ดีไซน์
Review : OPPO Reno2 F น้องเล็กจากซีรีส์ใหม่ ยกระดับความพรีเมี่ยมพร้อมสโลแกน "4 กล้องหลัง สวยทุกมุมมอง" !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับ OPPO Reno2 F สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ Reno2 Series ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปหมาด ๆ นี่เอง หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีบทความแกะกล่องให้อ่านกันไปแล้ว วันนี้ก็ขอมารีวิวความรู้สึกหลังใช้งานแบบจริงจังกันสักหน่อยว่ารุ่นนี้มีอะไรเด็ดอีกนอกจากดีไซน์สวย ๆ ยั่วยวนและสโลแกน "4 กล้องหลัง สวยทุกมุมมอง" นี่กล้องจะเด็ดแค่ไหน มาอ่านรีวิวนี้ไปพร้อม ๆ กันครับ :D
ราคา 11,990 บาท !!
ก่อนจะไปดูรายละเอียดตัวเครื่อง ขอมาเริ่มกันที่ราคากันก่อนเลยเพื่อไม่ให้เสียเวลา OPPO Reno2 F เปิดราคาค่าตัวมาที่ 11,990 บาท เริ่มเปิดให้จองตั้งแต่วันที่ 9 - 25 นี้ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษรับของแถมเป็นกระเป๋า Sport Bag และ VIP Card
นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นจาก 3 เครือข่ายราคาเริ่มต้น 3,490 บาทเมื่อสมัครแพ็กเกจตามที่กำหนดอีกด้วย !
แกะกล่อง Reno2 F
มาเริ่มแกะกล่องกันก่อนเลย สำหรับ Reno2 F นั้นจะเป็นรุ่นเล็กสุดของ Reno2 Series ตัวกล่องก็เลยมาในทรงยาว ๆ สูง ๆ แบบเดียวกับ Reno Series รุ่นแรกที่เราเคยเห็นมาแล้วนั่นเอง ด้านหน้าจะโชว์เพียงแค่ดีไซน์ฝาหลังคร่าว ๆ ไม่มีบอกสีหรือภาพประกอบชัดเจนแล้วนะ
อุปกรณ์ภายในกล่องก็จะมาให้ครบพร้อมใช้งานเลย ตั้งแต่ฟิล์มกันรอยที่ติดมาในตัวเครื่องแล้ว รวมถึงเคส เบ็ดเสร็จก็มีทั้งหมด 7 อย่างดังนี้ครับ
- ตัวเครื่อง OPPO Reno2 F
- เคสซิลิโคนใส
- อะแดปเตอร์ชาร์จ VOOC 3.0
- สาย USB Type-C
- หูฟัง
- เข็มจิ้มถาดซิม
- คู่มือการใช้งาน
การกลับมาของ F ที่อัปเกรดกว่าเคย !
มาเข้าสู่ตัวเครื่องกันเลย OPPO Reno2 F นี้ก็ถือว่าเป็นรุ่นต่อยอดจาก F Series เดิมที่เราคุ้นเคย (ไม่ว่าจะเป็น F7, F9 หรือ F11 Pro) ถึงได้มีตัว F ตามท้ายอย่างที่เห็น และเป็นการรีแบรนด์ใหม่ต่อจากนี้ซีรีส์ F ก็จะมาร่วมกับ Reno Series เพื่อเป็นอันหนึ่งเดียวกันแล้วนั่นเองครับ หน้าตาก็มีความสวยหรูอัปเกรดขึ้นมาจากเดิมอีกขั้น
เริ่มจากหน้าจอ ! Reno2 F มาพร้อมกับหน้าจอ Panoramic Screen ขนาดใหญ่ 6.5 นิ้ว ที่ใช้ชนิดหน้าจอแบบ Amoled แล้ว ให้ความสวยสดของหน้าจอได้เป็นอย่างดีที่ความละเอียดแบบ FHD+ แสดงผลสีสันได้สวยงาม รวมถึงแสดงผลหน้าจอได้เต็มพื้นที่ด้านหน้าไปกว่า 91.1% เลยทีเดียว
เหนือหน้าจอก็จะไม่มีติ่งหรือรูมาบดบัง มีแถบลำโพงยาว ๆ อยู่ด้านบนใช้คุยโทรศัพท์ได้ยินเสียงชัดเจนเลย ส่วนด้านล่างก็จะมีซ่อนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้านในด้วย
กล้องหน้ายกได้พร้อมไฟเกร๋ ๆ
ในส่วนของกล้องหน้ายังคงซ่อนอยู่ภายในตัวเครื่องเหมือนเคย เวลาเรียกใช้ก็จะยกขึ้นมาตรงนี้ OPPO ใช้ชื่อเรียกว่า Rising Camera รอบนี้พิเศษขึ้นไปอีกเพราะมีไฟ Atmosphere Light เข้ามาเสริมด้วย ทำให้เวลาเปิดกล้องหน้าดูโดดเด่นขึ้น แถมเรายังสามารถเปลี่ยนสีไฟได้อีกด้วยนะ แหล่ม !
สีสวยงานประกอบดี
งานประกอบรอบนี้ต้องยอมรับว่าทำได้ดีขึ้นอัปเกรดจากเดิมพอสมควร ด้วยฝาหลังที่เป็นกระจก Gorilla Glass 5 เพิ่มความแข็งแกร่งและทนทานขึ้นกว่าแบบเดิมเยอะ สีที่เราได้มารีวิวนี้คือสี Sky White สีขาวมึกที่โดดเด่นเอามาก ๆ ถ้าลองสังเกตดี ๆ จะมีลายเส้นพาดอยู่บนตัวฝาหลังด้วยเวลาสะท้อนแสง
ส่วนสีตัวเครื่องเวลามีการสะท้อนกับแสงตามมุมต่าง ๆ ก็จะเป็นการไล่เฉดสีสวย ๆ เรียกว่าทำฝาหลังออกมาได้สวยจริง ๆ อันนี้ต้องยอมทาง OPPO เขาเลยล่ะ โลโก้ต่าง ๆ ยังคงวางไว้ตรงกลางแบบสมมาตร พร้อมคำว่า OPPO DESIGNED FOR RENO อีกเช่นเคย
ตัวกล้องหลังจะเรียงกันลงมาอยู่ในกรอบสีดำอย่างเป็นระเบียบ ตัว O-Dot ของ Reno2 F จะขยับขึ้นมาอยู่บนสุด ต่างจากรุ่นก่อนที่อยู่ล่างตัวเลนส์ตัวสุดท้ายนะ รุ่นนี้ได้ไฟแฟลช 2 ดวงมาอยู่ข้าง ๆ ตัวเลนส์นี่แหละ ไม่ได้ซ่อนไว้ในกล้องยกนะ
กรอบเครื่องของรุ่นนี้จะเป็นสีทองที่ตัดกับสีขาวของตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี มีความลงตัวเอามาก ๆ วางตำแหน่งปุ่มกดไว้ในมุมที่เหมาะสมและกดได้ง่าย
ด้านซ้ายมือมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง ด้านขวามือมีปุ่ม Power ที่มีการเพิ่มแถบสีเขียวเข้ามาให้ดูมีมิติมากขึ้น ปุ่มกดได้ง่ายและไม่แข็งจนเกินไป
ช่องใส่ซิมการ์ดจะอยู่ที่มุมขวานี้เช่นกัน ถาดซิมของ Reno2 F จะเป็นแบบ Triple Slot เรียงกันมาเลย ใส่ไปซะ 2 ซิมและ micro-SD น่ะ
พอร์ตการเชื่อมต่อของรุ่นนี้จะเป็น USB Type-C แล้ว วางอยู่ตรงกลางด้านล่างแบบเด่น ๆ มีช่องหูฟัง 3.5 มม., ไมโครโฟนสนทนาและลำโพงหลักของตัวเครื่องอยู่ตรงนี้ทั้งหมดครับ
ด้านบนนอกจากกล้องที่ยกขึ้นมาได้แล้วก็จะมีไมโครโฟนตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวนอยู่ด้วยครับ
รวม ๆ แล้วในเรื่องดีไซน์ของ Reno2 F ต้องบอกเลยว่าสอบผ่านมาก ๆ จัดเรียงออกมาได้สวยดีทีเดียว แถมได้วัสดุงานประกอบที่อัปเกรดขึ้นมาอีกขั้น จัดว่าเป็นการต่อยอดในเรื่องดีไซน์รุ่นที่แล้วมาได้อย่างดีเลยล่ะ
กล้อง
กล้องหลัง 4 ตัว สวยทุกมุมมอง
ไหน ๆ ก็ชูเรื่องกล้องมาเด่นขนาดนี้แล้ว งั้นเราขอข้ามมาพูดถึงเรื่องก่อนกันก่อนเลยละกันก่อนจะไปดูในส่วนอื่น ๆ Reno2 F มาพร้อมกล้องหลังมากถึง 4 ตัวและแต่ละตัวก็มาพร้อมความสามารถที่น่าสนใจ ทำให้เราสามารถเก็บภาพสวย ๆ ได้ทุกมุมมองตามสโลแกนของรุ่นนี้เลย สำหรับสเปคกล้อง 4 ตัวที่ให้มาก็จะมีดังนี้ครับ
กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Samsung GM1 f/1.79
กล้อง Ultra Wide Angle 8 ล้านพิกเซล, มุมกว้าง 119 องศา f/2.2
กล้อง Monochrome 2 ล้านพิกเซล
กล้อง Portrait 2 ล้านพิกเซล
จะเห็นว่าตัวกล้องที่ให้มานั้นครอบคลุมต่อการใช้งานในหลายสถานการณ์มาก ๆ ทั้งในตัวกล้องหลักที่มีความละเอียดสูงค่ารูรับแสงกว้าง เก็บภาพได้คมชัดรวมถึงแสงน้อยได้ดี มีเลนส์ Ultra Wide Angle มุมกว้างถึง 119 องศา ช่วยให้เราถ่ายภาพวิวได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงเลนส์ Mono และ Portrait ที่เข้ามาเสริมให้การถ่ายภาพในโหมด Portrait นั้นดียิ่งขึ้นและมีฟิลเตอร์เฉพาะมาให้ด้วย
โหมดการใช้งานก็มีมาให้ครบ ในส่วนของโหมด Auto หรือ Photo ค่าเริ่มจะมีตัว AI Scene Recognition เข้ามาจัดแต่งและแยกแยะภาพนั้น ๆ ให้สวยแบบที่ควรจะเป็น ไม่ต้องตั้งค่าอะไรมากมายครับ เล็งแล้วถ่ายได้เลยเดี๋ยว AI จัดให้
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลักของ Reno2 F จะเห็นว่าภาพที่ได้นั้นสวยและใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ไฟล์จากกล้องหลักทำได้ดีทีเดียว ทั้งโทนสีและความละเอียด ตัว HDR ของกล้องหลักก็ทำได้ดีมาก Dynamic Range กว้างใช้ได้ ถ่ายย้อนแสงก็ออกมาสวย
Ultra Wide Angle มุมกว้างเก็บภาพได้ครบ
อีกเลนส์ที่เข้ามาเพิ่มบทบาทในการถ่ายรูปของมือถือยุคนี้ได้ดีมาก ๆ ก็คือ Ultra Wide Angle หรือที่เรียกกันง่าย ๆ กว่าเลนส์ Wide นี่แหละ บน Reno2 F ก็มีติดมาด้วย เก็บภาพมุมกว้างได้ถึง 119 องศา ช่วยให้การถ่ายภาพในที่กว้าง ๆ นั้นดูกว้างขึ้นจริง รวมถึงถ่ายภาพในสถานที่จำกัดได้ครบโดยไม่ต้องถอยไปไกลอีกด้วย การสลับมาใช้มุมกว้างนี้ก็เลือกที่ไอคอนมุมซ้ายตามในภาพนี้เลยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากเลนส์ Ultra Wide Angle จะเห็นว่าภาพนั้นดูกว้างและมีมิติขึ้นเยอะเลย เมื่อเทียบกับกล้องตัวหลัก เก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างดีซะด้วย ความโค้งเว้าของภาพไม่เยอะเกินไป เรียกว่าใครที่ชอบภาพมุมกว้าง ๆ สลับมาใช้เลนส์นี้นี่แจ่มเลยล่ะ
Ultra Night Mode 2.0 กลางคืนอย่างเทพ !
ข้ามมาที่โหมดกลางคืนกันเลยละกัน สำหรับ Reno2 F นั้นจะมีโหมด Ultra Night Mode 2.0 หรือโหมดกลางคืนที่เราคุ้น ๆ กันมาให้ใช้งานด้วย การเก็บภาพก็จะใช้ทฤษฏีเดียวกับรุ่นก่อน ๆ คือเก็บภาพหลาย ๆ สภาพแสงแล้วมาประมวลผลรวมเป็นภาพเดียว ทำให้ได้ภาพที่สีสันสวยงามแถมรายละเอียดยังครบถ้วนอีกด้วย แต่ทีเด็ดกว่านั้นก็คือรอบนี้สามารถใช้กับเลนส์ Ultra Wide Angle ได้ด้วยนี่สิ ทีนี้ก็แจ่มเลยมุมกว้างแบบกลางคืนเนี่ย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Ultra Night Mode 2.0 ยังคงทำให้เราประทับใจได้เหมือนเคยสำหรับโหมดนี้ เก็บภาพมาได้ดีมาก รายละเอียดและแสงสีนั้นสวยจริง ๆ รอบนี้พอใช้ตัวเลนส์มุมกว้างได้ด้วยนี่ก็ยิ่งแจ่มใหญ่ ภาพมันกว้างขึ้นเยอะ แถมยังสามารถลากไฟได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องพึ่งขาตั้งด้วยในเลนส์มุมกว้างนี้ มันดีจริง ๆ !!
Portrait หน้าเนียน เลือกระดับความเบลอได้แล้ว
ในส่วนของภาพถ่ายบุคคลหรือ Portrait Mode นั้น Reno2 F ก็เรียกว่าชูจุดนี้เป็นจุดขายไม่แพ้กัน ด้วยความเนียนใสของใบหน้าที่ OPPO นั้นเก่งมากอยู่แล้ว รอบนี้ก็มีลูกเล่นอย่างการปรับระดับความละลายของฉากหลังเข้ามาเพิ่มเติมด้วย
โดยเราสามารถเลือกระดับได้ตั้งแต่ 0 - 100% เลย ซึ่งค่าเริ่มต้นถ้าเราไม่ปรับอะไรเลยก็จะให้มาที่ 60% ครับ ก็ดูเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว แต่ถ้าอยากปรับเพิ่มหรือลดก็ให้ไปกดที่ไอคอนกลม ๆ ด้านบนซ้ายของหน้า UI โหมด Portrait เลยครับ
นอกจากนีั้ยังมีตัวฟิลเตอร์ให้เลือกใช้งานด้วย ตรงนี้แหละที่เราจะได้ใช้เลนส์ Monochrome และ Portrait ที่ติดมากับตัวเครื่องเพราะฟิลเตอร์ที่ 6 - 7 นั้นจะมีการใช้เลนส์ 2 ตัวนี้เข้ามาช่วยให้ภาพขาว-ดำนั้นเนียนเป็นธรรมชาติมากขึ้นไปอีก
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait ของ Reno2 F เห็นได้ชัดเลยว่า OPPO นั้นโดดเด่นเรื่องการถ่ายภาพบุคคลจริง ๆ ภาพที่ได้นั้นเนียนตาดีจริง ๆ แบบก็ชัดและใบหน้าสวยคม แถมฉากหลังที่มีการละลายก็ตัดขอบได้เป๊ะมาก ๆ รวมถึงฟิลเตอร์ที่มีให้เลือกก็ทำให้เราถ่ายและจบหลังกล้องได้เลย โดยไม่ต้องไปแต่งเพิ่มเติมแล้ว เลือกเอาจากตรงนี้แหละ แต่น่าเสียดายตรงที่เมื่อเราถ่ายมาแล้วไม่สามารถปรับพวกฟิลเตอร์หรือการละลายฉากหลังได้อีกนี่สี ถ้าได้ด้วยนี่แจ่มมากถ่าย ๆ ไปแล้วมาปรับอีกทีเนี่ย
กล้องหน้า Rising Camera พร้อมไฟ Atmosphere Light
กล้องหน้าของ Reno2 F ได้ความละเอียดมาที่ 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟ Atmosphere Light อย่างที่บอกไป ตรงนี้นอกจากจะเข้ามาให้สวย ๆ แล้วยังสามารถเป็นไฟแฟลชกล้องหน้าเวลาเซลฟี่รวมถึงไฟแจ้งเตือนเวลานับถอยหลังเวลาเซลฟี่ได้ด้วยนะ สวยแล้วยังมีประโยชน์อีก
ส่วนใครที่อยากได้สีสันแบบที่เราต้องการเวลาเปิดกล้องหน้าก็สามารถเข้าไปเลือกปรับเองได้ด้วย เมนูจะอยู่ใน Settings > Additional Settings > Camera Pop-Up Effects ทีนี้ก็เลือกเอาเลย จะเอาสีไหนหรือเพิ่มเสียงเวลากล้องยกก็ได้เช่นกันครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Reno2 F ในเรื่องของลูกเล่นว่าเจ๋งแล้ว ตัวกล้องเองก็เจ๋งไม่แพ้กัน คุณภาพที่ได้สมกับเป็น OPPO จริง ๆ สวยเนียนเป็นเอกลักษณ์ มีฟีเจอร์พวก AI Beauty มาคอยปรับความสวยของใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ
สเปคและฟีเจอร์การใช้งาน
สเปคไม่ธรรมดาเลยนะรุ่นนี้ !
เข้าสู่เรื่องสเปคและการใช้งานอื่น ๆ กันบ้าง Reno2 F นั้นให้สเปคภายในมาถือว่าค่อนข้างครบดีทีเดียว ทั้งหน่วยประมวลผลรุ่นกลางที่ตอบโจทย์การใช้งาน ความจุที่ให้มาถึง 8GB + 128GB และแบตเตอรี่จุใจอีก 4000mAh แหนะ ส่วนสเปคแบบครบ ๆ ก็ตามด้านล่างนี้เลยครับ
สเปค OPPO Reno2 F
- หน้าจอ Panoramic Screen Super Amoled 6.5" FHD+ (19.5:9)
- ซีพียู MediaTek Helio P70 Octa-core 2.1GHz
- จีพียู Mali-G72MP3
- แรม 8GB
- ความจุ 128GB
- รองรับ micro-SD สูงสุด 256GB
- แบตเตอรี่ 4000mAh
- รองรับชาร์จไว VOOC 3.0
- กล้องหน้า Rising Camera 16 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัง 4 ตัว 48 + 8 + 2 + 2 ล้านพิกเซล
- (Main + Ultra Wide Angle + Portrait + Mono)
- รองรับระบบสแกนใบหน้า
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- รัน Android 9.0 Pie (ColorOS 6.1)
- ขนาดตัวเครื่อง 161.8 x 75.8 x 8.67 มม.
- น้ำหนัก 195 กรัม
คะแนนดีเลยล่ะ
อย่างที่เห็นว่า Reno2 F นั้นได้หน่วยประมวลผล Helio P70 ตัวเดียวกับ F11 Pro แต่ก็มีการอัปเกรดเพิ่มหน่วยความจำภายในเข้ามาเป็น 8GB + 128GB แล้ว คะแนนทดสอบเลยออกมาสูงถึง 146,800 คะแนนเลยล่ะ
ซอฟต์แวร์ตัวล่าสุด ColorOS 6.1
ในส่วนของซอฟต์แวร์ Reno2 F มาพร้อมกับ Android 9.0 Pie ที่ครอบทับมาด้วย ColorOS 6.1 แล้ว การทำงานต่าง ๆ ก็คือลื่นไหล และมีการปรับรูปแบบอีกเล็กน้อย ๆ ขึ้นมาจากเวอร์เดิมอีก
อย่างแรกก็คือด้านประสิทธิภาพ ColorOS 6.1 นี้จะมี HyperBoost 2.0 ที่มาพร้อม TouchBoost และ FrameBoost เข้ามาช่วยให้การเล่นเกมและประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องลื่นไหลมากขึ้นอีกด้วย
มีชุด Wallpaper ใหม่มาให้เข้ากับตัวเครื่องอีกแล้ว สวยใช้ได้เลย แต่ถ้าไม่ถูกใจก็ยังมี Theme Store ที่ให้เพื่อน ๆ ได้ดาวน์โหลดธีมใหม่ ๆ รวมถึง Wallpaper ได้ด้วยนะ
หน้าซ้ายสุดจะมีตัว Smart Assistant เหมือนเคยมีทางลัดสำคัญ ๆ ให้เราได้เลือกใช้จาดตรงนี้ อาทิ สภาพอากาศ, ปฏิทิน หรือการนับก้าวก็เลื่อนมาที่หน้าซ้ายสุดนี้ได้เลย
มี Gesture ให้ใช้งานเลื่อน ๆ ปัด ๆ แทน 3 ปุ่มด้านล่างด้วย
มือถือยุคนี้ก็มักจะมีหน้าจอที่เต็มมากขึ้นเรื่อย ๆ การควบคุมก็มีหลากหลายวิธีมากขึ้น เราไม่จำเป็นต้องมาคอยกดปุ่ม 3 ปุ่มที่ล่างหน้าจอแล้วก็ได้ บน ColorOS 6.1 จะมีระบบ Gesture Swipe from Both Side หรือลักษณะท่าทางจากทั้งสองด้านเข้ามาเพิ่ม ให้เราได้ใช้งานรูปแบบ Gesture เต็มรูปแบบได้มากขึ้น
อย่างการกดย้อนกลับเราสามารถลากนิ้วจากมุมข้างของทั้ง 2 ฝั่งออกมาได้ หรือจะเป็นการลากจากขอบจอล่างเพื่อเป็นการเข้าสู่หน้าโฮมก็ได้เช่นกัน ตรงนี้เท่าที่ลองใช้ก็คล่องตัวดีทีเดียวครับ ไม่ต้องเอื้อมนิ้วมากดที่ปุ่มล่างหน้าจอตลอด แถมการปัดจากขอบจอด้านข้างเพื่อย้อนกลับก็สะดวกดี ใช้งานได้จากทั้ง 2 ฝั่งอีก ใครชอบการใช้งานแบบ Gesture ตรงนี้ถูกใจแน่ ๆ
ตั้งค่าได้ที่ Settings > Convenient Aid > Navigation Keys > Gesture Swipe from Both Side
สแกนนิ้วบนหน้าจอ สแกนใบหน้าพร้อมไฟสวย ๆ
หลังจากที่เปลี่ยนมาใช้หน้าจอแบบ Amoled ก็สามารถใส่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอได้ด้วย บนรุ่นนี้ก็อัปเกรดขึ้นมาอีกเป็น Hidden Fingerprint Unlock 3.0 ที่มีการเปล่งแสงออกมามากกว่าเดิม ทำให้สามารถสแกนได้เร็วขึ้นอีก 11.3% เลยล่ะ
ส่วนระบบปลดล็อคด้วยใบหน้าก็ยังมีอยู่ครับ ใช้ตัวกล้องหน้า Rising Camera นี่แหละแต่อย่างที่เห็นรอบนี้มีไฟข้าง ๆ ด้วยเวลาสแกนก็เท่ไปอีก
หน้าจอ ระบบเสียง เล่นเกม
จอ Amoled เต็มตาแบบนี้นี่ฟินจริง ๆ
มาดูในเรื่องของความบันเทิงบน Reno2 F กันบ้าง รุ่นนี้ได้หน้าจอ Amoled ที่แสดงผลได้สวยสดมาแล้ว แน่นอนว่าเอามาดูวิดีโอหรือไฟล์ภาพความละเอียดสูงนี่ฟินจริง ๆ แหละ อันนี้บอกเลย แถมตัวหน้าจอยังเต็มไร้ติ่งหรือรูบนหน้าจออีก เวลาดูนี่ก็ได้เต็ม ๆ เลย
เสียงดี มีลำโพงคู่
ส่วนเรื่องเสียง Reno2 F ถือว่าเป็นรุ่นกลางอีกรุ่นที่จัดเต็มมาก ๆ เพราะให้ลำโพงคู่ Stereo มาให้ด้วย ทำให้ระบบเสียงเวลาเอามาฟังเพลงหรือดูวิดีโอนี่เต็มอรรถรสมากขึ้น ตำแหน่งลำโพงก็วางไว้ดี แถมยังรองรับเสียงแบบ Dolby Atmos อีกต่างหาก มันแจ่ทจริง ๆ นะจ๊ะ
เล่นเกมก็ครบ
จอดี ลำโพงแน่นแล้วก็มาต่อเรื่องประสิทธิภาพการเล่นเกมกันต่อเลยละกัน เกมที่เราเอามาทดสอบรอบนี้ก็เกมใหม่ล่าสุดอย่าง Call of Duty เลยละกัน ในค่าเริ่มต้นตัวเกมจะเลือกมาให้ที่ Medium ทั้งกราฟิกและเฟรมเรต แต่เท่าที่ลองมา เราสามารถปรับขึ้นไปได้ที่ High ทั้งคู่อยู่เล่นได้ดีเลย
แต่จะมีจังหวะที่เฟรมเรตตกอยู่บ้าง ถ้าอยากได้ลื่นแบบดี ๆ เลยแนะนำว่าปรับเป็นกราฟิก Medium และเฟรมเรต High ตรงนี้จะเวิร์คที่สุดครับเล่นได้ลื่นและสมูทสุด ๆ
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
แบตเตอรี่ 4000mAh ใช้สบาย ๆ
เข้าเรื่องการใช้งานสุดท้ายกับแบตเตอรี่ Reno2 F ให้ความจุแบตฯมาเยอะถึง 4000mAh ก็หายห่วงในการใช้งานตลอดทั้งวัน อยู่ได้สบาย ๆ ครับ จะถ่ายรูป เล่นเกมก็เหลือ ๆ ไม่ต้องคอยกังวลว่าแบตฯจะหมดไปดื้อ ๆ
ชาร์จไวด้วย VOOC 3.0
ส่วนระบบชาร์จรุ่นนี้ได้ระบบชาร์จไวระดับเรือธงอย่าง VOOC 3.0 (20W) ที่ชาร์จได้รวดเร็วและปลอดภัย ด้วยระบบความปลอดภัยถึง 5 ขั้นตอน เมื่อใช้งานอะแดปเตอร์และสายชาร์จที่ให้มาในกล่องก็มั่นใจได้แล้ว เพราะมีการันตีความปลอดภัยจาก TUV Rhienland จากประเทศเยอรมนีด้วยนะ
สรุปแล้วน่าโดนไหม !?
ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ก็ชมมาหมดเลย เพราะใช้แล้วชอบจริง ๆ กับ Reno2 F ตัวนี้ เรียกว่าเป็นรุ่นเริ่มต้นของ Reno2 Series ที่ค่อนข้างครบเครื่องเลยเมื่อเทียบกับราคาที่เปิดตัวมา ทั้งบอดี้งานประกอบที่ดูดีขึ้นเยอะ ถือแล้วดูหรูในราคาที่จับต้องได้ กล้องที่เป็นจุดเด่นก็สวยทุกมุมมองจริง ๆ ส่วนตัวชอบโหมด Portrait และ Ultra Night Mode ของรุ่นนี้มาก ทำได้ดีเกินราคาจริง ๆ แต่จะมีจุดสังเกตก็คงจะเป็นหน่วยประมวลผลที่ถ้าอัปเกรดเป็นรุ่นใหม่ไปเลยน่าจะแจ่มกว่านี้ไม่น้อย สุดท้ายแล้วก็ถือว่าเป็นรุ่นต่อยอดความสำเร็จของ F Series ได้ดีมาก ๆ ทั้งในเรื่องของราคาค่าตัว ดีไซน์ และฟีเจอร์การใช้งาน ใครที่รอมือถือราคาสวย ๆ ที่ครบครันจาก OPPO อยู่ Reno2 F ตัวนี้มาตอบโจทย์คุณแล้วครับ !