แกะกล่อง
Review : OPPO F11 รุ่นน้องที่ไม่โปร แต่ก็คอนโทรลทุกอย่างได้อยู่หมัด !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก OPPO กับ OPPO F11 นั่นเอง ! หลังจากส่งรุ่น Pro มาสร้างความฮือฮาให้กับตลาดสมาร์ทโฟนหมื่นต้น ๆ ไปแล้ว คราวนี้ก็มีอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากได้ฟีเจอร์เด่น ๆ ของ F11 Pro ในราคาต่ำหมื่นดูบ้าง แต่ถึงจะไม่มี Pro ตามท้าย ก็บอกเลยว่ารุ่นนี้จัดฟีเจอร์เด่น ๆ มาครบนะจ๊ะ พูดมาซะขนาดนี้แล้ว อย่ารอช้าเสียเวลา มาอ่านรีวิวของ OPPO F11 ไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าครับ :D
ราคาค่าตัว 8,990 โดนใจไหมล่ะ !?
แนะนำราคากันก่อนเลย จะได้ง่ายต่อการรีวิว :P OPPO F11 รุ่นนี้อย่างที่บอกไปว่าราคาต่ำหมื่นมาเลย เปิดราคาค่าตัวมาเพียง 8,990 บาทเท่านั้น ถูกลงกว่า F11 Pro ถึง 2,000 บาท น่าจะเป็นรุ่นที่จับต้องได้ง่ายขึ้นอีก ในขณะที่ฟีเจอร์หลัก ๆ ของรุ่นพี่ก็ให้มาครบนาจา
แกะกล่องเช็คของเลยเนอะ !
ตัวกล่องของ OPPO F11 ยังคงมาในทรงมาตรฐานของ OPPO เช่นเคยครับ ด้านหน้ามีโชว์ภาพตัวเครื่องชัดเจน พร้อมกับชื่อรุ่นและความจุบอกที่มุมบน และแน่นอนว่าภาพหน้ากล่องจะเป็นสีที่ใช้โปรโมทเท่านั้น ในที่นี้คือสีม่วง Fluorite Purple นั่นเองครับ
ตรงมุมกล่องมีระบบความจุของรุ่นนี้อยู่โดยรุ่นที่ขายไทยจะเป็นความจุ RAM 4GB + ROM 128GB นะครับ ใช้งานกันจุใจเลย
ยกฝากล่องขึ้นมาจะเจอตัวซองชั้นแรกที่มีเขียนว่า OPPO เท่านั้น ภายในก็จะมีเคสซิลิโคนใสและคู่มือการใช้งาน รวมถึงเข็มจิ้มถาดซิมด้วย อยู่รวมกันในนี้ทั้งหมดจ้า
อีกชั้นลึกลงไปจะเจอตัวเครื่องนอนอยู่พร้อมกับผ้าห่มคลุมที่มีรายละเอียดฟีเจอร์เด่น ๆ ครบ (ก็คือซองครอบตัวเครื่องนั่นแหละ 555) ซึ่งสีที่เราได้มารีวิวรอบนี้คือสี Marble Greem นะครับ อย่างที่บอกไปหน้ากล่องไม่ได้ระบุสีจริง ๆ ของเครื่อง ดูที่หลังกล่องแทนได้ :P
อะ…ระหว่างรอน้อง F11 ตื่น (ก็คือเปิดเครื่องรอ) เรามาเช็คอุปกรณ์ข้างในอีกหน่อยก็จะเจอกับหมอนหมอนข้าง ตุ๊กตา พออออ…! ข้างในก็จะมีอแดปเตอร์ชาร์จไฟแบบ VOOC 3.0, สาย micro-USB ที่รองรับ VOOC และหูฟังอยู่ในนี้ด้วยครับ
เบ็ดเสร็จแล้วอุปกรณ์ในกล่องรวมตัวเครื่องแล้วก็มีด้วยกัน 7 อย่างตามนี้ครับ
- ตัวเครื่อง OPPO F11
- เคสซิลิโคนใส
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิม
- อแดปเตอร์ชาร์จไฟ (รองรับ VOOC 3.0)
- สาย micro-USB (รองรับ VOOC)
- หูฟัง (แจ็ค 3.5 มม.)
ดีไซน์
ดีไซน์สวยจับได้ถนัดมือ เรียบ ๆ แต่ลงตัว !
หลังจากที่เปิดเครื่องจนน้องตื่นแล้ว (ยังอีกกกก ! 555)อะ…หลังจากที่เปิดเครื่องเสร็จแล้วก็มาดูตัวเครื่องกันต่อเลยดีกว่า สำหรับ OPPO F11 นั้นมาพร้อมกับทรงมาตรฐานของ OPPO ที่เราคงชินกันแล้ว รุ่นนี้ได้หน้าจอแบบ Waterdrop Screen มา ไม่ใช่ Panoramic Screen แบบรุ่น Pro แต่ขนาดหน้าจอก็ยังใหญ่ถึง 6.53 นิ้วเช่นเดียวกัน
ตัวหน้าจอก็ได้ความละเอียด FHD+ มาเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นในเรื่องการแสดงผลบอกเลยว่าสวยคม และเต็มตาไม่แพ้กันเลย ถึงแม้จะมีติ่งบนหน้าจออยู่เล็ก ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับกวนสายตาเวลาใช้งานเท่าไหร่ ขอบหน้าจอบนล่างก็ออกแบบมาได้พอดิบพอดี อาจจะไม่ถึงกับบางเฉียบมาก แต่เท่านี้ก็สวยแล้วล่ะ
ขนาดตัวเครื่องรู้สึกว่าทำออกมาได้ดีและกระชับมือดีเลยล่ะ ด้วยน้ำหนักที่มีอยู่ 190 กรัม ให้ความรู้สึกที่มั่นคงดีทีเดียว เวลาจับถือไม่ก๊องแก๊ง และก็ไม่ถึงกับหนักจนถือนาน ๆ ไม่ได้ด้วยเนาะ ตรงนี้ชอบความมั่นคงนี้จริง ๆ
ติ่งบนหน้าจอแบบ Waterdrop หรือหยดน้ำนี้ก็ทรงมาตรฐาน มีกล้องหน้าและเซ็นเซอร์ซ่อนอยู่ พร้อมกับลำโพงสนทนาขนาดย่อม ๆ ด้วย
ขอบล่างหน้าจอก็มีความหนานิดหน่อย ไม่ถึงกับเยอะมาก ไว้พอวางนิ้วบางเวลาจับถือ ไม่ให้โดนหน้าจอไปหมดเนาะ
กรอบเครื่องของรุ่นนี้จะต่างจากรุ่น Pro นิดหน่อยตรงที่ผิววัสดุจะเป็นแบบมันวาว ไม่ใช่ด้าน ๆ เนาะ ตรงนี้ก็จะเก็บรอยนิ้วมือไปบ้าง แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ใส่เคสก็แก้ได้แหละ ตัวขอบจุมีการทำมุมโค้งเล็ก ๆ ให้เวลาจับถือไม่เรียบแบนจนเกินไป
ปุ่มกดก็อยู่ที่มุมเดิมทั้งหมดครับปุ่มเพิ่ม - ลดเสียงจะอยู่ที่ฝั่งซ้าย ส่วนฝั่งขวาเป็นปุ่ม Power ซึ่งตัวปุ่ม Power มีการแทรกสีเขียวมิ้นต์แบบเดียวกับรุ่น Pro อยู่ด้วย ก็เพิ่มความสวยงามเข้าไปได้เยอะเลยล่ะ
ช่องใส่ซิมของรุ่นนี้จะอยู่ที่มุมซ้ายของตัวเครื่อง โดยจะเป็นถาดซิมแบบไฮบริด Slot ต้องเลือกเอาระหว่างใส่ 2 ซิมหรือใส่ micro-SD ครับ ไม่สามารถใส่พร้อมกันแบบ 2 ซิม 1 เม็มได้นะ
ขอบเครื่องที่ด้านบน - ล่างจะมีการทำมุมเว้าลงไปนิด ๆ แบบที่เราเคยเห็นบน R Series แต่ไม่ลึกเท่า ช่วยให้ตัวงานออกแบบดูไม่นิ่งจนเกินไปแบบนี้
พอร์ตการเชื่อมต่อของรุ่นนี้จะเป็นแบบ micro-USB วางไว้ตรงกลางที่ด้านล่างตัวเครื่องพร้อมช่องหูฟัง 3.5 มม.อยู่ทางซ้าย และลำโพงหลักของตัวเครื่องอยู่ทางขวาครับ
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ดีไซน์ของสี Marble Green อาจจะดูเรียบ ๆ แต่มีระดับใช้ได้ ด้วยการใช้สีเขียวเข้มตัดกับสีทองของตัวหนังสือและกรอบเลนส์ ช่วยให้ตัวฝาหลังดูฟรีเมี่ยมขึ้นมาเยอะเลย แถมยังมีการทำลวดลายเวลาสะท้อนแสงเป็นรูปตัว S ที่ด้านหลังด้วย เห็นแว้บแรกแล้วแอบนึกถึงสี Emerald Green ของ R17 Pro เลย
ซึ่งสีสันจะสะท้อนไปตามแสงที่ตกกระทบ โทนจะออกเข้ม ๆ ถ้าไม่โดนแสงมากนักก็จะเป็นดำได้เหมือนกัน ตรงนี้เพื่อน ๆ ที่ชอบสีโทนเข้ม ๆ น่าจะถูกใจเลยล่ะ ส่วนตัวก็รู้สึกว่ามันมีระดับไม่น้อยเลย Marble Green เนี้ย
การวางตำแหน่งของกล้องก็จะอยู่ตรงกลางเช่นกันวางเป็นกล้องคู่แนวตั้งตัวกรอบเลนส์ยกขึ้นมาจากตัวฝาหลังนิดหน่อย และไฟแฟลชกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ถัดลงมา ใช้ดีไซน์แบบสมมาตรเช่นกันซ้าย-ขวาเท่ากันเป๊ะ ๆ
ตัวโลโก้แบรนด์วางให้เหมาะกับการถือแนวนอนเช่นเดียวกับ F11 Pro มีสกรีนว่า OPPO และ Designed By OPPO เหมือนกันด้วยนะ
รวม ๆ แล้วดีไซน์ของ OPPO F11 ต้องบอกว่าดูดีทีเดียวครับ ถึงแม้จะไม่ได้หน้าจอแบบเต็มไร้ติ่งเหมือนรุ่น Pro แต่ก็สวยและลงตัวดี ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ บอดี้ดูแน่นหนาช่วยให้เวลาจับถือนั้นแน่นมือดีมาก ๆ ฝาหลังที่มีดีไซน์สะท้อนแสง ซ่อนตัว S และสีสันแบบเดียวกับ R17 Pro ยิ่งโดนใจเข้าไปใหญ่ ถือว่าเป็นรุ่นต่ำหมื่นที่ออกแบบมาได้ดีทีเดียว ถือแล้วเท่ ! บอกเลย
แต่ก็ยังมีจุดที่ไม่ถูกใจอยู่นิดหน่อยก็คือเรื่องของกรอบเลนส์กล้องที่นูนออกมาจากตัวเครื่องนิดหน่อยกับฝาหลังและขอบเครื่องผิวมันที่แอบเป็นรอยนิ้วมือสะสมได้ง่ายอยู่เนาะ แต่ปกติถ้าใส่เคสกันอยู่แล้ว ไม่น่าเป็นปัญหาเท่าไหร่ :P
สเปคและประสิทธิภาพ
สเปคจัดเต็มไม่แพ้กัน !
ในส่วนของสเปคก็เรียกว่าแทบยกมาจากรุ่น Pro เลย ทั้งหน่วยประมวลผล Helio P70, แบตเตอรี่ความจุระดับ 4000mAh รวมไปถึงกล้องหลังที่เป็นจุดเด่น "Portrait สวยแม้แสงน้อย" ก็ด้วยเช่นกัน
สเปค OPPO F11
- หน้าจอ LTPS-TFT 6.53 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (อัตราส่วน 19.5:9)
- ซีพียู MediaTek Helio P70 Octa-core 2.1 GHz
- จีพียู Mali-G72 MP3
- แรม 4GB
- ความจุ 128GB
- รองรับ micro-SD สูงสุด 256GB
- แบตเตอรี่ 4,020 mAh
- รองรับระบบชาร์จไว VOOC 3.0
- กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล f/2.0
- กล้องหลังคู่ 48 + 5 ล้านพิกเซล f/1.79 + f/2.4
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง
- รองรับระบบสแกนใบหน้า
- รองรับ 2 ซิม
- ขนาดตัวเครื่อง 162 x 76.1 x 8.3 มม.
- น้ำหนัก 190 กรัม
- รัน Android 9.0 Pie ครอบด้วย ColorOS 6.0
- วางจำหน่าย 2 สี Fluorite Purple, Marble Green
- ราคา 8,990 บาท
จะเห็นว่าถ้าดูจากสเปคจริง ๆ F11 ธรรมดานั้นไม่แตกต่างจาก F11 Pro มากนักจริง ๆ จะมีก็ในเรื่องแรมที่ลดหย่อนลงมาเหลือ 4GB แต่หน่วยความจำภายในให้มาที่ 128GB เลยนอกนั้นก็ใกล้เคียงกันมากมีระบบชาร์จไว VOOC 3.0 แถมได้ความจุแบตฯที่เพิ่มขึ้นมาอีก 20mAh ด้วยนะบนรุ่นนี้
คะแนนทดสอบเป็นยังไงบ้าง ?
ไหน ๆ ก็มาเรื่องสเปคแบบนี้แล้ว ขอมาทดสอบคะแนนผ่าน AnTuTu Benchmark กันหน่อย อย่างที่บอกไปว่า OPPO F11 นั้นได้สเปคที่ใกล้เคียงกับ F11 Pro มาเลย จะต่างกันหลัก ๆ ที่แรม เพราะฉะนั้นประสิทธิภาพโดยรวมนี่ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว โดยคะแนนทดสอบของ F11 นั้นก็ได้ออกมาที่ 148316 คะแนนเลยทีเดียว เรียกว่าห่างกับ F11 Pro ที่เคยทดสอบอยู่นิดเดียวจริง ๆ ครับ
เล่นเกมเลยละกัน เอ้า !
เข้าสู่เรื่องการทดสอบประสิทธิภาพแบบนี้ จะให้เห็นชัดก็คงต้องเอามาเล่นเกมจริง ๆ จัง ๆ เลยละกัน ซึ่งตามสเปคนั้นก็ถือว่าให้มาพร้อมที่จะเล่นเกมกราฟิกระดับกลางค่อนสูงได้อยู่แล้ว เอาเกมเบสิคที่ทดสอบกันบ่อย ๆ อย่าง Asphalt 9 และ PUBG เลยละกันครับ
สำหรับ Asphalt 9 นั้นตัวเกมสามารถรันกราฟิกได้แบบ Hight Quality หรือสูงสุดได้เลย เล่นได้ลื่นไหลพอควร จะมีจังหวะที่เฟรมเรตดรอปอยู่บ้างเล็กน้อยเมื่อเล่นไปสักพักและเครื่องเริ่มเกิดความร้อน แต่โดยรวมถึงว่าทำได้ดีครับ
ตัวหน้าจอขนาดใหญ่แบบ Waterdrop Screen นั้นสามารถแสดงผลได้ค่อนข้างครบถ้วน จะมีปุ่มบางอันที่ดันไปวางอยู่ตรงติ่งหน้าจอบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรครับ
PUBG เกมยิงสุดฮิต ในค่าเริ่มต้นตัวระบบจะเซ็ตค่ามาให้เราที่คุณภาพกราฟิกที่ Balanced และเฟรมเรตแบบ Medium มาให้ ซึ่งเราไม่เชื่อแน่ ๆ ว่าจะปรับไปเล่นที่ High ไม่ได้ ก็เลยลองของปรับ High กับ HD ไปเลย
ผลปรากฏว่าก็เล่นได้อย่างลื่นไหลดีทีเดียวครับ คือเล่นได้เลยล่ะ จังหวะยิง ซูมก็ถือว่าทำได้ดีทีเดียว ไม่เจอจังหวะกระตุกอย่างรุนแรงจนหงุดหงิดหรือหัวร้อน ถือว่าเล่นได้อย่างราบรื่นมากครับในกราฟิกระดับ High นี้ ปรับการตั้งค่าโลดดด !
ที่ตัวเกมนั้นเล่นได้ลื่นไหลขนาดนี้นอกจากฮาร์ดแวร์ที่ดีแล้ว ตัวซอฟต์แวร์ ColorOS 6 ยังมาพร้อมกับระบบ Hyperboost 2.0 ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพให้เร็วและลื่นขึ้นกว่าเดิมถึง 31.91% ด้วยนี่แหละ และยังมีแอป Game Space ที่คอยมาช่วยเร่งประสิทธิภาพและจัดการระบบให้พร้อมเล่นเกมมากขึ้น รวมถึงปิดการแจ้งเตือนให้เราเต็มที่กับเกมมากขึ้นอีกต่างหาก แจ่ม ๆ
ซอฟต์แวร์ และฟีเจอร์การใช้งาน
ColorOS 6 หน้าตาสวย ทำงานลื่นไหล
สำหรับ OPPO F11 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย ColorOS 6 อย่างที่บอกไปในหัวข้อที่แล้ว หน้าตา UI มีความทันสมัยขึ้น และทำงานได้อย่างลื่นไหลเอามาก ๆ เลยล่ะครับ ตรงนี้จะแตกต่างจากตอน F11 Pro มากนัก ซอฟต์แวร์เรียกว่าตัวเดียวกันเลยก็ได้ :D
UI และพวกไอคอนต่าง ๆ ปรับทรงให้เข้ากันได้ดี ไม่มีไอคอนไหนโดดออกจากกันมากนัก ใช้รูปทรงกลม เหลี่ยมเป็นหลัก อย่างแอปที่โหลดมาเพิ่มก็ยังมีการปรับให้เป็นทรงเดียวกัน ส่วนตัวชอบแบบนี้มาก ๆ มันดูไม่แปลกแยกจนเกินไปเนอะ
ในเรื่องของระบบการทำงานก็อย่างที่บอกไป มี Hyperboost 2.0 เข้ามาช่วยให้การทำงานโดยรวมนั้นเร็วมากขึ้นด้วย ไม่ใช่แค่เล่นเกม ทั้งระบบภายใน การเปิดแอปต่าง ๆ เร็วขึ้นกว่าเดิม ลื่นไหลกว่าเดิมอย่างที่บอกไป ซึ่งถ้าเทียบกับ ColorOS เดิมก็รู้สึกได้เลยว่าเร็วกว่าจริง ๆ ครับ
มีหน้า Smart Assistant อยู่ที่หน้าซ้ายสุด มีพวกสภาพอากาศ ปฏิทิน หรือตัวช่วยแอปต่าง ๆ มาให้เลือกตรงนี้ด้วย ก็สะดวกดีครับเลื่อนมาที่หน้าซ้ายสุดดูได้นะ
ที่มุมขวาของขอบจอจะมีแถบเล็ก ๆ ให้เราได้รูดมันออกมาได้ด้วย ซึ่งตรงนี้ทาง OPPO เรียกชื่อว่า Smart Bar นั่นเอง เป็นทางลัดสำหรับเข้าแอปหลัก ๆ รวมไปถึงการแคปหน้าจอหรืออัดวิดีโอหน้าจอก็ด้วยนะ
หน้า Lockscreen ของ ColorOS นี่จะมีฟีเจอร์ Lockscreen Magazine มาให้ด้วยนะ ซึ่งจะเป็นการคัดภาพพักหน้าจอสวย ๆ มาโชว์และสลับไปเรื่อย ๆ ที่มีการกดปลุกจอ ตรงนี้ก็ช่วยให้เราได้เพลิน ๆ เวลามองจอได้ดีครับ แต่เสียดายที่หลัก ๆ ไม่มีภาพนางแบบสวย ๆ มาให้แล้ว เจอแต่ภาพวิวกับสัตว์ ><
สแกนลายนิ้วมือยังอยู่ที่ด้านหลังตัวเครื่อง เร็วเหมือนเดิม
ในส่วนของระบบรักษาความปลอดภัยรุ่นนี้ก็ให้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ส่วนตัวเฮียว่าแบบนี้ใช้งานง่ายและรวดเร็วดี อาจจะดูไม่ล้ำแบบบนหน้าจอ แต่ความคุ้นเคยและความเร็วนี่ต้องยอมรับเลยว่าเร็วกว่าแน่ ๆ แตะปุ๊บติดปั๊บ
หรือถ้าไม่อยากมาคลำหาตำแหน่งเซ็นเซอร์ด้านหลัง ก็มีระบบสแกนใบหน้าให้ใช้งานด้วย กดปลุกจอแล้วสแกนปุ๊บเข้าเครื่องไปได้เลย หรือจะเลือกให้เป็นแบบสไลด์อีกครั้งเพื่อปลดล็อคก็ได้เช่นกันนะ
หน้าจอ ระบบเสียง
หน้าจอ Waterdrop screen จอสวย ติ่งนิดเดียว
มาเข้าเรื่องการแสดงผลที่หน้าจอกันบ้าง บนรุ่นนี้อย่างที่บอกว่าไม่ได้หน้าจอเต็ม ๆ แบบ Panoramic Screen เหมือนรุ่น Pro แต่ตัวจอ Waterdrop Screen หรือติ่งหยดน้ำด้านบนก็มีขนาดที่เล็กมาก ๆ แล้ว ดูคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้อย่างดีไม่แพ้กัน การแสดงผลสีสันต่าง ๆ ทำได้ดีตามสไตล์จอ LTPS ครับ สีสวย มุมมองกว้างกำลังดี
อัตราส่วนหน้าจอของรุ่นนี้ให้มาแบบ 19.5:9 เป็นจอยาว ๆ แบบมาตรฐานปัจจุบันไปแล้ว ใช้งานได้อย่างดี จะเอามาดูหนังหรือวิดีโอสเกลโรงหนัง (21:9)ก็จะเหลือขอบดำเล็กน้อยเท่านั้น ติ่งบนหน้าจอก็อย่างที่บอกครับ ไม่กวนใจเราเลยจริง ๆ
ระบบเสียงเป็นไงนะ
ในเรื่องของเสียง F11 ขยับลำโพงมาไว้ที่ด้านขวาเช่นเดียวกับรุ่น Pro ส่วนตัวชอบตำแหน่งแบบนี้นะ เพราะเวลาเราเล่นเกมหรือใช้งานในแนวนอน ตำแหน่งจะไม่โดนเอามือไปบัง ทำให้เสียงที่ได้นั้นยังคงชัดเจนอยู่ ซึ่งรุ่นนี้ก็ทำได้ดีนะ เสียงที่ได้จากลำโพงโอเคเลย ความดังค่อนข้างชัดเจน
ส่วนการใช้งานผ่านหูฟังก็ได้ง่ายด้วยช่องหูฟัง 3.5 มม. เสียงใช้งานได้ทันทีล่ะ มีระบบ Real Power Sound เข้ามาให้เพิ่มความกว้างของเสียงเวลาฟังผ่านหูฟังด้วย
กล้อง
กล้องหลังคู่แจ่ม ไม่ Pro ก็ Duo ด้วย !
ถึงแม้จะเป็นรุ่นไม่ Pro แต่กล้องหลังของ F11 ก็ให้กล้องคู่มานาจา แถมยังได้ความละเอียดสูง 48+5 ล้านพิกเซลเท่ากันด้วย มีค่ารูรับแสงกว้างถึง f/1.7 ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดี Portrait ก็แจ่มตามสโลแกนแบบเดียวกับรุ่นพี่เลยคือ "Portrait สวย แม้แสงน้อย"
ในโหมด Auto เริ่มต้นก็ยังมาพร้อมกับระบบ AI Scene Recognition ที่มี AI คอยคำนวณภาพและฉากต่าง ๆ ให้ออกมาสวยแบบที่ควรจะเป็น เราแค่เล็งแล้วให้ตัวกล้องวิเคราะห์แป๊บนึง ก็จะโชว์ซีนนั้น ๆ ขึ้นมา โดยสามารถแยกแยะซีนได้มากถึง 23 หมวดหมู่ด้วยกันเลยล่ะ
นอกจากนี้ยังมีระบบ Dazzle Colour ที่จะช่วยเร่งสีให้อิ่มมากขึ้น ปรับส่วนที่สว่างให้ได้ทั่วกว่าเดิม (คล้าย HDR) ช่วยให้ภาพที่ได้สวยในทุกสภาพแสงมากขึ้น และสีสันก็สดสวยอย่างที่หวังไว้ด้วยล่ะครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ OPPO F11 จะเห็นได้ว่าคุณภาพของกล้องหลังนั้นทำได้ดีทีเดียว รายละเอียดต่าง ๆ ของภาพเก็บได้ค่อนข้างครบถ้วน สีสันและรายละเอียดสวยงาม ได้ AI Scene Recognition ช่วยในการเลือกซีนได้อย่างดี เน้นความง่ายที่ใช้ถ่ายได้อย่างดี แค่เล็ง ๆ แล้วกดชัตเตอร์ได้เลย
Ultra night mode กลางคืนสวย รุ่นไม่ถึงหมื่นก็มีจ้า !
ฟีเจอร์กล้องหลังอีกอย่างที่น่าจะเป็นจุดขายของมือถือยุคนี้ก็คือ Night mode นี่แหละ ซึ่งบน F11 ก็มีมาให้เช่นกัน หลักการของโหมดนี้จะเป็นการจับภาพหลาย ๆ สภาพแสงในความเร็วสูงแล้วรวมภาพ ประมวลผลให้ได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ นั่นเองครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Ultra Night Mode เห็นได้ชัดว่าภาพที่ได้นั้นสวยเกินราคารุ่นต่ำหมื่นจริง ๆ การเก็บรายละเอียดของภาพดีกว่าแบบ Auto ธรรมดาพอควรเลย รายละเอียดของสีสันและส่วนที่สว่างก็เก็บมาให้เท่า ๆ กันอย่างลงตัวและเพิ่มความคมชัดของภาพให้สวยขึ้นจริง ๆ
Portrait สวย แม้แสงน้อยเหมือนเดิม !
ถึงแม้ภาพด้านบนจะเป็นกลางวัน แต่จุดขายเขาอยู่ที่กลางคืนด้วยจริง ๆ นะ :P ซึ่งใน Portrait ของ F11 นี้ก็ใช้งานได้ง่าย ไม่ยุ่งยากครับ เล็งแล้วถ่ายได้เลย ระยะของภาพจะมีการซูมเข้าไปอีกนิดให้เหมาะกับการถ่ายภาพคนมากขึ้น
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait ของ F11 ในโหมดนี้ก็ยังคงไม่ทำให้ผิดหวัง ใบหน้าของแบบนั้นเนียนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แถมการละลายฉากหลังก็สวยงาม ถ้าฉากหลังเป็นไฟดวง ๆ ก็ขึ้นโบเก้กันเลยล่ะ สวยทั้งสภาพแสงปกติและแสงน้อยเลย เก็บรายละเอียดในส่วนของคนได้ดีมาก ๆ
กล้องหน้ายังอยู่บนจอ แต่ 16 ล้านพิกเซลเท่ากัน !
ในส่วนของกล้องหน้า ถึงจะไม่เป็นกล้องแบบ Rising Camera ยกขึ้นมาล้ำ ๆ แต่ก็ได้ความละเอียดละความสามารถมาไม่แพ้กัน กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซลที่มีโหมด AI Beauty ถ่ายได้สวยเป็นธรรมชาติ พร้อมมีโหมด Portrait ให้ใช้ละลายหลังได้ด้วย สวย ๆ เลย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ OPPO F11
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
แบตเตอรี่จุสะใจ พร้อมชาร์จไว !
มือถือจะดีก็จำเป็นต้องมีแบตฯที่ใช้งานได้ยาวนานด้วยเนาะ บน F11 ให้ความจุแบตฯมาเยอะจุใจถึง 4020 mAh เรียกว่าใช้งานกันได้อย่างเต็มที่ทั้งวันได้สบาย ๆ จะเล่นเกม ถ่ายรูปหรือแชทก็ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าจะหมดไปง่าย ๆ เท่าที่ลองใช้งานมาจริง ๆ บอกเลยว่าแบตเตอรี่ของรุ่นนี้อึดมาก !
ชาร์จไวด้วย VOOC 3.0 !
อีกจุดที่ได้มาไม่แพ้รุ่น Pro ก็คือระบบชาร์จไวนี่แหละ OPPO F11 มาพร้อมกับระบบชาร์จ VOOC 3.0 เช่นเดียวกัน โดยจะสามารถชาร์จได้เร็วกว่า VOOC แบบเดิมถึง 20% แถมชาร์จได้ในความเร็วที่สูงแต่ก็ไม่ทำให้เครื่องร้อนตามไปด้วย
ซึ่งทาง OPPO ก็เคลมไว้ว่าสามารถชาร์จเต็มจาก O - 100% ได้ภายในเวลาราว ๆ 80 นาทีเท่านั้น เท่าที่ลองใช้มาก็ใช่เลย ตามที่เคลมไว้เลยครับ มีระบบชาร์จที่เร็วขนาดนี้ ช่วยให้อะไรง่ายขึ้นเยอะเลย
สรุปให้เลยแล้วกัน !
มาถึงช่วงสรุปแล้ว ใครที่เปิดมาที่หน้านี้ก่อนเลยก็ไม่ว่ากัน OPPO F11 ถือว่าเป็นรุ่นที่ลดหย่อนบางอย่างมาจาก F11 Pro รวมถึงราคาที่ถูกกว่ากันถึง 2,000 บาท แต่ฟีเจอร์หลาย ๆ อย่างนั้นได้มาอย่างครบครันไม่แพ้กัน ทั้งกล้องหลังความสามารถเพียบจนยังใช้คำนิยามเดียวกันอยู่ว่า "Portrait สวย แม้แสงน้อย" เท่าที่ลองมาคุณภาพยังครบจริง ๆ ถ่ายคนสวย วิวก็ดี หน่วยประมวลผล Helio P70 ที่ประมวลผลได้อย่างดี แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ใช้งานได้อย่างยาวนานนี่ก็ดีจริง ๆ แถมยังรองรับ VOOC 3.0 อีกไม่ต้องรอนานเลยเวลาชาร์จ
จุดที่แตกต่างจากรุ่น Pro จริง ๆ ก็คงเป็นเรื่องหน้าจอที่ไม่ได้จอเต็มเท่ากัน แต่ติ่งแบบหยดน้ำก็ไม่ได้แย่อะไรเลย และมีเรื่องแรมภายในที่ให้มา 4GB (รุ่น Pro ได้ 6GB) แต่กลับได้ความจุภายในเยอะกว่าเป็น 128GB ซะงั้น ถือว่าเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากได้ความสามารถหลัก ๆ ของ F11 Pro และไม่สนในเรื่องของดีไซน์และความล้ำ เจ้า OPPO F11 รุ่นนี้ก็ตอบโจทย์ได้ดีในราคาที่เป็นเจ้าของง่ายขึ้นอีกหน่อย :D
จุดเด่น
- หน้าจอ Waterdrop ขนาดใหญ่ 6.5 นิ้ว เต็มตา
- ดีไซน์เรียบหรู ตัวเครื่องแน่นหนา จับได้ถนัดมือ
- ระบบปฏิบัติการภายในตัวใหม่ทำงานลื่นไหล มี Hyperboost
- กล้องหลังคู่ 48 ล้านพิกเซล Portrait สวย แม้แสงน้อยจริง ๆ
- แบตเตอรี่ความจุเยอะสะใจ มี VOOC 3.0
จัดสังเกต
- ยังคงใช้พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ micro-USB
- ถาดซิมเป็นแบบไฮบริด
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite