แกะกล่อง
Review : OnePlus 7 Pro ซุปเปอร์แฟล็กชิปสุดจัดเต็ม
มีครบทุกอย่างที่เรือธงควรมีแล้ว !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับสมาร์ทโฟนเรือธงที่กระแสร้อนแรงสุด ๆ OnePlus 7 Pro นั่นเอง รอบนี้ OnePlus 7 Pro ก็เปิดตัวมาได้อย่างน่าสนใจไม่แพ้รุ่นก่อน ๆ ด้วยความครบเครื่องของสเปคและฟีเจอร์ ที่บอกเลยว่าไม่ได้มีดีแค่สเปคแล้ว ! จัดเต็มมาทุกอย่างจนคู่แข่งนั้นต้องร้อน ๆ หนาว ๆ กันแน่ล่ะวันนี้เรามาร่วมหาคำตอบกันในรีวิวฉบับเต็มนี้กันครับว่า OnePlus 7 Pro จะเยี่ยมยอดสมคำล่ำลือแค่ไหน :D
ราคากันเลย ถูกใจกันอีกแล้ว !
ก่อนจะเข้าสู่รีวิวแบบละเอียด ๆ ขอเริ่มที่ราคากันก่อนเลย OnePlus 7 Pro รุ่นที่ขายในบ้านเราจะมีให้เลือกด้วยกัน 3 โมเดลความจุคือ 6GB + 128GB, 8GB + 256GB และ 12GB + 256GB เรียกว่าจุใจกันเลย ซึ่งตัวเลือกนี้จะรวมไปถึงสีของตัวเครื่องด้วย โดยรุ่นแรม 6GB และ 8GB จะเป็นสี Mirror Grey ส่วนรุ่นแรม 12GB จะเป็นเครื่องสีน้ำเงิน Nebula Blue ครับ ราคาของทั้ง 3 โมเดลก็ตามนี้เลยครับ
OnePlus 7 Pro (6GB + 128GB) = 24,990 บาท
OnePlus 7 Pro (8GB + 256GB) = 26,990 บาท
OnePlus 7 Pro (12GB + 256GB) = 29,990 บาท
สามารถสั่งซื้อได้จาก AIS Shop ทั้ง 13 สาขาที่ร่วมรายการ รวมถึงช่องทางออนไลน์ทั้ง 3 ทางทั้ง AIS, JD Central, Lazada ครับผม
AIS : https://bit.ly/2K1C3Hj
JD Central : http://bit.ly/2YIwu4K
Lazada : http://bit.ly/OnePlus7Lazada
แกะกล่องเช็คของกันเลย
สำหรับตัวกล่องที่ให้มานั้นก็จะมาในทรงมาตรฐานของ OnePlus ใช้โทนสีขาว-แดงตัดกันได้อย่างดี ที่หน้ากล่องมีเลข 7 อยู่ใหญ่ ๆ พร้อมตัว Pro เกาะอยู่ที่มุมขวาเล็ก ๆ นี้ครับ
คำนิยามของ OnePlus 7 Pro รอบนี้คือ "Go Beyond Speed" นะครับ แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ OnePlus โดดเด่นในเรื่องของความเร็วมาตลอด รอบนี้ก็จะไปให้เหนือกว่าแค่ความเร็วเลยนะ ! ด้านข้างก็เลยมีสกรีนไว้เด่น ๆ แบบนี้เลย
เปิดกล่องออกมากล่องชั้นในก็จะเป็นสีแดงทั้งหมดตัดกับขาวที่ฝากล่องได้อย่างดี เป็นสีของแบรนด์ชัดเจน ชั้นแรกจะเป็นซองที่ใส่เคสซิลิโคนและคู่มือการใช้งานอยู่ในนี้ครับ
ดึงซองชั้นแรกขึ้นมาจะเจอกับตัวเครื่อง OnePlus 7 Pro วางอยู่ ตรงนี้ระหว่างรอเปิดเครื่อง เราก็เช็คอุปกรณ์ภายในกันอีกนิด ชั้นล่างสุดก็จะเป็นชุดอุปกรณ์ชาร์จ คือสายชาร์จและอแดปเตอร์นั่นเอง
ตัวสายชาร์จของ OnePlus ก็จะเป็นสีแดงสดตัดกับสีขาวตรงพอร์ตเชื่อมต่อได้อย่างลงตัว ส่วนอแดปเตอร์ของรุ่นนี้ก็จะเป็นแบบ Warp Charge 30 ที่รองรับความเร็วแบบ 30W นั่นเองครับ
รวม ๆ อุปกรณ์ที่ให้มาทั้งหมดจะมีด้วยกัน 6 อย่างดังนี้ครับ
- ตัวเครื่อง OnePlus 7 Pro
- เคสซิลิโคนใส
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิม
- สาย USB Type-C
- อแดปเตอร์ Warp Charge 30
ดีไซน์
ดีไซน์สวยจับใจ
มาดูเรื่องดีไซน์กันเลยดีกว่า OnePlus 7 Pro ต้องบอกเลยว่ามาพร้อมกับดีไซน์ที่สวยและโดดเด่นมาก ๆ เริ่มแรกที่หน้าจอกันก่อนเลย จะเห็นว่าจอเต๊มเต็ม กับขนาดที่ใหญ่ถึง 6.67 นิ้ว เรียกว่าด้านหน้านี่แทบจะเป็นหน้าจอไปหมดแล้ว ตัวจอจะเป็นจอโค้งแบบ 2 ด้าน ทำให้ตัวเครื่องดูมีมิติมากขึ้น
ในเรื่องการแสดงผลก็ทำได้สวยงามแบบสุด ๆ ด้วยหน้าจอแบบ Fluid Amoled ความละเอียดระดับ QHD+ (2K) ที่ให้สีสันที่สวย คมชัดแบบสุด ๆ ส่วนตัวเฮียคิดว่านี่คือมือถือที่มีหน้าจอที่สวยที่สุดตั้งแต่เคยทดสอบมาเลยก็ว่าได้ แถมตัว Refresh Rate ของหน้าจอนั้นยังรองรับสูงถึงระดับ 90Hz ยิ่งช่วยหน้าจอนั้นดูลื่นไหลและสบายตาแบบสุด ๆ
ในขณะที่ตัวเครื่องมีหน้าจอใหญ่ถึง 6.67 นิ้วอย่างที่บอก แต่ตัวเครื่องนั้นไม่ถือว่าใหญ่จนเกินมือเลย เพราะด้วยการแสดงผลหน้าจอที่เต็มตาแบบสุด ๆ ชิดขอบทุกด้าน ตัวเครื่องสามารถจับถือในมือได้อย่างสะดวก แต่น้ำหนักที่ให้มาแอบหนักกว่าสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นอื่น ๆ นิดหน่อย ไปถึงระดับ 206 กรัมกันเลย
มาดูที่ตัวหน้าจอใกล้ ๆ จะเห็นว่าเหนือหน้าจอนั้นยิ่งชิดขอบเข้าไปอีก ไม่มีติ่งบนหน้าจอและรูมากวนใจด้วย ลำโพงสนทนาจะซ่อนอยู่ที่ด้านบนตรงนี้ มีความกว้างพอควร ไม่ต้องห่วงเรื่องเสียงเวลาคุณโทรศัพท์เลย ฟังชัดแน่นอน
ส่วนขอบจอด้านล่างจะมีขอบอยู่นิดหน่อย แต่นี่ก็เรียกว่าบางที่สุดแล้วล่ะ บนจอจะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือซ่อนอยู่ด้วย ถ้าเราตั้งค่าเรียบร้อยก็จะโชว์ไอคอนขึ้นมาแบบนี้ล่ะครับ
ขอบเครื่องจะมีความโค้งมนนิด ๆ ให้ได้จับถือได้อย่างเนียนมือมากขึ้น และโค้งรับกับรูปมือเวลาจับถือและกระจกหน้า-หลังที่มาประกบกันได้อย่างดี ทำให้เวลาจับเครื่องแล้วไม่รู้สึกหนาเลย
ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงของ OnePlus 7 Pro จะอยู่ที่มุมซ้ายมือของตัวเครื่อง วางตำแหน่งได้ดี เอื้อมกดได้ง่าย ไม่แข็งจนเกินไป
ส่วนด้านขวามือมีปุ่ม Power อยู่ และเหนือปุ่ม Power จะเป็นปุ่ม Slider ที่เอาไว้ใช้สลับโหมดเสียง สั่น หรือเงียบด้วย ตรงนี้น่าจะถูกใจหลาย ๆ คนที่อยากปิดเสียงแบบด่วน ๆ เนาะ
ด้านล่างตัวเครื่องจะมีพอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ช่องใส่ซิม, ไมโครโฟนสำหรับสนทนาและลำโพงหลักของตัวเครื่องครับ
ช่องใส่ซิมของ OnePlus 7 Pro จะเป็นแบบ Dual-Slot ใส่ได้ 2 ซิม หน้า-หลังรองรับ 4G ทั้งคู่ด้วย
