Review : Xiaomi Mi9 เรือธงประสิทธิภาพสุด ในราคาค่าตัวไม่ถึง 17,000 บาท !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดของ Xiaomi ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปสด ๆ ร้อน ๆ กับ Xiaomi Mi9 นั่นเองซีรีส์เรือธงแบบนี้ก็มีชื่อชั้นในเรื่องของสเปคที่จัดเต็ม ดีไซน์ที่เรียบหรูน่าสนใจ กล้องที่ครบครันพร้อมถ่ายทุกสถานการณ์ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของราคาและโปรโมชั่นนี่แหละ เอ้า ! เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว อย่ารอช้าเลยดีกว่ามาอ่านรีวิวฉบับเต็มของ Xiaomi Mi9 กันเลยดีกว่าว่าเด็ดแค่ไหน :D
เริ่มที่กล่องกันก่อนเลย
ก่อนจะไปที่ตัวเครื่องมาเริ่มที่การแกะกล่องกันก่อนเลย สำหรับ Mi9 จะมาพร้อมกับกล่องทรงมาตรฐาน มีการเล่นเฉดสีรุ้งที่ตัวกล่อง เวลาบิดมุมต่าง ๆ จะมีความแวววาวเล็กน้อย ด้านหน้ากล่องมีเลข 9 อยู่เด่น ๆ ไม่ผิดรุ่นแน่ ๆ
ตัวเครื่องที่เราได้มานั้นเป็นเครื่อง Global Version แล้ว ก็หมายความว่าคือเครื่องศูนย์ไทยเลย มาเช็คอุปกรณ์ที่ให้มากันเลยว่ามีอะไรบ้างครับ
แกะเช็คเอาออกมาวางเรียงกันให้หมดก็จะมีด้วยกัน 7 อย่างดังนี้ครับ
- ตัวเครื่อง Mi9
- คู่มือการใช้งาน
- สาย Dongle แปลง 3.5 มม.เป็น Type-C
- สาย USB Type-C
- อแดปเตอร์รองรับ QC 3 (18W)
- เข็มจิ้มถาดซิม
- เคส
ก็ถือว่าให้มาครบตามสไตล์ของ Xiaomi ตัวหูฟังไม่ได้มีแถมมาเป็นปกติอยู่แล้วเนาะ เคสที่ให้มาจะเป็นสีแบบซิลิโคนสีขุ่น ๆ หน่อย ครับประกอบร่างแล้วก็จะมีหน้าตาประมาณนี้เลย
ยลโฉมพระเอกของเรา !
ได้เวลามาชมตัวเครื่องชัด ๆ กันแล้วครับ สำหรับ Mi9 จะมาพร้อมกับดีไซน์ทรงคุ้นตาของมาตรฐาน #มือถือ2019 ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ด้านหน้า พร้อมติ่ง Dot Drop เล็ก ๆ ที่ด้านบน ใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.39 นิ้ว ครอบมาด้วยกระจก Gorilla Glass 6 เพิ่มความแข็งแรงทนทานได้เป็นอย่างดี
การแสดงผลก็ทำได้ดีไม่แพ้กันเพราะได้หน้าจอ AMOLED ความละเอียด FHD+ ให้สีสันที่สวยสด และมีค่าความสว่างสูงสุดที่ 600nit มีค่าสี NTSC แม่นยำถึง 103.8% รองรับการแสดงผลแบบ HDR และมาในอัตราส่วนหน้าจอแบบ 19.5:9
ขอบหน้าจอต่าง ๆ ทำได้บางเฉียบดีทีเดียว ทำให้ตัวเครื่องดูไม่ใหญ่จนเกินไป ถึงแม้ว่าตัวหน้าจอจะให้มาใหญ่ถึง 6.39 นิ้วก็ตาม ขนาดตัวเครื่องเรียกว่าบางและเบาใช้ได้เลย ตัวเครื่องดีไซน์แบบหลักโค้งให้จับถือได้ถนัดมือ ด้วยความบางเพียง 7.61 มม. และเบาเพียง 173 กรัมเท่านั้น
เหนือหน้าจอจะเห็นว่ามีกล้องหน้าอยู่ที่ติ่ง Dot Drop ด้านบนและแถบลำโพงยาวพาดอยู่เหนือสุด ส่วนตรงมุมบนนี้ยังมีไฟ LED แจ้งเตือนซ่อนอยู่ด้วย ถือว่าดีมาก ๆ เพราะปกติเรามักจะไม่ค่อยเห็นไฟแจ้งเตือนแบบนี้แล้วบนสมาร์ทโฟนจอเต็มในยุคนี้เนาะ
ขอบจอด้านล่างก็บางเฉียบเอามาก ๆ เมื่อเทียบกับรอบ ๆ ตัวเครื่องแบบนี้ ภายในหน้าจอมีซ่อนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเข้าไปด้วยนาจา ล้ำอีกแล้ว
กรอบเครื่องจะเป็นโลหะผิวมัน มีความโค้งเล็ก ๆ ให้จับถือได้สะดวกและไม่บาดมือ เนียนเรียบไปกับตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี
ปุ่มกดหลักยังคงอยู่ที่ด้านขวามือของตัวเครื่อง เริ่มเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงแถบยาว ๆ และปุ่ม Power อยู่ถัดลงมา
ส่วนด้านซ้ายมือมีการเพิ่มปุ่ม Google Assistant เข้ามา ให้เราได้เรียกผู้ช่วยออกมาได้ทันทีทันใดที่ตรงนี้เลย หรือถ้าอยากจะเปลี่ยนปุ่มเป็นการใช้งานอย่างอื่นเช่น เปิดกล้องเพื่อเซลฟี่, เปิดไฟฉาย หรือเปิดโหมด Reading mode ก็ได้เช่นกันครับ
ช่องใส่ซิมก็จะอยู่ที่มุมซ้ายมือนี่เช่นกันครับ โดยถาดซิมจะเป็นแบบ 2 ซิม รองรับ 4G ทั้ง 2 ซิม อย่างที่ทราบกันดีซีรีส์เรือธงของ Xiaomi ไม่สามารถเพิ่ม micro-SD ได้เหมือนเคย
พอร์ตการเชื่อมต่ออยู่ที่ด้านล่างตัวเครื่องครับเป็น USB Type-C และมีลำโพงหลักของตัวเครื่องและไมโครโฟนอยู่ที่ด้านล่างนี้ (ฝั่งซ้ายไมค์ ฝั่งขวาลำโพง) ไม่ใช่ลำโพงคู่นาจา
ส่วนด้านบนมีไมโครโฟนตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวนและยังมี IR Blaster ไว้ใช้งานเป็นรีโมทความบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ครับ
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลังเราจะเห็นดีไซน์ฝาหลังโค้งอย่างที่บอกไปครับ ตัวกระจกที่ด้านหลังนั้นโค้งสวยทั้ง 4 มุม มีความสะท้อนแวววาวเล็ก ๆ ด้วย สีที่เราได้มารีวิวเป็นสี Piano Black สะท้อนได้ประหนึ่งกระจกเลยทีเดียว
ตำแหน่งกล้องยังคงวางไว้ที่มุมซ้ายบนของด้านหลัง รอบนี้อัปเกรดขึ้นมาเป็นกล้อง 3 ตัวเลยทีเดียว เรียงกันลงมาสวย ๆ พร้อมกับกรอบสี Halo Ring สวย ๆ ที่ตัวเลน Tele (ตัวบนสุด) อีกด้วย
ด้วยความบางของตัวเครื่องกรอบเลนส์เลยแอบนูนขึ้นมาจากตัวเครื่องพอสมควร แต่ไม่ต้องห่วงว่าตัวกรอบจะเป็นรอยได้ง่ายเพราะมีการครอบด้วยกระจกแบบแซฟไฟร์ ที่ทนทานสูง แต่ตรงนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะถ้าใส่เคสเข้าไปก็ช่วยเพิ่มระดับให้สมดุลขึ้นได้ครับ
รวม ๆ แล้วดีไซน์ของ Mi9 ก็ถือว่าทำได้ดีทีเดียว จุดที่ชอบจริง ๆ คงเป็นเรื่องความโค้งของฝาหลังและความบางที่ทำได้ดี ถึงแม้จะดูบางแต่ก็แน่นหนาจับได้อย่างถนัดมือ และดูสวยพรีเมี่ยมมาก ๆ ครับ
สำหรับสีที่วางจำหน่ายในบ้านเราจะมีทั้งหมด 2 สีคือ Piano Black และ Ocean Blue ครับ โดย 2 สีหลังจะมีการทำเฉดสีที่ด้านหลังสะท้อนสวยเหมือนโฮโลแกรมด้วย แปลกตาดีครับ
สเปค Xiaomi Mi9
- หน้าจอ AMOLED 6.39 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (19.5:9)
- ซีพียู Snapdragon 855 Octa-core 2.84GHz
- จีพียู Adreno 640
- แรม 6GB
- ความจุ 128GB
- แบตเตอรี่ 3300 mAh
- รองรับชาร์จไว QC 4.0 (27W)
- รองรับชาร์จไวแบบไร้สาย 20W
- กล้องหน้า 20 ล้านพิกเซล f/2.0
- กล้องหลัง 3 ตัว 48 + 16 + 12 ล้านพิกเซล f/1.8 + f/2.2 + f/2.2
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- รองรับระบบสแกนใบหน้า
- รองรับ 2 ซิม
- รัน Android 9.0 Pie ครอบด้วย MIUI10
ในส่วนสเปค บอกเลยว่ารุ่นเรือธงของ Xiaomi ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน รุ่นนี้ให้สเปคจัดเต็มแบบสุด ๆ ด้วยหน่วยประมวลผลเรือธง Snapdragon 855 ตัวท็อปสุด, แรม 6GB, ความจุ 128GB, แบตเตอรี่ 3300 mAh รองรับการชาร์จไวทั้งแบบสายและไร้สาย กล้องหน้าหลังที่จัดเต็มมากขึ้นไปอีก ในเรื่องสเปคไม่ผิดหวังจริง ๆ ใช่ไหมล่ะครับ
เร็ว แรง ด้วย Snapdragon 855 !
Xiaomi มักจะเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่ได้หน่วยประมวลผลตัวท็อปสุดแบบนี้มาตลอด ซึ่งบน Mi9 นี้ก็ได้ชิปเซ็ตตัวท็อปสุดของปีนี้อย่าง Snapdragon 855 มาเลย ประสิทธิภาพภายในนั้นเร็ว แรง สะใจแน่นอน ด้วยสถาปัตยกรรมแบบใหม่ 7 นาโนเมตร ให้ประสิทธิภาพของ CPU เร็วกว่ารุ่นก่อน (Snapdragon 845) ถึง 45% และ GPU เร็วกว่าเดิมอีก 20% โอ้โห ! ของเดิมก็ว่าแรงแล้ว เจอตัวนี้ไป แรงทะลุมิติไปเลยจ้า
ทดสอบคะแนนให้เลย แรง ๆ แบบนี้ออกมาเท่าไหร่ !?
โดยแอปที่เราใช้ทดสอบรอบนี้จะใช้ทั้ง AnTuTu Benchmark และ GeekBench 4 เลย โดยคะแนนที่ได้นั้นบอกเลยว่าสุดอย่างที่บอกไว้จริง ๆ ครับ ได้คะแนนจากแอป AnTuTu Benchmark ไปถึง 366650 คะแนน บอกเลยว่าสูงที่สุดใน Rank ตอนนี้เลยครับ *0*
ส่วนตัวแอป GeekBench ก็ได้คะแนนที่สูงมาก ๆ ไม่แพ้กัน โดยคะแนน Single-Core ได้ไป 3441 คะแนน และ Multi-core ไปถึง 10474 คะแนนเลย สูงมาก ๆ
เล่นเกมกันเลยเถอะ !
เห็นสเปคแรง ๆ แบบนี้แล้ว คะแนนก็สูง ก็คงต้องมาทดสอบจริงกับการเล่นเกมกันเลย โดยเกมที่เราจะมาทดสอบนี้ก็หนีไม่พ้น PUBG และ ROV อีกเช่นเคย เอาจริง ๆ ด้วยสเปคระดับนี้แล้ว แทบไม่ต้องห่วงเลย แต่ก็ยังอยากเล่นดูเนอะ :P
สำหรับ PUBG นั้นสามารถปรับคุณภาพกราฟิกได้สูงสุดที่ระดับ HDR และเฟรมเรตไปถึง Ultra กันไปเลย และแน่นอนว่าจะปรับสุดแค่ไหน ตัวเกมก็ยังเล่นได้ลื่น ๆ ไม่มีปัญหาเลยครับ เฟรมเรตในเกมนั้นเรียกว่านิ่งมาก ๆ นี่คือประสิทธิภาพของ Snapdragon 855 โดยแท้เลย
สำหรับ ROV อีกเกมที่เล่นได้อย่างลื่นไหลอยู่แล้ว ในการลองเล่นนี้ปรับคุณภาพกราฟิกไปไว้ที่ระดับสูงสุดทั้งหมด เปิดภาพ HD ด้วย เฟรมเรตในเกมนั้นนิ่งแบบสุด ๆ ที่ 60fps แบบที่ไม่มีตกเลย นี่สินะหน่วยประมวลผลระดับเรือธง
ระบบปฏิบัติการล่าสุดทำงานลื่นไหล
ในส่วนของระบบปฏิบัติการ Mi9 นั้นให้ Android 9.0 Pie ที่ครอบทับมาด้วย MIUI10 ทำให้การทำงานโดยรวมลื่นไหลเอามาก ๆ มีการลดพวกอนิเมชั่นต่าง ๆ ลง เวลาเปิดแอป เข้าเกมทำได้รวดเร็วกว่าเคย
ในส่วนของ MIUI10 ก็ขึ้นชื่อเรื่องความเสถียรและออกอัปเดตต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เท่าที่ลองใช้มา็มีอัปเดตซอฟต์แวร์อยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้ตัวเครื่องนั้นเสถียรอยู่ตลอดเวลาครับ
สแกนนิ้วบนหน้าจอด้วยรุ่นนี้
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจของรุ่นนี้คือระบบรักษาความปลอดภัยที่ Mi9 ให้มาทั้งระบบสแกนใบหน้า อันนี้คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่ระบบสแกนลายนิ้วมือรอบนี้ก็ย้ายมาไว้บนหน้าจอเรียบร้อยแล้วด้วย ช่วยให้ใช้งานได้อย่างสะดวกมากขึ้น แตะได้จากที่หน้าจอด้านหน้าได้อย่างง่ายดายครับ
กล้องหลัง 3 ตัวชูจุดเด่นครบทุกมุมมอง
นอกจากสเปคจะเร็วแรงสะใจแบบสุด ๆ แล้ว กล้องหลังของรุ่นนี้ก็ถือเป็นอีกจุดเด่นมาก ๆ เพราะเรือธงสมัยนี้กล้องก็ต้องเด่นด้วย Mi9 ให้กล้องหลังมาถึง 3 ตัว พร้อมความละเอียดสูงสุด ๆ ถึง 48 + 16 + 12 ล้านพิกเซล แบ่งออกเป็น 3 ช่วง 3 ระยะดังนี้ครับ
- กล้องหลัก - 48 ล้านพิกเซล f/1.75, Laser Autofocus, PDAF
- กล้อง Ultra Wide - 16 ล้านพิกเซล f/2.2, มุมกว้าง 117 องศา
- กล้อง Tele 2X - 12 ล้านพิกเซล f/2.2, Macro ได้ใกล้ 4 ซม.
ฮาร์ดแวร์ว่าดีแล้ว ตัวซอฟต์แวร์ก็ฉลาดต่อการใช้งานด้วยระบบ AI ที่จะมาแยกแยะซีนของภาพได้อย่างหลากหลาย และเพิ่มการปรับแต่งของภาพถ่ายให้สวยยิ่งขึ้น โดยที่เราแทบไม่ต้องปรับแต่งอะไรเลย
สำหรับการใช้งานกล้องก็สามารถกดสลับกล้องไปมาได้อย่างง่ายดาย ถ้าอยากจะซูมภาพใช้กล้อง Tele 2X ก็สามารถกดที่ไอคอน 1X ไป 2X ได้เลย หรือถ้าอยากเปลี่ยนมาใช้กล้อง Ultra Wide ก็มีไอคอนรูป Ultra Wide แยกออกมาอยู่ที่มุมซ้ายให้ได้กดง่าย ๆ ครับ
ตัวเลนส์ Ultra Wide นั้นมีมุมกว้างที่ 117 องศาช่วยให้การถ่ายภาพนั้นแปลกตาไปจากมุมมองที่เราคุ้นชินได้พอสมควร ข้อดีของกล้อง Ultra Wide บน Mi9 ก็คือเรายังสามารถแตะโฟกัสได้ด้วย ไม่ใช่ Fixed Focus ที่เข้าใกล้ไม่ได้น่ะนะ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ Mi9 ในโหมด Auto จะเห็นว่าภาพที่ได้นั้นออกมาสวยงามใช้ได้เลย คุณภาพโดยรวมของกล้องทั้ง 3 ตัวทำได้ดีทีเดียว AI ค่อนข้างฉลาดในการแนะนำซีน ส่วนช่วงระยะทั้ง 3 ที่ให้มาก็ถือว่าตอบโจทย์ในการถ่ายภาพได้เป็นอย่างดี มุมกว้าง 117 องศาช่วยให้เราได้ภาพกว้างโดยที่ภาพไม่เว้าจนเกินไป ตัวกล้องหลังที่ค่ารูรับแสงกว้างก็ช่วยให้ได้ภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น
Night mode ถ่ายกลางคืนสวยด้วยมือเปล่า
โหมดที่เข้ามาเรียกความสนใจของสมาร์ทโฟนตุคนี้ได้คงหนีไม่พ้น Night mode ซึ่งรุ่นนี้ก็มีมาให้ และใช้งานได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องพึ่งขาตั้งเลย ตัวกล้องจะมีการประมวลผลรวมภาพจากหลาย ๆ สภาพแสงเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามสุด ๆ
เปรียบเทียบตัวอย่างภาพถ่ายโหมด Auto กับ Night Mode เห็นได้ชัดว่าใน Night Mode นั้นมีการเก็บภาพในหลาย ๆ สภาพแสงแล้วรวมเข้าด้วยกันอย่างลงตัวกว่าในโหมด Auto ปกติ ฉากหน้ามีแสงสว่างที่เท่า ๆ กับฉากหลัง รวมถึงแสงภายในตัวตึกก็ยังเห็นรายละเอียดที่ชัดเจนกว่า
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Night mode
Portrait โหมด หน้าชัดหลังเบลอ ปรับความเบลอได้
โหมดหน้าชัดหลังเบลอของ Mi9 จะสลับกลับมาใช้เลนส์ Tele ตัวที่ 2 แทน ทำให้ได้ช่วงซูมที่ 2X ได้ระยะสำหรับการถ่าย Portrait พอดี เราสามารถเลือกปรับระดับความเบลอของฉากหลังได้ด้วย หรือถ่ายเสร็จแล้วก็ยังสามารถมาเลือกพวกเอฟเฟกต์ของฉากหลังได้อีกด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait
กล้องหน้า 20 ล้านพิกเซลเซลฟี่สวย
ในส่วนของกล้องหน้าก็ได้ความละเอียดสูงถึง 20 ล้านพิกเซลมาเลย มีโหมด Portrait ละลายฉากหลังได้สวยเนียน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Xiaomi Mi9
หน้าจอใหญ่ดูหนังแจ่ม ๆ
ตัว Mi9 ให้ขนาดหน้าจอมาที่ 6.39 นิ้ว ถือว่าใหญ่กำลังดีสำหรับการใช้งานดูคอนเทนต์ต่าง ๆ แถมตัวติ่งบนหน้าจอยังเล็กแค่ Dot Drop เท่านี้เอง ไม่รบกวนสายตาเราเวลาเปิดวิดีโอเต็มจอ หรือเล่นเกมเท่าไหร่ ในเรื่องการแสดงผลก็ทำได้ดีมาก ด้วยหน้าจอ AMOLED ที่มีความละเอียด FHD+ ครับ
ส่วนเรื่องเสียงรุ่นนี้ให้ลำโพงอยู่ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง วางตำแหน่งได้ดีทีเดียว เสียงที่ออกมาถือว่าดังใช้ได้ ส่วนการใช้งานผ่านหูฟัง ยุคนี้คงไม่ต้องบ่นเท่าไหร่แล้วว่าไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม. เพราะเชื่อว่าหลายคนคงชินจนอาจมีหูฟังที่เป็นพอร์ต Type-C อยู่แล้วล่ะมั้ง หรือถ้าไม่มีจริง ๆ ในกล่องยังแถมตัว Dongle มาแปลงสายให้อยู่นาจา
แบตเตอรี่และการชาร์จ
ในส่วนของการใช้งานแบตเตอรี่ Mi9 ให้ความจุมาที่ 3300 mAh ถือว่าอยู่ในเกณฑ์กลาง ๆ เทียบกับการใช้งานโดยรวมถือว่าทำได้ค่อนข้างดีครับ ใช้งานทั่วไปได้ทั้งวันอยู่ แต่ถ้ามีการเล่นเกมหนัก ๆ หรือถ่ายรูปเยอะ ๆ ก็อาจจะต้องเผื่อหาเวลาชาร์จอยู่นิดหน่อย
แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องชาร์จเลย เพราะ Mi9 นั้นรองรับระบบชาร์จไว Quick Charge 4.0 (27W) ช่วยให้ชาร์จได้ไวมาก ๆ บวกกับแบตเตอรี่ที่ไม่เยอะมาก ทำให้ใช้เวลาชาร์จแป๊บเดียวก็คืนแบตเตอรี่มาได้เยอะแล้ว
ชาร์จไร้สายก็เร็ว นอกจากชาร์จแบบสายปกติแล้ว ระบบชาร์จไร้สายของ Mi9 ยังทำได้ดีมาก ๆ ถือว่าเป็นรุ่นแรกเลยที่รองรับการชาร์จไร้สายที่ความเร็ว 20W เร็วพอ ๆ กับชาร์จแบบสายของบางรุ่นเลยทีเดียวล่ะครับ
ราคาและโปรโมชั่น
สำหรับราคาค่าตัวของ Xiaomi Mi9 นั้นจะอยู่ที่ 16,999 บาท โดยเปิดให้จองล่วงหน้า พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษจาก AIS HOT DEAL มอบส่วนลดค่าเครื่องสูงสุดถึง 4,500 บาท เหลือเพียง 12,499 บาท จากราคาปกติ16,999 บาท เมื่อสมัครแพ็กเกจ 899 บาทขึ้นไป และชำระค่าบริการล่วงหน้า 2,000 บาท พร้อมรับชมคอนเทนต์ความบันเทิงระดับโลก ฟรี! ตลอด 6 เดือนเต็ม บนแอปฯ AIS PLAY และแพ็กแกจเสริม PLAY MOVIES
สามารถสั่งจอง Xiaomi Mi 9 ล่วงหน้าได้ทาง AIS Online Store ที่ store.ais.co.th ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2562 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป โดยสินค้าจะจัดส่งถึงบ้านตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2562 เป็นต้นไป
ลูกค้าทั่วไปสามารถซื้อได้ทุกช่องทางวันที่ 23 เมษายน 2562 เป็นต้นไป พิเศษยิ่งกว่า! สำหรับลูกค้าเอไอเอสรายเดือน 500 ท่านแรกที่สั่งจอง รับฟรี Mi Exclusive Gadget Set มูลค่า 2,288 บาท ประกอบด้วย 20W Wireless Charger ที่ชาร์จไร้สาย, Mi Car Charger Pro 18W ที่ชาร์จเร็วในรถยนต์ และ Mi Compact Bluetooth Speaker 2 ลำโพงเสียงทรงพลังขนาดพกพา สำหรับลูกค้าเอไอเอสที่จองเป็นคนที่ 501 - 1,000 รับฟรี! Mi Compact Bluetooth Speaker 2 มูลค่า 299 บาท
สรุปผลการใช้งาน
ก็ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่มีความแรงจัดเต็มที่เชื่อว่าถูกใจสายเล่นเกมฮาร์ดคอร์อย่างแน่นอน ด้วยสเปคภายในที่จัดเต็มแบบขั้นสุด จะเล่นเกม จะทำทุกอย่างลื่นไปหมด แถมได้ดีไซน์บอดี้ที่สวยงามด้วยฝาหลังกระจกสวยงาม จับได้ถนัดมือสุดๆ ในเรื่องกล้องก็มีการเพิ่มกล้องหลังมาเป็น 3 ตัวเรียบร้อย ใช้งานต่างๆได้อย่างเหมาะสมและเข้ากับยุคที่ใครๆก็ต้องมี Portrait, มีเลนส์มุมกว้าง หรือมีช่วงซูมที่พอเหมาะพอเจาะ โดยรวมแล้วถือว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นเรือธงที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งเลยล่ะครับ :D
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite