธงที่ควรจะเป็น ใครที่กำลังมองหาเรือธงรุ่นสูงสุดของ Vivo อยู่ ตอนนี้มีมาให้จับจองแล้วนะ ไปจัดกันได้เลย ไม่ผิดหวังแน่นอน !!
จุดเด่น
- หน้าจอ Waterfall FullView แสดงผลได้เต็มตามาก
- Snapdragon 855+ แรงจริง สมกับเป็นเรือธง
- กล้องหลัง 3 ตัวครบทั้งคุณภาพและระยะการใช้งาน
- แบตเตอรี่อึดมาก รองรับชาร์จไวอีก
- มีชช่องหูฟัง 3.5มม.
- FunTouch OS ลูกเล่นเยอะ น่าใช้งาน
จุดสังเกต
- ลำโพงเพื่อความบันเทิงใช้ได้แค่ตัวเดียว
- ไม่สามารถเพิ่ม micro-SD ได้ (แต่ในเครื่องให้มา 128GB แล้ว)
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite