แกะกล่อง
Review : OPPO Reno รุ่นกลางสเปคดี พร้อมความพรีเมี่ยมที่ครบครัน
ในราคาค่าตัว 16,990 บาท !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับ OPPO Reno รุ่นปกติ อีกรุ่นจาก Reno Series ที่เชื่อว่าหลายคนคงอยากทราบข้อมูลกันอยู่ เพราะราคาที่ห่างกันถึง 12,000 จากพี่ใหญ่ Reno 10x Zoom แต่ก็ได้ความพรีเมี่ยมและฟีเจอร์หลาย ๆ อย่างมาไม่แพ้กันเลย วันนี้เฮียเลยจะมารีวิวให้ชมกันว่าเจ้า Reno รุ่นปกตินี้มีดีแค่ไหน ในราคานี้ เอาล่ะ…ถ้าพร้อมแล้วก็มาอ่านรีวิวฉบับเต็มของ OPPO Reno กันเลยครับ ! :D
ราคา 16,990 บาทนะ !
เริ่มกันที่ราคากันก่อนเหมือนเคย อย่างที่บอกไปว่า Reno รุ่นปกตินั้นห่างจากรุ่นพี่อยู่หลาย เพราะรุ่นนี้เปิดราคามาเพียง 16,990 บาทเท่านั้น ถือว่าเป็นกลุ่มราคาใหม่ของ OPPO ที่เข้ามาเสริมทัพได้อย่างพอดิบพอดีเลย เพราะไม่ค่อยมีมือถือ OPPO ในกลุ่มราคานี้ออกมาเท่าไหร่นัก ส่วนความคุ้มค่ากับราคานี้จะเป็นอย่างไร ไปต่อกันได้เลย :D
แกะกล่อง OPPO Reno
มาแกะกล่องกันเลย สำหรับ OPPO Reno ก็ได้กล่องมาทรงเดียวกับ Reno 10x Zoom เลย ด้วยความที่ตั้งกลุ่มมาเป็นสมาร์ทโฟนพรีเมี่ยมแล้ว จะให้ธรรมดาไม่ได้แล้ว แค่กล่องก็บอกเลยว่ากินขาด ด้วยทรงแบบยาว ๆ ใส่สีเงินเหลื่อม ๆ หน่อย ด้านหน้าก็ออกแบบมาทรงเหมือนฝาหลังของรีโน่เลย
เปิดกล่องออกมาจะเจอกับซองแนะนำ OPPO Reno พร้อมมีพวกคู่มือการใช้งานอยู่ในนี้ครับ
ยกซองชั้นแรกนี้ขึ้นจะเจอกับตัวเครื่อง OPPO Reno นอนอยู่ในช่องและซองของเขาที่มีบอกฟีเจอร์และรายละเอียดของตัวเครื่องแบบเด่น ๆ อ๊ะ…ลืมบอกไปเลยรุ่นที่เราได้มารีวิวนี้จะเป็นสี Jet Black สีดำเงาที่ต่างจาก Ocean Green ที่เคยรีวิวไปตอน 10x Zoom นะ
ยกถาดรองเครื่องชั้นนี้ขึ้นมาก็จะเจอกับอุปกรณ์เสริมอีกชุด (ทำไมหลายชั้นจัง 555) จะมีพวกเคส, หูฟัง, สายชาร์จ และอแดปเตอร์เรียงกันอย่างสวยงาม
แต่อุปกรณ์เสริมของ Reno รุ่นปกติจะแตกต่างจากของ 10x Zoom อยู่หน่อย อย่างเคสที่แถมมาในกล่องจะเป็นแบบซิลิโคนใสปกติ ไม่ใช่แบบกำมะหยี่ และหูฟังก็เป็นแบบทรงเก่าที่เคยให้มาบน R17 Pro นั่นเองครับ ตัวอแดปเตอร์ขนาดปกติเท่ากันรองรับ VOOC 3.0 นาจา
เบ็ดเสร็จแล้วอุปกรณ์ที่แถมมาให้ในกล่องก็จะมีด้วยกัน 7 อย่างดังนี้ครับ
- ตัวเครื่อง OPPO Reno
- เคสซิลิโคนใส
- อแดปเตอร์ชาร์จ (รองรับ VOOC 3.0)
- สาย USB Type-C
- หูฟัง (พอร์ต USB Type-C)
- เข็มจิ้มถาดซิม
- คู่มือการใช้งาน
ดีไซน์
หน้าจอเต็มในขนาดที่กะทัดรัดขึ้น !
มาเข้าสู่เรื่องดีไซน์กันเลย OPPO Reno นั้นได้ดีไซน์มาทรงสวย ดูพรีเมี่ยมมาก ๆ รุ่นนี้มาพร้อมหน้าจอแบบเต็มของจริงด้วย Panoramic Screen ขนาด 6.4 นิ้ว ไร้ติ่ง ไร้รูบนหน้าจอมากวนใจ ในเรื่องการแสดงผลได้หน้าจอแบบ AMOLED ความละเอียด FHD+ มาเลย ก็เรียกว่าสีสันและความคมชัดทำได้ยอดเยี่ยมครับ แถมหน้าจอยังเป็นแบบ 2.5D ไม่โค้งเว้าจนเกินไป ใครชอบจอแบน ๆ น่าจะถูกใจเนาะ
เช่นเดียวกับบนรุ่นพี่รุ่นนี้ใช้พื้นที่หน้าจอไปเยอะถึง 93.1% เรียกว่าทั้งด้านหน้านี่แทบจะเป็นหน้าจอไปหมดแล้ว ขนาดตัวเครื่องนั้นจะเล็กลงมาจากรุ่น 10x Zoom อยู่พอควร ทำให้รู้สึกว่ามันกะทัดรัดมากขึ้น ด้วยการใช้พื้นที่หน้าจอแบบมากมายขนาดนั้น ตัวเครื่องเลยดูไม่ใหญ่ตามมาไปมากนัก ทำให้เวลาจับถือใช้งานนั้นทำได้ดีเลย
กระจกหน้าจอรุ่นนี้ได้ Gorilla Glass 6 มาเลย ทำให้ช่วยในเรื่องความทนทานได้เป็นอย่างดี ทั้งรอยขีดข่วนหรือตกหล่น (แต่ก็ไม่อยากจะ Drop Test อะนะ) ซึ่งตั้งแต่แกะกล่องมาก็จะได้ฟิล์มกันรอยติดมาชั้นหนึ่งอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปหาติดเองเนอะ แต่เอาเข้าจริงลอกออกแล้วได้ลองสัมผัสจอจริง ๆ มันฟินกว่านะ เฮียว่า :P
เหนือหน้าจอก็จะมีตัวลำโพงสนทนาเป็นแถบยาวแบบสวย ๆ ไม่มีอะไรมากวนใจจริง ๆ ตรงนี้ พวกเซ็นเซอร์แสงหรือเซ็นเซอร์จับระยะต่าง ๆ ถูกย้ายไว้บนหน้าจอเรียบร้อย ตรงนี้ก็ไม่กินพื้นที่เท่าไหร่เนาะ
ล่างหน้าจอเหลือขอบไว้อยู่นิดเดียว (นิดเดียวจริง ๆ) บนจอก็มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือซ่อนอยู่ด้วย จะเห็นไอคอนลอย ๆ อยู่ตรงนั้นน่ะเนอะ
ด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นที่วางของกล้อง Pivot Rising Camera ที่ซ่อนอยู่ เวลาไม่เปิดใช้งานก็จะอยู่นิด ๆ แบบนั้นแหละ มีการทำมุมเว้าลงไปนิดหน่อยเพื่อดีไซน์ที่มีมิติ ไม่เรียบจนเกินไป ข้างบนนี้มีไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนอยู่ด้วยจ้า
พอเปิดกล้องหน้าขึ้นมาตัวกล้องจะยกขึ้นมาในมุมเฉียง ๆ สูงสุด 11 องศา ด้านในนี้จะซ่อนลำโพงสนทนา, ไฟแฟลช Soft Light และกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซลอยู่ เรียกว่าการทำกล้องยกได้แบบนี้ช่วยเพิ่มพื้นที่ได้เยอะกว่าทั่ว ๆ ไปได้ดีเลย แถมยังแหวกแนวไปอีก ตรงนี้ทาง OPPO ได้แรงบันดาลใจมาจากครีบฉลามนะบอกก่อน