ด้านบนจะเป็นว่ามีเว้นมุมบางอย่างไว้ นั่นก็คือช่องของกล้องหน้า Pop Up ที่จะยกขึ้นมานั่นเอง จะเห็นว่าตำแหน่งกล้องหน้าจะไม่ได้อยู่ตรงกลางซะทีเดียวเนอะ
เวลาเปิดกล้องหน้าหรือสแกนใบหน้าตัวกล้องก็จะยกขึ้นมาแบบนี้เลย ฟึ่บ ! ทำงานได้เร็วดีทีเดียว เห็นยกขึ้น-ยกลงได้แบบนี้ ไม่ต้องกลัวเรื่องความทนทานนะครับ เพราะทาง OnePlus เคลมเองเลยว่าสามารถใช้งานได้กว่า 300,000 ครั้งเลยทีเดียว
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลังจะเห็นดีไซน์กระจกสะท้อนแวววาวดีเลย สีที่เราได้มารีวิวนั้นจะเป็นสี Mirror Gray หรือสีเทา การวางดีไซน์ด้านหลังก็บอกเลยว่าสวยงามดูดีทีเดียว
ตำแหน่งกล้องหลังวางเรียงกันลงมา 3 ตัวอย่างที่เห็น ดูสมมาตรกันดี ทั้งซ้าย-ขวาเท่ากัน กรอบเลนส์จะนูนออกจากตัวเครื่องนิดหน่อย มีโลโก้ OnePlus อยู่ล่างตัวกรอบเลนส์อีกที
รอบนี้มีสกรีนคำว่า OnePlus ไว้ที่ฝาหลังอีกจุดให้เห็นชัด ๆ ไปเลยว่านี่คือมือถือแบรนด์ OnePlus นาจา
โดยรวมในเรื่องของดีไซน์ต้องยอมรับจริง ๆ ครับว่าออกแบบมาได้สวยและลงตัวมาก ๆ อย่างแรกที่เห็นแล้วประทับใจแบบสุด ๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องของหน้าจอที่ใหญ่เต็มตา สีสันสวยงามเอามาก ๆ แถมยังได้ Refresh Rate ที่สูงถึง 90Hz ช่วยให้การใช้งานนั้นน่าประทับใจแบบสุด ๆ รวมถึงการวางตำแหน่งของกล้องที่เรียงได้สวยเด่น พร้อมกับฝาหลังสุดแวววาวดูดีมาก ๆ แต่ก็มีจุดสังเกตนิดหน่อยตรงเรื่องของน้ำหนักที่อาจจะหนักไปนิดถ้าเทียบกับเรือธงรุ่นอื่น ๆ อะเนอะ
สเปคและฟีเจอร์การใช้งาน
สเปค OnePlus 7 Pro
- หน้าจอ Fluid Amoled 6.67" 90Hz ความละเอียด QHD+
- ซีพียู Snapdragon 855Octa-core
- จีพียู Adreno 640
- แรม 6GB/8GB/12GB
- ความจุ 128GB/256GB (UFS 3.0)
- แบตเตอรี่ 4000mAh
- รองรับระบบชาร์จไว Warp Charge 30
- กล้องหน้าแบบ Pop Up ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/2.0
- กล้องหลัง 3 ตัว 48 + 16 + 8 ล้านพิกเซล
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- รัน Android 9.0 Pie ครอบด้วย OxygenOS 9.5
มาดูในเรื่องของสเปคกันต่อ สำหรับ OnePlus 7 Pro นั้นต้องบอกเลยว่าเป็น Super Flagship ที่จัดเต็มมาในทุกด้าน รอบนี้เรียกได้เลยว่าแทบไม่มีจุดอ่อน ทั้งในเรื่องหน่วยประมวลผลที่จัดเต็มแบบที่สุดมาด้วย Snapdragon 855, แรมสูงสุดถึง 12GB, หน่วยความจำแบบใหม่ UFS 3.0, แบตเตอรี่ความจุเยอะ 4000mAh, มีระบบชาร์จไว 30W และปิดท้ายที่กล้องก็ไม่น้อยหน้าคู่แข่งให้มา 3 ตัว ครบทุกช่วงไปเลยอีก
ซอฟต์แวร์ก็ไม่ธรรมดา Oxygen OS เร็วสุด ๆ !
มีฮาร์ดแวร์ที่ดีแล้ว ซอฟต์แวร์ภายในยังขับเคลื่อนได้ดีไม่แพ้กัน OnePlus 7 Pro นั้นมาพร้อมกับ Oxygen OS 9.5 ตัวใหม่ล่าสุดที่ครอบทับอยู่บน Android 9.0 Pie ทำงานได้ลื่นไหลมาก ๆ ตอบสนองกับหน้าจอ Refresh Rate 90Hz ได้อย่างดี
ตัว UI มีความเรียบง่ายดีมาก ๆ กึ่ง ๆ Pure Android เลยล่ะ มีหน้ารวมแอปให้เรารูดขึ้นมา การทำงานต่าง ๆ อยู่ในเกณฑ์ลื่นไหลขั้นสุด เท่าที่ใช้งานยังไม่เจออาการกระตุกให้เห็นเลย
มีตัวเลือกไอคอนให้ปรับแต่งนิดหน่อย ถ้าไม่ชอบความเรียบแบบเดิม ๆ ที่มีให้มา ค่าเริ่มต้นมีให้เลือก 3 แบบคือ OnePlus (ดั่งเดิม), Round และ Square ครับ แต่ถ้ายังไม่พอจริง ๆ ไปหาโหลดเพิ่มได้จาก Play Store เลยครับ
ตัวระบบภายในยังมีฟีเจอร์ RAM boost ที่จะมาช่วยจัดการระบบภายในให้ลื่นไหลอยู่ตลอดเวลา และจัดการตัว RAM ให้ใช้งานได้อย่างดี จะเปิดกี่แอปก็ไม่ต้องกลัวกระตุกหรือหน่วงเลย
สำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่ชอบการใช้งานปุ่ม Navigation Bar3 ปุ่มด้านล่าง ยุคใหม่แล้ว อยากใช้ Gesture เลื่อน ๆ ปาด ๆ ตัว Oxygen OS ก็มีให้เลือกใช้งานด้วย ซ่อนปุ่มกดแล้วใช้หน้าจอแบบเต็ม ๆ ได้เลย เข้าไปตั้งค่ากันได้ที่ Settings > Button & Gestures > Navigation Bar & Gestures เลยครับ
หน้าจอ Amoled แบบนี้ ก็ควรมี Always On Display ด้วยเนอะ เราสามารถแตะหน้าจอหนึ่งครั้งเพื่อดูนาฬิกาหรือไอคอนการแจ้งเตือนได้ทันที และเวลามีการแจ้งเตือนเข้ามาตัวจอจะมีไฟติดวาบอยู่ที่มุมจอด้วย สวยมาก ๆ
Alert Slider ควบคุมโหมดเสียงได้จากมุมขวานี้เลย อีกจุดที่ทาง OnePlus ใส่มาให้ตลอดและดีด้วยก็คือปุ่มควบคุมโหมดเสียง ที่ด้านข้างนี้ ช่วยให้เราสลับโหมดเสียง, สั่น รวมไปถึงเงียบได้ง่ายเพียงแค่เลื่อนตรงนี้ ส่วนตัวคิดว่าสะดวกดีไม่ต้องมาคอยกดปุ่มลดเสียงค้าง หรือกดที่ Profile ด้านบนหน้าจอเนาะ
สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ เร็วที่สุดในโลก !
มาต่อในเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย OnePlus 7 Pro มีระบบสแกนลายนิ้วมือและระบบสแกนใบหน้ามาให้แบบรุ่นเรือธงทั่วไปนี่แหละ มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่บนหน้าจอตามที่รุ่นเรือธงควรมี ซ่อนอยู่บนหน้าจอแบบนี้เลย เวลาแตะจอก็จะโชว์ขึ้นมาเด่น ๆ
ความเร็วในการสแกนนิ้วต้องบอกเลยว่าทำได้รวดเร็วมาก ๆ ด้วยความเร็วเพียง 0.21 วินาทีเท่านั้น เรียกว่าแตะปุ๊บก็ติดปั๊บเลย ซึ่งตรงนี้ทาง OnePlus เคลมด้วยว่าเป็นระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอที่เร็วที่สุดในโลกเลยด้วยนะ ! อื้อหือออ
ส่วนระบบสแกนใบหน้าก็ทำได้เร็วไม่แพ้กัน เวลาสแกนใบหน้าก็จะยกกล้อง Pop Up ขึ้นมา ฟึ่บ ! แล้วสแกนเสร็จก็หุบลงทันที ทำงานได้เร็วมาก เรียกว่าแทบไม่ทันสังเกตเลยว่ากล้องยกขึ้นมาแล้ว แจ่ม ๆ
หน้าจอ ระบบเสียง เล่นเกม
หน้าจอ Fluid Amoled 90Hz ที่มันแจ่มจริง ๆ !
มาเข้าสู่เรื่องไฮไลท์หลักของ OnePlus 7 Pro อย่างเรื่องหน้าจอในการใช้งานกันเลยเพราะรอบนี้ทาง OnePlus นำเสนอในเรื่องของหน้าจอออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ ตัวจอ Fluid Amoled นี้แสดงผลได้อย่างยอดเยี่ยมแบบสุด ๆ ด้วยความละเอียด สูงถึง QHD+ นี้ สีสันที่ได้นั้นสวยสมจริงมาก ๆ ตรงนี้ทาง Display Mate ถึงกับยกเกรดให้ถึง A+ ซึ่งถือว่าเป็นจอที่ดีที่สุดตอนนี้เลยก็ว่าได้ครับ
ตัว Refresh Rate 90Hz กับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ตรงนี้ทำได้สมูธจริง ๆ อย่างการใช้งานแอปโซเชี่ยลทั่วไปที่จะต้องไถหน้าจออยู่ตลอด ๆ เวลาได้จอที่มันลื่นขึ้น-ลงนี่เห็นผลชัดเจนครับ สบายตามาก ๆ แถมการตอบสนองกับนิ้วยังดีสุด ๆ ไถ IG กดไลก์ ไล่ดูรูไป ฟิน !
รองรับ HDR10+ อีก ! นอกเหนือจากความลื่นไหลแล้ว ในเรื่องความคมชัดและคอนเทราสของการแสดงผลก็ทำได้ยอดเยี่ยม รองรับการแสดงผลขั้นสุดแบบนี้ เอามาดูหนังนี่ฟินเลย ยิ่งคอนเทนต์บน Netflix ก็มีรองรับ HDR มากขึ้นแล้ว เวลาดูผ่าน OnePlus 7 Pro แบบนี้การแสดงผลก็ครบถ้วนไปเลย
หน้าจอที่กว้างระดับ 6.67 นิ้ว แบบนี้แถมไร้ขอบอีก ดูหนังได้แบบสะใจจริง ๆ จะเห็นว่าขอบจอนั้นแทบจะไม่เหลือแล้ว ถือดูได้อย่างเต็มตา ไม่มีอะไรมากวน ยิ่งถ้าเป็นหนังที่มีอัตราส่วนแบบ 21:9 ขอบดำก็จะเหลือเพียงนิดเดียวเอง เพราะจอได้อัตราส่วนแบบ 19.5:9 มาเนาะ
ระบบเสียงก็ Dolby Atmos อะไรจะครบขนาดนี้ !
นอกจากเรื่องของจอที่ดีแล้ว ในส่วนของระบบเสียงก็ไม่น้อยหน้าให้ลำโพงคู่ Stereo มาด้วย เสียงที่ได้จากลำโพงต้องบอกว่า ดีมากกก !! ความดังนี่ใช้ได้เลย เปิดแค่ราว ๆ 40% ก็พอใช้งานแล้ว
แต่แค่ Stereo อย่างเดียวไม่พอ เพราะมีระบบเสียงของ Dolby Atmos ติดมาให้ด้วย เสียงที่ออกมานั้นต้องบอกว่ารอบทิศไปเลย เวลาใช้ดูหนังนี่ก็เหมือนมีโรงหนังส่วนตัวอยู่ในมือเลยล่ะ มิติของเสียงดีจริง ๆ แถมวางตำแหน่งของลำโพงให้เหมาะกับการจับถือได้ดีจริง ๆ
ลำโพงด้านล่างจะอยู่ที่มุมขวามือหรือด้านบนเวลาจับถือแนวนอน เวลาใช้ดูหนัง เล่นเกมก็จะไม่เผลอเอามือไปบังได้ง่าย ๆ จับจุดได้ดีครับ
Super Flagship นี่เร็วแรงแค่ไหน !
มาต่อในเรื่องของประสิทธิภาพการใช้งาน แน่นอนว่าก่อนอื่นขอทดสอบคะแนนเจ้า OnePlus 7 Pro นี้ก่อนว่าได้คะแนนสูงแค่ไหน ด้วยหน่วยประมวลผลตัวท๊อปสุดแบบนี้ คะแนนพุ่งกระฉูดแน่นอน สำหรับรุ่นที่เราได้มาทดสอบนั้นเป็นรุ่นความจุ 8GB +256GB คะแนนทดสอบที่ออกมาก็สูงมาก ๆ แล้วที่ 374590 คะแนน ไม่อยากจะคิดว่าถ้ารุ่นแรม 12GB จะสูงแค่ไหน *0*
เอ้า ! เล่นเกมเลยเหอะ !
คะแนนก็ส่วนคะแนนเนอะ เล่นเกมนี่สิของจริง ในส่วนของประสิทธิภาพที่ให้มานั้นคงไม่ต้องแล้วเนอะ แค่ชื่อ Snapdragon 855 ก็น่าจะไว้ใจได้แล้ว แต่จุดที่อยากทดสอบจริง ๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องหน้า 90Hz นี่แหละว่าถ้ารันเกมจริง ๆ แล้วจะเหมาะไหม ซึ่งเกมที่เราทดสอบก็คือเกมที่เล่นกันประจำอย่าง Asphalt 9 กับ PUBG ละกัน !
สำหรับ Asphalt 9 ก็รองรับการแสดงผลที่ 90Hz เรียบร้อย เราสามารถเล่นได้อย่างลื่น ๆ แบบที่ตัวหน้าจอแสดงผลได้เลย กราฟิกในเกมถึงแม้ค่าเริ่มต้นจะปรับมาให้ที่ Default แต่ก็ได้กราฟิกที่ครบถ้วน เอฟเฟกต์ แสงต่าง ๆ ทำได้ดีมาก ๆ
ถึงแม้ว่าตัวเฟรมเรตในเกมจะไม่สามารถเลือกที่ 60fps ได้แต่หน้าจอ 90Hz ก็ช่วยให้ภาพที่ได้นั้นลื่นได้แบบสุด ๆ คือเล่นแล้วได้อารมณ์มากกว่าจอ 60Hz แบบปกติเลยล่ะ นี่มันประโยชน์ของหน้าจอแบบใหม่จริง ๆ
PUBG Mobile ก็เป็นอีกเกมที่รองรับหน้าจอแบบ 90Hz ช่วยให้การหันมองของภาพนั้นสมูธมากขึ้น ระดับกราฟิกในเกมนั้นสามารถเลือกได้ที่ระดับสูงสุด HDR และเฟรมเรต Ultra แน่นอนอยู่แล้ว สเปคระดับนี้เนอะ การโหลดฉากต่าง ๆ ทำได้รวดเร็วมาก
หน้าจอที่เต็มสุดระดับนี้ก็ช่วยให้ได้ภาพที่กว้างมากขึ้น มุมมองกว้างแบบสะใจสุด ๆ ความลื่นไหลในเกมก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมครับ ไม่มีอาการกระตุกให้เห็นเลยล่ะ
ส่วนเรื่องลำโพงที่เป็นแบบ Stereo ก็ช่วยให้รองรับการเล่นเกมแนวนี้ได้ดี แสงที่ได้ก็กว้าง รู้ทิศทางของปืนรวมถึงศัตรูได้เป็นอย่างดี ตำแหน่งของลำโพงก็อย่างที่บอกไปครับ วางได้ดี ไม่มีเอามือไปบังได้ง่าย ๆ
มี Fnatic Mode ด้วยลืมบอกไป ! อีกจุดที่ต้องติดมากับสมาร์ทโฟนสเปคแรงสายเล่นเกมแบบนี้ก็คือ Game Mode ซอฟต์แวร์ที่ช่วยปรับแต่งตัวเกมให้เหมาะสมมากขึ้น ทั้งปิดการแจ้งเตือน เร่งประสิทธิภาพ แต่ทีเด็ดของ Fnatic Mode บน OnePlus 7 Pro ก็คือมีระบบการสั่นเพิ่มเข้ามาด้วย มีตัวเลือกการสั่นเข้ามาตามจังหวะภายในเกม ตรงนี้ก็ช่วยให้การเล่นเกมมีอรรถรสมากขึ้นไปอีก
โดยรวมแล้วในเรื่องของประสิทธิภาพต้องยอมรับในชื่อ Super Flagship จริง ๆ ครับ จัดเต็มมาก ๆ เล่นเกมได้แจ่มจริง ๆ แต่จุดสังเกตก็คือตัวหน้าจอ 90Hz นี่อาจจะยังไม่รองรับทุกเกมใน Play Store ตอนนี้ ซึ่งเราก็ไม่รู้อีกว่าเกมไหนที่รองรับบ้าง ถ้าอนาคตมีสโตร์หรือช่องทางที่แนะนำเกมที่รองรับแยกออกมาได้ คงจะดีไม่น้อยครับ :D
กล้อง
กล้อง 3 ตัวไม่ใช่แค่มี แต่ดีด้วย !
กล้องก็เป็นอีกจุดที่ทาง OnePlus อัปเกรดขึ้นมาอีกขั้น ให้กล้องหลังมาด้วยกัน 3 ตัว ครบทุกช่วงการใช้งานเลยล่ะ ซึ่งตัวกล้องที่ให้มาก็ไม่ใช่แค่ให้มาครบ ๆ แต่ความสามารถและคุณภาพต้องบอกเลยว่า "ดี" มาก ๆ ด้วยล่ะ ซึ่งตัวกล้องหลัง 3 ตัวแบบ Triple Camera นี้ก็จะแบ่งการทำงานและความละเอียดออกเป็นดังนี้ครับ
- กล้อง Ultra Wide Angle - 16 ล้านพิกเซล f/2.2 มุมกว้าง 117 องศา
- กล้องหลัก - 48 ล้านพิกเซล f / 1.6 OIS
- กล้อง Tele 3x - 8 ล้านพิกเซล f / 2.4 OIS
เรียกว่าเหมาะสำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากได้ภาพมุมกว้างออกมาหน่อย หรือเข้าไปใกล้อีกนิดจริง ๆ เพราะช่วงตั้งแต่ 0.6x ไปจนถึง 3x นี่คือครอบคลุมการใช้งานทั่วไปได้อย่างดีเลยล่ะ
UI การใช้งานสลับกล้องทำได้ง่ายดี มีไอคอนรูปดอกธนู เอ้ย ! ต้นไม้ 3 แบบอยู่ก็แค่กดเลือกหรือเลื่อนตรงไอคอนนั้นได้เลย ตัวเลนส์จะสลับกันได้ทันที
โหมดการใช้งานทั้งหมดสามารถเลื่อนขึ้นมาจากไอคอนด้านล่างขึ้นมาได้เลย มีโหมดหลัก ๆ ครบเลย Photo, Video, Nightscape, Pro, TimeLapse, Panorama, Slow Motion
AI ฉลาด ภาพสวย !
มาเริ่มที่โหมด Auto กันก่อนเลย โหมด Auto เริ่มต้นก็ง่าย ๆ ครับไม่มีอะไรยุ่งยาก หยิบ เล็ง ถ่ายได้เลย ตัวกล้องมีระบบ AI มาให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น พร้อมระบบ Auto HDR ช่วยได้เยอะ ถ่าย ๆ มาเถอะออกมาสวนแน่นอนครับ :D
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Auto ตัวกล้องเก็บภาพได้ดีทีเดียว ตัว Auto HDR และ AI ออกมาช่วยให้ภาพที่ได้นั้นสวยทุกสถานการณ์ ในเรื่องการย้อนแสงก็ดึงรายละเอียดขึ้นมาได้ดี แถมยังได้ความง่ายของ AI ที่ช่วยปรับสีให้สวยโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย กดแชะ ๆ สวยจ้า
กล้อง Ultra Wide Angle มุมกว้าง เก็บบรรยากาศได้หมด !
มุมกว้างใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาบน OnePlus 7 Pro รอบนี้ช่วยให้การถ่ายภาพนั้นสนุกยิ่งขึ้นไปอีก โดยความกว้างนั้นจะอยู่ที่ 117 องศา ซึ่งเทียบแล้วอาจจะไม่ได้กว้างที่สุดในตลาดตอนนี้ แต่ความกว้างไม่มากสุด ๆ นั้นก็จะได้ในเรื่องของมุมหรือความเว้าของขอบภาพที่ไม่มากจนเกินไปด้วย แถมตัวกล้อง Wide นี้ยังมีระบบ Autofocus ด้วย แจ่ม ๆ นะ
เปรียบเทียบมุม 0.6x กับ 1x จะเห็นว่ามุมมองที่กว้างมากขึ้นนั้นช่วยให้เราเก็บบรรยากาศได้มากกว่าเดิม แถมไม่ต้องถอยไปไกลมาก ถ้าเจอสถานที่แคบ ๆ ด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Ultra Wide Angle เห็นได้ชัดว่ามุมกว้างนั้นช่วยให้ได้ภาพที่กว้างกว่าและสนุกกว่าจริง ๆ กับการถ่ายวิวหรือถ่ายบรรยากาศต่าง ๆ นั้นจุใจเลย เก็บได้ครบ สีสันที่ได้ก็สวยครับ ถึงแม้จะไม่คมเท่ากับกล้องตัวหลัก ความโค้งหรือเว้าของภาพก็ไม่เยอะเท่าไหร่ เก็บรายละเอียดได้สวย ๆ
กล้องเทเล 3x ซูมเข้าไปได้ใกล้กว่า !
อีกตัวที่จะมาช่วยให้เราถ่ายภาพได้สนุกยิ่งขึ้นก็คือตัวเทเล 3x นี่แหละ การที่เราสามารถเข้าไปใกล้กว่าช่วงปกติด้วยกล้องแบบ Optical ไม่เสียรายละเอียดนี่ก็แจ่มไม่น้อย ไม่ใช่สายส่อง แต่ถ้าได้ลองความใกล้นี้ก็อาจจะติดใจได้ครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Tele 3x จะเห็นว่าความใกล้ที่มากขึ้นนี้ก็ช่วยให้ได้มุมมองใหม่ขึ้นไปอีก คุณภาพของเลนส์ก็ทำได้ดีครับ เก็บภาพออกมาได้สวยเลย
Portrait โหมด ถ่ายคนสวยไฟล์แจ่ม
Portrait mode หรือภาพบุคคล รอบนี้ได้ระยะที่ดีขึ้นกว่าเดิมด้วยช่วง 3x เหมาะกับการถ่ายภาพคนมากขึ้น แต่ก็แลกมากับความใกล้ขึ้นอีดเยอะ เวลาจะถ่ายก็คงต้องถอยออกมาเยอะเลย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait ภาพคนจากโหมดนี้สวยดีทีเดียว ระยะความเบลอหลังทำได้ดีเพราะได้ช่วง 3x เข้ามา ตัวสกินโทนของแบบก็ทำได้สวยเลยล่ะ เพิ่มความเนียนใสเข้าไปเล็กน้อยพอกรุบกริบ การตัดฉากหลังก็ทำได้เนียนตาเลย
Nightscape กลางคืนสวยกว่าที่เคย !
โหมดถ่ายภาพกลางคืนหรือ Nightscape ก็มีการอัปเกรดขึ้นมาอีกขั้น ด้วยตัวฮาร์ดแวร์กล้องหลักที่มี f/1.6 เก็บแสงน้อยได้ดีอยู่แล้ว ตัวโหมดใหม่นี้ยังทำงานได้รวดเร็วขึ้น และใช้เทคนิคการรวมภาพได้อย่างดีกว่าเดิม ทำให้ภาพกลางคืนที่ถ่ายด้วยโหมด Nightscape นั้นจะช่วยให้คุณภาพยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Night Scape
กล้องหน้า Pop Up เซลฟี่สวย
กล้องหน้าที่ถูกซ่อนอยู่ในเครื่องเวลาจะใช้งานก็จะมีการยกขึ้นมาอีกที ความละเอียดอยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล เรียกว่าเพียงพอต่อการเซลฟี่ได้เป็นอย่างดี กลไกกล้องแบบนี้ก็ดูล้ำไปอีกแบบ แถมการทำงานก็รวดเร็วดีครับ มีโหมด Portrait เพิ่มความเนียนและหลังละลายได้ด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
แบตเตอรี่เยอะจุใจ พร้อมชาร์จไวตามใจทัน !
เข้าสู่เรื่องการใช้งานแบตเตอรี่ของ OnePlus 7 Pro จอใหญ่ขนาดนี้ ก็ให้แบตฯก้อนใหญ่มาไม่แพ้กัน กับแบตเตอรี่ความจุเยอะถึง 4000 mAh ระดับนี้ก็ไว้ใจได้ว่าพร้อมใช้งานตลอดทั้งวันแน่นอน ซึ่งเท่าที่ลองใช้งานมาจริง ๆ แบตเตอรี่ก็อยู่ในเกณฑ์ดีครับ ตัวหน้าจอ 90Hz นั้นไม่ได้ส่งผลต่อแบตฯมากนัก ไม่ต้องกังวลว่าพอได้จอแบบใหม่แล้วแบตฯจะไม่พอใช้เนาะ
Warp Charge 30 ชาร์จไว ตามต้องการ !
แต่ถึงแม้แบตฯจะเยอะแค่ไหน แต่ถ้าหมดก็ต้องชาร์จล่ะเนอะ ซึ่งระบบชาร์จของ OnePlus 7 Pro นี้ก็ได้ Warp Charge 30 ที่ความเร็ว 30W มาเลย ชาร์จเร็วทันใจแน่นอนถึงแม้แบตฯจะเยอะถึง 4000 mAh แบบนี้
ทาง OnePlus เคลมว่าสามารถชาร์จจาก 0 - 48% ได้ในเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น ระบบชาร์จไวแบบนี้ก็ช่วยได้เยอะ เวลาเรารีบใช้งานสมาร์ทโฟนที่แบตฯไม่พร้อมเนอะ แถม Warp Charge ยังสามารถชาร์จไป ใช้งานไปได้ด้วย โดยที่ความเร็วไม่ตกและความร้อนไม่สะสมด้วยนา
สรุปผลการทดสอบ
OnePlus 7 Pro ก็ถือว่าเป็น Super Flagship ที่ครบเครื่องแบบสุด ๆ ไม่ได้มีดีแค่สเปคแล้ว ทั้งเรื่องดีไซน์ที่รอบนี้ได้หน้าจอแบบเต็ม ๆ สวยงามจับใจ บอดี้งานประกอบที่พรีเมี่ยมยิ่งขึ้น, ฟีเจอร์หน้าจอขั้นสุดที่ให้ได้มากกว่าในท้องตลาดตอนนี้, กล้องที่ครบทุกช่วงและใช้งานได้ดีมาก และสเปคที่เป็นจุดเด่นก็ไม่หายไป ให้ทุกอย่างมาครบทั้งหน่วยประมวลผลตัวท๊อปสุด แรมและรอมความจุเยอะ ความเร็วสูง โดยรวมแล้ว OnePlus 7 Pro คือเรือธงที่ได้ทุกอย่างครบหมด ในราคาไม่ถึง 30,000 บาทจริง ๆ ครับ !!