ด้านล่างตัวเครื่องจะมีพอร์ตการเชื่อมต่อ โดยบนรุ่น Reno ปกตินั้นจะให้ช่องหูฟัง 3.5 มม. มาด้วยนะ (บนรุ่น 10x Zoom ไม่มี) และพอร์ตการเชื่อมต่อจะเป็นแบบ USB Type-C, มีไมโครโฟนสำหรับสนทนากับลำโพงหลักของตัวเครื่องอยู่ตรงนี้ด้วย
กรอบตัวเครื่องจะมีดีไซน์ที่แตกต่างจากรุ่น 10x Zoom เล็กน้อย เพราะจะไม่มีการทำมุมเว้าลงไป ใช้การเพิ่มดีไซน์เส้นขีดเข้ามาแทน ก็สวยไปอีกแบบ ผิวสัมผัสของกรอบจะเป็นแบบโลหะด้าน ช่วยให้การจับถือทำได้ดีทีเดียว
ตำแหน่งปุ่มกดวางไว้ที่เดิมคือปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงที่มุมซ้าย และปุ่ม Power ที่มุมขวา ปุ่ม Power ยังคงมีการเพิ่มสีเขียวมิ้นต์เข้าไปตรงกลางปุ่มเช่นเคย
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลังจะเห็นความคมเข้มและความมันวาวของตัวเครื่องสี Jet Black ได้อย่างชัดเจน ตัวฝาหลังของสีนี้จะเป็นพื้นผิวแบบมันเงา เล่นการสะท้อนกับแสงเวลาตกกระทบได้หลากหลาย บางมุมจะเห็นเป็นสีเทา หรือบางมุมจะเห็นเป็นสีดำแบบคมเข้มก็ได้
ตรงกลางจะมีการดีไซน์สีเงาที่โดดเด่นขึ้นมาพร้อมทิ้งคำว่า Designed By OPPO ไว้อยู่คู่กับโลโก้ OPPO ใหม่ งานออกแบบที่ด้านหลังจะทำมาเหมือนให้เน้นการถือในแนวนอน พร้อมความสมมาตรที่ดีเยี่ยม
ตัวเลนส์กล้องจะเห็นว่ามีความเรียบเนียนไปกับตัวเครื่องได้เป็นอย่างดีเลย ไม่มีความนูนออกมาจนหงุดหงุด แต่ด้วยความที่กล้องเรียบจนเกินไป ทาง OPPO เลยเพิ่มตัว O-Dot ที่เป็นตุ่มเซรามิกเข้ามาแทนที่เพื่อไม่ให้ตัวกล้องนั้นสัมผัสกับพื้นผิวโดยตรงเมื่อมีการวาง ถือว่าคิดเผื่อผู้ใช้อย่างเรา ๆ จริงๆ ตรงนี้เจ๋ง !
ส่วนตัวไฟแฟลชก็อยู่บน Pivot Rising Camera นี่แหละ เวลาเราไม่ใช้งานก็เก็บลงไปเพื่อให้ได้ดีไซน์ที่เรียบเนียน แต่ถ้าอยากใช้งานก็เปิดขึ้นแบบรวดเร็วทันใจเพียงแค่ 0.8 วินาทีเท่านั้นเอง ช่วยให้ดีไซน์ดูสมบูรณ์มากขึ้นนะแบบนี้
รวม ๆ แล้วดีไซน์ของ Reno รุ่นปกติก็ต้องบอกว่าถอดแบบมาเหมือนกับรุ่น 10x Zoom ไม่มีผิด ทั้งในเรื่องหน้าจอเต็ม ๆ Panoramic Screen ใหม่แสดงผลได้กว่า 93.1% บอดี้การดีไซน์ด้านหลังสวย ๆ รวมถึง Pivot Rising Camera อีกด้วย แต่ทั้งหมดนี้ถูกลดขนาดลงมาอีกนิด ก็ดูกะทัดรัดมากขึ้น ใครที่อยากใช้มือถือไซส์ถนัดมือตัวนี้ก็ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียวครับ
ซอฟต์แวร์ และฟีเจอร์การใช้งาน
สเปคครอบคลุมใช้งานได้ครบ !
ในเรื่องของสเปค OPPO Reno รุ่นปกตินี้จะลดหย่อนตัวชิปเซ็ตลงมาจากรุ่นท็อปสุดเหลือรุ่นกลาง แต่โดยรวมก็ยังคงประสิทธิภาพไว้ได้ดี ด้วยหน่วยประมวลผลตัวฮิต Snapdragon 710 ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนคงคุ้นชื่อนี้ดี Snap 710 นี้ถือเป็นรุ่นกลางที่ตอบโจทย์การใช้งานหลาย ๆ อย่างได้ดีมากเลยทีเดียวล่ะ
สเปค OPPO Reno
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว FHD+ อัตราส่วนแบบ 19.5:9
- ซีพียู Snapdragon 710 Octa-core 2.2GHz (10nm)
- จีพียู Adreno 616
- แรม 6GB
- ความจุ 256GB
- ไม่รองรับ micro-SD
- แบตเตอรี่ 3765 mAh
- รองรับระบบชาร์จไว VOOC 3.0
- กล้องหน้า Pivot Rising 16 ล้านพิกเซล f/2.0
- กล้องหลังคู่ 48 + 5 ล้านพิกเซล f/1.7 + f/2.4
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- รองรับระบบสแกนใบหน้า
- รองรับ 2 ซิม
- รองรับ 4G, Bluetooth 5.0, NFC, OTG
- พอร์ตการเชื่อมต่อ USB Type-C
- มีแจ็คหูฟัง 3.5 มม.
- รัน Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย ColorOS 6
ในเรื่องสเปคก็อย่างที่เห็นครับ จัดมาให้ระดับท็อปของรุ่นกลางได้เลย ทั้งหน่วยประมวลผลชั้นยอดอย่าง Snapdragon 710, แรม 6GB, ความจุภายใน 256GB, รวมถึงแบตเตอรี่ความจุเยอะ 3765mAh และมีระบบชาร์จไว VOOC 3.0 อีกด้วย
ColorOS 6 ครอบมาบน Android 9.0 Pie
ในส่วนของระบบปฏิบัติการ OPPO Reno ก็ได้มาเป็น ColorOS 6 ครอบทับบน Android 9.0 Pie อีกที การทำงานต่าง ๆ ทำได้ลื่นไหลดีทีเดียว หน้าตา UI ก็มาในทรงเดียวกับรุ่น 10x Zoom เลยสวยใช้ได้
ตัวระบบภายในจะมีการจัดการระบบใหม่ด้วย HyperBoost 2.0 ช่วยเร่งประสิทธิภาพของตัวเครื่องให้เร็วและลื่นไหลมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนถึง 30% เข้าแอป เล่นเกม รวมถึงระบบทำได้ดีกว่าเดิม รวมถึงระบบ TouchBoost ที่เสริมในเรื่องของการแตะสัมผัสตัวหน้าจอให้ตอบสนองดีขึ้น
มีหน้า Smart Assistant อยู่ในหน้าซ้ายสุด ให้เราได้ใช้งาน เลื่อนมาก็จะเจอ มีพวกสภาพอากาศ ปฏิทิน และพวกตัวช่วยทางลัดเข้าแอปต่าง ๆ ก็อยู่ที่มุมนี้ด้วยนะ
ที่มุมขวาของหน้าจอจะมีแถบเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ตรงนี้เวลาเราเลื่อนออกมา ก็จะเจอทางลัดเข้าแอปต่าง ๆ รวมถึงฟีเจอร์การอัดหน้าจอหรือแคปหน้าจออยู่ด้วย ตรงนี้ทาง OPPO เรียกว่า Smart Bar จ้า
ในส่วนของระบบ Theme ทาง OPPO ก็ยังติดมาให้ด้วยเช่นกัน ตัวตีมที่ให้มากับเครื่องก็ดูเหมาะสมกับสีเครื่องดี อย่างสี Jet Black นั้นก็จะมีตีม Polar Night ที่ได้ชุด Wallpaper สีเทา ๆ สวย ๆ มาให้ด้วย
หรือถ้าไม่ชอบพวกตีมที่ให้มาตั้งแต่ต้น ก็ไปเลือกดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ที่แอป Theme Stores ได้เลยครับ มีให้เลือกอีกเพียบเลยล่ะ
ระบบสแกนลายนิ้วมือก็มีบนจอเหมือนกัน
ระบบรักษาความปลอดภัยของตัวเครื่องได้ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอมาเช่นกัน โดยระบบสแกนของ Reno นั้นจะเป็นแบบ Optical การทำงานต้องยอมรับเลยว่ารวดเร็วทันใจมาก แทบจะไม่ได้แช่นิ้วรอเลย เหมือนเราแค่แตะไปที่ไอคอนสแกนนิ้วปุ๊บ ก็ปลดล็อคเข้าไปแล้ว
ตัวอนิเมชั่นของระบบสแกนนิ้วมือยังมีให้เลือกปรับเพิ่มอีก 4 แบบด้วย พร้อมทั้งมีรูปแบบเสียงที่แตกต่างกันไปอีก ตรงนี้ใครที่เบื่อรูปแบบอนิเมชั่นแบบเดิม ๆ ก็สามารถปรับแต่งได้เพิ่มเติมได้ที่เมนู Settings > Fingerprint, Face & Passcode >Fingerprint> Animation Style
หรือจะเป็นเรื่องสแกนใบหน้าก็มีมาให้ โดยใช้กล้อง Pivot Rising นี่แหละ ยกขึ้นมาแล้วตรวจจับใบหน้าได้อย่างรวดเร็ว สำหรับใครที่กังวลว่าจะสแกนช้า ต้องบอกว่าไม่เลย เพราะตัวกล้องใช้เวลายกขึ้นมา 0.8 วินาทีเท่านั้น และยกขึ้นมาปุ๊บก็สแกนปั๊บ ไม่เสียเวลาเลยทำงานได้รวดเร็วมาก ๆ ครับ
หน้าจอ ระบบเสียง เล่นเกม
หน้าจอ Panoramic Screen เต็มตาที่แท้ทรู !
มาเข้าสู่เรื่องความบันเทิงบน OPPO Reno กันต่อ สำหรับรุ่นนี้ได้หน้าจอขนาดใหญ่แบบเต็มตาหรือ Panoramic Screen อย่างที่บอกไป ขนาด 6.4 นิ้วแสดงผลได้ชัดเจนเต็มพื้นที่ด้านหน้าไปเลย เวลาเอามาดูหนังหรือวิดีโอนี่บอกเลยว่าแจ่ม เพราะไม่มีอะไรมาบดบังตัวหน้าจอแล้ว
สีสันและการแสดงผลด้วยหน้าจอ Amoled ต้องยอมรับว่าสวยงามดีจริง ๆ ความคมชัดอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม แถมตัวหน้าจอยังเป็นจอแบบ 2.5D ที่มีมุมโค้งเล็ก ๆ เท่านั้น โดยรวมจอยังเป็นแบน ๆ อยู่ ทำให้การแสดงผลนั้นเต็มดีมาก ๆ ครับ
ลำโพงเสียงดีพร้อมระบบเสียง Dolby Atmos
ส่วนเรื่องเสียงก็ดีไม่แพ้กัน เสียงที่ได้ออกมาดังใช้ได้เลย มีระบบเสียง Dolby Atmos มาให้ด้วย ในเรื่องมิติของเสียงที่ได้ก็จะทำได้ยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก วางตำแหน่งของลำโพงได้ดีไม่เอามือไปบังเวลาใช้งานง่าย ๆ แต่น่าเสียดายที่ลำโพงที่ให้มานั้นเป็นแบบลำโพงตัวเดียว ไม่เป็น Stereo แบบรุ่นพี่เนอะ
การใช้งานผ่านหูฟังรุ่นนี้ยังมีช่องแจ็คหูฟัง 3.5 มม. มาให้อยู่ เพราะฉะนั้นหูฟังที่เราเคยมีอยู่ก็ใช้งานได้เลย ไม่ต้องผ่านตัว Dongle หรือตัวแปลงให้ยุ่งยากครับ
ประสิทธิภาพสูงแค่ไหน คะแนนออกมาเป็นไงนะ !?
ก่อนจะเข้าสู่เรื่องการเล่นเกม เรามาขอดูคะแนนทดสอบกันหน่อยว่า Reno รุ่นปกตินี้จะทำคะแนนได้เท่าไหร่ ตัวหน่วยประมวลผลเป็นรุ่นกลางที่ประสิทธิภาพดีอย่าง Snapdragon 710 บวกกับแรมอีก 6GB ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่ไม่ธรรมดาเลย คะแนนที่ได้ก็เลยออกมาสูงที่ 155924 คะแนนเลยเลยล่ะครับ !!
มาเล่นเกมกันหน่อย ไหวไหมน้า !?
ในส่วนของการเล่นเกม OPPO Reno จะมาพร้อมกับระบบ OPPO Game Space ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพและจัดการระบบภายในให้พร้อมสำหรับการเล่นเกมมากที่สุด อาทิ การปิดการแจ้งเตือนบางอย่างออกไป, ล็อคแสงหน้าจอให้อยู่คงที่ หรือจัดการระบบเน็ตเวิร์คให้เสถียรสำหรับเกมออนไลน์
เล่น PUBG บน Reno ตัวเกม PUBG นั้นรองรับตัว Game Space เต็มรูปแบบ เราสามารถปรับคุณภาพกราฟิกได้ที่ระดับ HD กับเฟรมเรตแบบ High เท่านี้ก็เรียกว่าจัดเต็มใช้ได้แล้ว
ตัวเฟรมเรตในเกมถือว่าทำได้นิ่งดีทีเดียว จังหวะในการเล่นไม่ว่าจะยิงจะแพนกล้องก็ได้ตัว TouchBoost เข้ามาช่วยได้อย่างดี ลื่นไหลและติดนิ้วมากขึ้น
เล่น ROV บน Reno สำหรับ ROV เกมแนว Moba แบบนี้ได้จอใหญ่ ๆ มาช่วยก็เสริมให้การเล่นนั้นสบายมากขึ้น ในส่วนของกราฟิกที่ปรับได้ก็สูงสุดไปเลย เล่นได้สะใจ
ตัวเฟรมเรตในเกมก็ทำได้สูงและเสถียร ตัวเกมมี FrameBoost ที่เร่งประสิทธิภาพและช่วยให้ตัวเฟรมเรตนี่นิ่งขึ้น ทำให้เล่นได้อย่างต่อเนื่อง
กล้อง
กล้องหลังคู่แจ่ม ๆ ฟีเจอร์มาเพียบ !
เข้าสู่เรื่องกล้องของ Reno ถึงแม้ว่ารุ่นนี้จะไม่ได้กล้องหลัง Triple Camera มาแบบรุ่น 10x Zoom แต่กล้องตัวหลักที่ให้มาพร้อมกับฟีเจอร์ทั้งหลายก็เรียกว่าจัดเต็มไม่แพ้กันเหมือนกันนะ โดย Reno รุ่นปกตินั้นจะได้กล้องหลังคู่ที่ความละเอียด 48 + 5 ล้านพิกเซล มามีค่ารูรับแสงที่ f/1.7 + f/2.4 โดยกล้องตัวที่ 2 ที่ให้มานั้นจะเป็นกล้องวัดระยะสำหรับการถ่ายในโหมด Portrait นั่นเองครับ
ในส่วนของซอฟต์แวร์รุ่นนี้ก็มีระบบ AI Scene Recognition มาให้เช่นกัน แยกแยะซีนของภาพได้อยางดี และจัดแจงประสีสันให้เข้ากับภาพนั้น ๆ ได้ด้วย จะถ่ายดอกไม้ ถ่ายท้องฟ้า ถ่ายคน ก็แค่เล็งและถ่ายออกมา เดี๋ยวสวยเอง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Auto ในส่วนของโหมด Auto จะเห็นว่าภาพที่ได้นั้นออกมาสวยดีทีเดียว ด้วยความละเอียดของเซ็นเซอร์ที่สูงถึง 48 ล้านพิกเซล จะลองซูมเข้าไปอีกนิดหน่อยที่ระดับ 1.5 - 2x ความคมชัดที่ได้ก็ยังสวยคมอยู่ ตัว AI Scene ก็แบ่งภาพได้ชัดเจนดีด้วย
นอกจากนี้ยังมีระบบ Dazzle Colour 2.0 ที่จะช่วยเร่งสีให้อิ่มมากขึ้น ปรับส่วนที่สว่างให้ได้ทั่วกว่าเดิม (คล้าย HDR) ช่วยให้ภาพที่ได้สวยในทุกสภาพแสงมากขึ้น และสีสันก็สดสวยอย่างที่หวังไว้ด้วยล่ะครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากการเปิด-ปิด Dazzle Colour
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Dazzle Colour
Portrait สวยเนียนเป็นธรรมชาติ
ในเรื่องการถ่ายภาพบุคคลหรือ Portrait mode บน Reno ก็ทำได้ดีไม่ผิดหวังด้วยกล้องหลักคุณภาพเยี่ยมทำงานควบคู่กับกล้องวัดระยะ การตรวจจับใบหน้าทำได้อย่างแม่นยำเลยทีเดียว มีตัวเอฟเฟกต์โทนสีให้เลือกปรับนิดหน่อยที่มุมบนซ้ายของหน้า UI กล้อง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait ของ OPPO Reno จะเห็นว่าภาพถ่ายที่ได้นั้นสวยเนียนเป็นธรรมชาติ มาก ๆ ใบหน้าของแบบดูสวยขึ้นและปรับให้เนียนตา ส่วนการละลายฉากหลังนั้นก็ทำได้ดีทีเดียว
Ultra Night mode 2.0 กลางคืนก็แจ่มด้วย
มีโหมดกลางคืนแจ่ม ๆ อย่าง Ultra Night mode 2.0 มาให้ไม่แพ้รุ่นใหญ่ ๆ เลย ตรงนี้ทาง OPPO ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าสามารถถ่ายภาพกลางคืนได้สวยสุด ๆ โดยตัวกล้องจะใช้การเก็บภาพหลาย ๆ ภาพจากหลายสภาพแสงและนำมาประมวลผลเข้าด้วยกันเป็นภาพกลางคืนที่สวยมีมิติมากขึ้น
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Ultra Night mode 2.0 จะเห็นว่าภาพที่ได้นั้นมีความสวยสดที่ใช้ได้เลย ภาพกลางคืนไม่จืดจนเกินไป โทนที่จะออกไปทางโทนร้อนซะส่วนใหญ่ ในการประมวลผลภาพขณะถ่ายของรุ่นนี้จะอยู่ที่ราว 3 - 4 วินาที ใช้เวลาในการจับภาพนานหน่อย แต่ผลลัพธ์สวยแน่นอน
กล้องหน้ายกได้ทรงครีบฉลาม !
กล้องหน้าของ OPPO Reno นั้นให้กล้องแบบยกได้ใหม่ที่มีชื่อเรียกว่า Pivot Rising Camera ซึ่งจะทำมุมแบบเฉียง ๆ ขึ้นมา 11 องศา ด้วยกลไกมอเตอร์ด้านใน การยกขึ้น-ลงใช้เวลาเพียง 0.8 วินาทีเท่านั้น ตรงนี้ OPPO ทดสอบมาแล้วว่าทนทานมากใช้งานได้กง่า 200,000 ครั้งเลยล่ะ
ส่วนกล้องหน้าก็มีความละเอียดสูงถึง 16 ล้านพิกเซล มีตัวไฟแฟลชแบบ Soft Light ซ่อนอยู่ในนี้ด้วย โหมดการใช้งานอย่าง Portrait ที่จะมาเพิ่มความสวยใสของใบหน้าเข้าไปด้วยก็ถือว่าทำได้ดีทีเดียวครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ OPPO Reno
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
แบตเตอรี่ใช้งานได้ดี มีระบบชาร์จไว !
ในเรื่องของแบตเตอรี่บน OPPO Reno ต้องบอกว่าใช้งานได้เป็นอย่างดีที่ความจุ 3765 mAh เทียบกับสเปคภายในที่ให้มาแลว ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีทีเดียว อาจจะไม่ได้เยอะระดับ 4000mAh แต่ด้วยไซส์หน้าจอระดับนี้ถือว่าให้มากำลังดีเลย เท่าที่ลองใช้งานมาก็ถือว่าอึดใช้ได้อยู่ สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นตลอดทั้งวันครับ
ชาร์จไวนี่ VOOC 3.0 ด้วยนะ
ระบบชาร์จก็เป็นเรื่องสำคัญบนสมาร์ทโฟนยุคนี้ เพราะเราคงไม่อยากเสียเวลามานั่งรอแบตฯชาร์จนาน ๆ กว่าจะเต็มเนาะ บน Reno ได้ระบบชาร์จไวแบบ VOOC 3.0 มาให้ ช่วยให้ชาร์จได้ไวกว่ารุ่นก่อนถึง 20%
แถมยังได้มาตรฐานความปลอดภัยจาก TUV Rheinland มาช่วยการันตีว่าปลอดภัยแน่นอน ตัวเครื่องไม่มีความร้อนสะสมเวลาชาร์จ มีระบบป้องกัน 5 ขั้นตอนทั้งจากตัวเครื่องและอแดปเตอร์ ปลอดภัยหายห่วงครับ แต่ ! ต้องใช้อแดปเตอร์และสายชาร์จที่ติดมาในกล่องด้วยนะ
สรุปให้เลย !
สำหรับ OPPO Reno รุ่นปกตินั้นก็ถือว่าได้ความสามารถหลาย ๆ อย่างมาครบไม่แพ้รุ่นพี่ใหญ่ (Reno 10x Zoom)เลยนะ ทั้งรูปลักษณ์ที่หรูหราดูพรีเมี่ยมมาก ๆ ในขนาดที่กะทัดรัดกว่า หน้าจอเต็ม ๆ แบบ Panoramic Screen ไม่มีติ่งไม่มีรูมากวนใจ มีกล้องยกได้แบบ Pivot Rising Camera มาให้ยกเท่ ๆ ในส่วนของสเปคที่ลดหย่อนลงมาอีกหน่อย แต่ในการใช้งานจริงก็ถือว่าครอบคลุมทั้งในเรื่องการทำงานทั่วไปจนถึงการประมวลผลเกมกราฟิกกลางค่อนสูง มีระบบชาร์จไวมาให้ครบด้วย VOOC 3.0 กล้องที่อาจจะไม่ได้หวือหวาเท่ากับรุ่นพี่ที่จัดเต็มมาครบ แต่ในเรื่องฟีเจอร์การถ่ายทั้ง AI Scene, Ultra Night mode 2.0 ก็มีมาให้ไม่ขาด แต่ก็มีจุดน่าเสียดายเล็ก ๆ ตรงที่กล้องตัวที่ 2 ของ Reno นั้นไม่ได้เป็นกล้อง Wide Angle หรือกล้อง Tele มาเนาะ ใช้แค่จับระยะแค่นั้น ถ้าได้เป็นช่วงอื่นมาเสริมคงจะแจ่มไม่น้อยเลย
รวม ๆ แล้ว OPPO Reno ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยของสมาร์ทโฟนจาก OPPO เพราะมีมาครบทั้งความพรีเมี่ยมและลูกเล่น ในงบประมาณที่ถูกลงกว่ารุ่นพี่ (Reno 10x Zoom)ถึง 12,000 บาท ถ้าไม่ชอบซูมเยอะ ไม่อยากได้สเปคดุจัดเต็มที่สุด แต่อยากได้ความพรีเมี่ยมชั้นยอดในราคาที่จับต้องได้ มองมาที่ OPPO Reno เลยครับ ไม่ผิดหวัง !!
จุดเด่น
- หน้าจอ Panoramic Screen 6.4 นิ้ว เต็มตา !
- ดีไซน์หรูหรา พรีเมี่ยมสุด ๆ
- ระบบปฏิบัติการทำงานลื่นไหล ColorOS 6.0
- กล้องหลังความละเอียดสูงฟีเจอร์แน่น
- มีระบบชาร์จไว VOOC 3.0
- มีช่องหูฟัง 3.5 มม.
จุดสังเกต
- ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้ (แต่ในเครื่องให้มาถึง 256GB แล้ว)
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite