Review : Samsung Galaxy A6 และ A6+ สองพี่น้องคู่ใหม่ที่จะมาเติมเต็มด้วยกล้องความละเอียดสูงและหน้าจอ Full Front Display !!
สวัสดีเพื่อนๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆกับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับสมาร์ทโฟน 2 รุ่นใหม่จาก Samsung กับ Galaxy A6 และ A6+ นั่นเอง ก็ถือว่าเป็นการเปิดรุ่นใหม่อีกครั้งหลังจากที่มีรุ่นเลขคี่อย่าง A5, A7 ไปและรุ่น A8 ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งรุ่น A6 นี้จะเป็นรุ่นกลางของซีรีส์ที่มาแทนที่ J7 Series ในปีที่แล้วนั่นเองครับ ส่วนจะน่าสนใจกว่าเดิมแค่ไหนเรามาอ่านรีวิวไปพร้อมๆกันเลยดีกว่าครับ :D
รูปลักษณ์ใหม่ด้วยหน้าจอ FullFront Display!
เริ่มต้นกันด้วยการดีไซน์กันก่อนเลย Galaxy A6 Series นั้นจะใช้ดีไซน์หน้าจอแบบเดียวกับรุ่นพี่ A8 คือใช้หน้าจออัตราส่วน 18.5:9 ซึ่งยาวกว่าหน้าจอมาตรฐานเดิมๆที่เคยมีมา แต่ก็ยังต่างจากรุ่นเรือธงอย่าง Galaxy S หรือ Galaxy Note ที่เป็นจอโค้งอยู่ ตรงนี้ทาง Samsung จึงใช้ชื่อเรียกว่า Full Front Display แทนที่ Infinity Display ของเรือธงนะครับ (เรียกกันให้ถูกล่ะ :P)
ด้วยความที่หน้าจอด้านหน้ายาวๆแต่ไม่โค้งจึงออกมาคล้ายกับ A8 Series พอสมควร ตัวขอบบนล่างดูบางลงแต่ก็ไม่ถึงกับบางเฉียบมากนัก เว้นพื้นที่ให้วางนิ้วเวลาจับถือเครื่องนิดหน่อย หน้าจอแน่นอนว่าขนาดแตกต่างกันอยู่แล้ว โดยรุ่น A6 ปกติมาพร้อมขนาดหน้าจอ 5.6 นิ้ว HD+ ส่วน A6+ ให้มาที่ 6 นิ้ว FHD+ ใช้ชนิดหน้าจอเป็น Super Amoled ทั้งคู่ครับ
ตำแหน่งการวางเหมือนกันครับเริ่มจากกล้องหน้า, ลำโพงสนทนา, เซ็นเซอร์วัดระยะ เซ็นเซอร์วัดแสง และไฟแฟลช LED สำหรับกล้องหน้าครับ
ตัวขอบหน้าจอของทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างกันนิดหน่อยระหว่าง A6 และ A6+ คือรุ่น A6 ปกตินั้นจะใช้ขอบจอแบบเหลี่ยมได้ชัดเจนมาก ส่วนบน A6+ นั้นจะมีความโค้งที่มุมแบบเดียวกับ A8 นะครับ ตรงนี้ก็แปลกดีที่ไม่ทำให้เหมือนกันเนาะ
วัสดุงานประกอบของรุ่นนี้ดูดีทีเดียวถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นล่างของซีรีส์แต่วัสดุก็ใช้เป็น Metal Unibody ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งและเย็นเวลาจับถือ ผิวสัมผัสเป็นแบบด้านๆจับถือได้ง่ายและไม่ลื่นหลุดมือ บอดี้แบบนี้เรามักจะเห็นบน Galaxy J7 ในปีที่แล้วซะมากกว่าบนซีรีส์ A เนอะ
ตำแหน่งการวางกล้องหลังวางไว้ตรงกลางเหมือนกัน กล้องหลังของ 2 รุ่นนี้จะแตกต่างกันนิดหน่อยคือรุ่น A6 นั้นให้เลนส์กล้องมาเพียงตัวเดียว ส่วน A6+ ได้เลนส์กล้องหลังคู่มานะจ๊ะ ส่วนเรื่องการใช้งาน เดี๋ยวมาอธิบายต่อในหมวดกล้องเนาะ
ด้วยความที่เป็นโลหะด้านหลังจึงจำเป็นต้องมีเสาอากาศหรือ Anthena ด้วย แต่การวางตำแหน่งของเสาอากาศก็สวยๆแบบเดียวกับตอน J7 Pro อยู่ครับ ไม่ใช่เรียบๆเป็นเส้นคาดที่ดูและขัดตาเอามากๆ
รอบๆตัวเครื่องก็จะเป็นโลหะไปทั้งหมดด้วยความที่บอดี้เป็นแบบ Unibody แบบนี้แล้ว ปุ่มกดต่างๆวางอยู่ในตำแหน่งของสมาร์ทโฟน Samsung ครับ ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงอยู่ด้านซ้ายมือแยกเป็น 2 ปุ่มบนล่างชัดเจน
ช่องใส่ซิมก็ด้านซ้ายนี้เช่นกัน แบ่งเป็นช่องบนถาดใส่ซิม 1 และช่องล่างถาดใส่ซิม 2 และ Micro-SD ครับ เท่ากับว่าเป็น 3 Slot สามารถใส่ได้ 2 ซิมพร้อมกับเพิ่ม Micro-SD ได้ด้วยครับ
ลำโพงยังคงวางตำแหน่งไว้ที่ด้านขวามือของตัวเครื่องอยู่ และมีปุุ่ม Power อยู่ถัดลงมาครับ
ตัวพอร์ตการเชื่อมต่อของรุ่นนี้ยังคงใช้เป็น Micro-USB ไม่ใช่ USB Type-C แบบรุ่นพี่นะครับ แจ็คหูฟัง 3.5 มม.ยังคงมีอยู่ไม่ถูกตัดออกไปนะจ๊ะ
ขนาดตัวเครื่องของทั้ง 2 รุ่นค่อนข้างพอเหมาะกับไซซ์หน้าจอดี น้ำหนักการจับถือก็ทำได้ดีครับ ส่วนตัวผมชอบวัสดุที่เป็นโลหะแบบนี้มากกว่ากระจกนะ เพราะถึงแม้จะไม่ได้วิบวับสวยงามมากแต่ก็ไม่ลื่นมือและดูทนทานกว่าด้วย
รวมๆแล้วในเรื่องดีไซน์ของ GalaxyA6 ทั้ง 2 รุ่นนี้ก็ทำได้ดีทีเดียวครับ เหมือนเป็นการผสมผสานระหว่าง Galaxy A เดิมกับ Galaxy J ได้อย่างลงตัว หน้าจออัตราส่วนใหม่ที่ยาวและสวยขึ้น, บอดี้โลหะที่ทำได้เนียนมือไปทั้งตัว ก็ด้วย สำหรับ A6 นั้นจะวางจำหน่ายในบ้านเราทั้งหมด 2 สีคือ ดำกับทอง ส่วน A6+จะมีน้ำเงินเพิ่มเข้ามาอีกสีเป็น ดำ, ทองและน้ำเงินครับ
สเปค Samsung Galaxy A6 | A6+
- รัน Android 8.0 Oreo ครอบด้วย Samsung Experience 9.0
- หน้าจอ Super Amoled 5.6" HD+ (A6) | 6" FHD+ (A6+)อัตราส่วน 18.5:9
- ชิปเซ็ต Exynos 7870 Octa-core 1.6GHz (A6) | Snapdragon 450 Octa-core 1.8GHz
- ชิปกราฟิก Mali-T830 GPU (A6) | Adreno 506 GPU (A6+)
- แรม 3GB (A6) | 4GB (A6+)
- รอม 32GB
- รองรับ Micro-SD สูงสุด 256GB (A6) | 400GB (A6+)
- แบตเตอรี่ 3000mAh (A6) | 3500mAh (A6+)
- กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล f/1.9 (A6) | 24 ล้านพิกเซล f/1.9 (A6+)
- กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล f/1.7 (A6) | กล้องหลังคู่ 16 + 5 ล้านพิกเซล f/1.7 + f/1.9 (A6+)
- รองรับ 2 ซิม
- รองรับสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง
จะเห็นว่ารอบนี้ Samsung เลือกสเปคภายในของรุ่นปกติและ + ได้แตกต่างกันพอสมควร ไม่ใช่แค่ขนาดหน้าจอหรือกล้องหลัง แต่หลักๆแล้วต่างกันแทบหมดตั้งแต่ไซซ์และความละเอียดของหน้าจอ, หน่วยประมวลผลที่เลือกใช้ Exynos 7870 กับ A6 ส่วน A6+ ใช้ Snapdragon 450, แรมที่ต่างกัน 1GB (แน่นอนว่า A6+ มากกว่า), แต่จุดที่แตกต่างกันชัดเจนเลยคงเป็นกล้องที่ทั้งหน้าหลังห่างกันพอควร เริ่มจากกล้องหน้าที่ A6 ได้มา 16 ล้านพิกเซล ส่วน A6+ อัดให้เต็มที่ 24 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหลังก็เป็นกล้องเดี่ยวกับกล้องคู่ไปเลยซะงั้น จัดสเปคมาได้ชวนสับสนกันพอควรเลยล่ะรอบนี้
ผลทดสอบประสิทธิภาพล่ะ ?
แน่นอนว่าด้วยหน่วยประมวลผลและแรมที่ต่างกันผลการทดสอบก็ต่างกันออกไปด้วยนิดหน่อย ซึ่งเท่าที่ทดสอบมาตัว A6+ จะทำคะแนนทิ้งห่างไปอีกนิดหน่อยด้วยหน่วยประมวลระดับสูงกว่าอย่าง Snapdragon 450, ส่วนของ A6 ที่ใช้ Exynos 7870 นั้นก็ตามคาดครับห่างกันอยู่หลักพันคะแนน
Android Oreo แล้วนาจา !
ในส่วนของระบบปฏิบัติการนั้นก็มีการอัปขึ้นมาให้เป็น Android 8.0 Oreo กับเขาแล้ว โดยตัว UI ครอบก็เป็นเวอร์ชั่น 9.0 มาแล้ว จริงๆคือเวอร์ชั่นเดียวกับ S9 มาเลย แต่หน้าตาจริงๆก็ยังไม่เห็นความต่างจากตัวเก่าบน A8 เท่าไหร่นักครับ
ตัวไอคอนจะเป็นชุดใหม่จาก S9 เลย แต่เท่าที่สังเกตจริงๆก็ต่างกันอยู่ไม่กี่ตัว อย่าง Gallery หรือ Messege นี่เปลี่ยนไปเป็นสีสดๆหน่อยแค่นั้นเอง Wallpaper และธีมตั้งต้นก็ใช้เป็นแบบเดียวกับของ A8 เลยครับ ไม่ต่างกันมาก
ระบบ Theme ยังคงมีให้เลือกดาวน์โหลดมาใช้งานกันเหมือนเคย โดยการเข้าถึงก็ไม่ยากเย็นครับแตะค้างที่หน้าจอหรือจีบนิ้วเข้าหากันในหน้าโฮม ก็จะเจอทางลัดเข้ามาในหน้า Wallpaper and Themes ในนี้จะมีให้เราเลือกดาวน์โหลดทั้ง Wallpaper, Theme หรือ icon ก็ได้เช่นกันครับ
ไม่รู้ด้วยความที่ฮาร์ดแวร์บางอย่างต่างกันด้วยหรืออะไร ฟีเจอร์อย่าง Always on Display (AOD)นั้นมีมาให้เลือกเฉพาะบน A6+ เท่านั้น บน A6 รุ่นปกติไม่มีฟีเจอร์นี้ติดมาแต่อย่างใดครับ
เพราะฉะนั้นตัวปุ่มโฮมเสมือนที่โชว์บนหน้า AOD ก็เลยมีเฉพาะบน A6+ เช่นกัน แต่ตรงนี้ก็สามารถใช้งานได้เฉพาะเวลาเปิด AOD เท่านั้นนะครับ เราไม่สามารถกดลงไปขณะที่หน้าจอล็อกแบบเดียวกับรุ่นเรือธงได้จ้า
Secure Folder ที่ซ่อนลับไฟล์ลับเฉพาะเรา
แอป Secure Folder นี้ก็ยังมีติดเครื่องมาให้อยู่ โดยแอปนี้จะให้เราแยกแอปบางแอปขึ้นมาอีกอัน เป็นของส่วนตัวของเรา อาทิ Gallery, Camera, Contacts, Email, Internet และ My Files นอกจากนี้ถ้ายังไม่พอก็สามารถเพิ่มแอปอื่นๆได้อีก ซึ่งแอปที่อยู่ในนี้จะเป็นคนละตัวกับที่อยู่ข้างนอกปกติเลย ทำให้เราสามารถสร้างบัญชีอื่นๆอย่างพวก Line หรือ Facebookขึ้นมาอีกอันในเครื่องเดียวได้นั่นเอง หรือจะเอาไว้เก็บไฟล์ที่ไม่อยากให้ใครดู ถ่ายรูปเฉพาะที่ไม่อยากให้ใครเห็นก็ทำได้เต็มที่ใน Secure Folder นี้เลยจ้ะ :P
Dual Messenger แบ่งแอปแชทก็มีนะ
นอกจากแอป Secure Folder ที่สามารถแยกแอปแชทอย่าง LINE, Messenger แล้วก็ยังมีระบบ Dual Messenger ที่แยกแอปแชทต่างๆออกมาเป็นอีกหนึ่งแอป แต่ตรงนี้จะง่ายกว่าเพราะเราไม่จำเป็นต้องเข้าไปในหน้า Secure Folder แล้ว ตัวแอปจะแยกออกมาอีกหนึ่งไอคอนเลย (มีสีส้มๆแปะอยู่ที่ไอคอน) การเข้าไปเลือกเปิด Dual Messenger ก็เข้าไปตั้งค่ากันได้ที่ Settings > Advanced Features > Dual Messenger ครับ
ผู้ช่วย Bixby
ถึงแม้ตัวเครื่องจะไม่มีปุ่ม Bixby มาให้กดแบบเรือธง แต่ตัวระบบภายในก็ใส่ Bixby มาให้ด้วยเช่นกัน โดยจะอยู่ที่หน้าซ้ายสุดของ Home Screen ความสามารถต่างๆก็ใกล้เคียงกับรุ่นพี มีหน้ารวมข้อมูลหรือฟีดต่างๆมาให้ หรือจะคุยด้วยระบบ Bixby Voice ก็ได้เพียงตั้งค่าแล้วเรียกด้วย Hi Bixby !
สแกนนิ้วก็ง่ายสแกนหน้าก็ดี !
หลังจากที่โดนตำหนิเรื่องตำแหน่งสแกนลายนิ้วมือในปีที่แล้วมาเยอะ ปีนี้ทาง Samsung จึงเลือกวางตำแหน่งของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ที่ใต้เลนส์กล้องซะทั้งหมดเลย ซึ่งตำแหน่งนี้ก็เป็นตำแหน่งมาตรฐานที่หลายๆรุ่นเลือกใช้กัน การทำงานก็ง่ายได้สแกนติดได้รวดเร็วใช้ได้เลยล่ะ
ระบบสแกนใบหน้าก็เหมือนเป็นอีกหนึ่งมาตรฐานที่ต้องมีบนสมาร์ทโฟนหน้าจอเต็มๆแบบนี้ไปด้วยแล้ว ซึ่งบนรุ่นนี้ก็สามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ถึงจะไม่ถึงกับกดปุ๊บสแกนติดปั๊บแต่ก็พอมีเวลาให้เราได้เห็นการแจ้งเตือนบนหน้า Lock Screen บ้างก็ถือว่าโอเคอยู่ครับ
ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมล่ะ เป็นไง ?
มาต่อในเรื่องการดูหนัง ฟังเพลงกันบ้าง Galaxy A6 และ A6+ นั้นมาพร้อมหน้าจอ Full Front Display แบบนี้การแสดงผลก็ค่อนข้างเต็มตาขึ้นอย่างมาก แถมได้ชนิดหน้าจอแบบ Super Amoled แบบนี้มุมมองและสีสันก็สวยเหมาะกับการเอามาดูหนังมากๆเลยล่ะ หรือจะเป็นไฟล์วิดีโอผ่าน YouTube เดี๋ยวนี้ก็รองรับหน้าจอแบบนี้มากขึ้นอัตราส่วนแบบใหม่ก็ไม่ใช่ปัญหาแล้วล่ะ
ส่วนเรื่องเสียง พักหลังทาง Samsung เลือกที่จะวางตำแหน่งของลำโพงรุ่น Galaxy A ไว้ที่มุมขวาของตัวเครื่อง เสียงที่ได้ก็มาตรฐานครับ ดังพอประมาณ ส่วนมิติของเสียงออกกลางๆครับ แต่ที่น่าเสียดายก็คือลำโพงให้มาเพียงตัวเดียวแถมยังวางตำแหน่งไว้ค่อนข้างแปลก ทำให้ทิศทางเสียงที่ออกมาแปลกๆไปหน่อย
สำหรับในเรื่องการเล่นเกม แน่นอนว่าหลายคนคงอยากทราบว่าถ้าเอามาเล่นเกมฮิตอย่าง ROV หรือ PUBG แล้วจะโอเคไหม ต้องบอกก่อนว่าสเปคของทั้ง 2 รุ่นนั้นต่างออกไปนิดหน่อย (ทั้งชิปเซ็ตและแรม) แต่เท่าที่ทดสอบมาผลลัพธ์ออกมาไม่ต่างกันมากครับ
เล่น ROV บน A6 และ A6+ ในค่าเริ่มต้นเราสามารถปรับภาพกราฟิกได้ที่สูงสุด เฟรมเรตสูงเปิดไม่ได้ (แต่ก็มีทริกในการเปิดอยู่ด้วยการแตะที่แถบด้านบนในหน้า Settings ของเกมติดต่อกันประมาณ 15 ครั้ง) โดยรวมแล้วเฟรมเรตที่เล่นได้จะอยู่ที่ราวๆ 40 - 45fps ก็ถือว่าทำได้ดีทีเดียวสำหรับรุ่นกลาง-ล่างแบบนี้นะครับ
เล่น PUBG บน A6 และ A6+ สำหรับเกทนี้ค่าเริ่มต้นเลือกมาให้เป็นระดับเฟรมเรตมาที่ระดับกลางและคุณภาพกราฟิกต่ำสุด (Smooth)ซึ่งถ้าเราเล่นแบบนั้นก็เล่นได้ลื่นไหลดีครับ แต่ถ้าพยายามประระดับกราฟิกขึ้นไปอีกนิดก็จะเจออาการกระตุกเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยครับ แนะนำว่าไม่ใช้ระดับเริ่มต้นโอเคกว่าน่ะนะ
กล้องหน้าความละเอียดสูงเซลฟี่สวย !
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นของ Samsung ที่เน้นในเรื่องกล้องหน้า แต่รอบนี้ให้สเปคของกล้องหน้ามาต่างกันนิดหน่อยโดยรุ่น A6 ปกติจะมีกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ส่วน A6+ ให้มาที่ 24 ล้านพิกเซลมีรูรับแสง f/1.9 เท่ากัน แต่ความสามารถโดยรวมให้มาเหมือนกันทั้งหมดครับ
กล้องหน้ายังคงมีฟีเจอร์ Selfie Focus หรือโหมดหน้าชัด-หลังเบลอมาให้ด้วยด้วย ถึงแม้ว่าเลนส์กล้องหน้าจะมีเพียงตัวเดียวก็เถอะ ซึ่งอย่างที่บอกครับ ทั้ง 2 รุ่นใช้ได้เหมือนกันหมด
โหมด Beauty เราสามารถเลือกปรับระดับความเนียนของใบหน้าหรือตาโต คางเรียวได้ พร้อมยังมีอุณหภูมิให้เลือกปรับด้วยว่าอยากได้โทนร้อนหรือเย็นประมาณนั้นครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Galaxy A6 และ A6+ จะเห็นว่าภาพที่ได้นั้นทำได้ดีทีเดียว ความสวยของใบหน้าต่างๆทำได้ดีตามมาตรฐานของ Samsung ในรุ่นหลังๆไม่ได้เน้นในเรื่องของหน้าเนียนจนเกินเหตุแบบลอยไปหมด มีความพอดีมากขึ้น ส่วนในเรื่องความต่างของทั้ง 2 รุ่นนี่ถ้าไม่ได้ซูมดูกันจริงก็ไม่ถึงกับต่างชัดเจนมากนะครับ รวมๆแล้วทำได้ดีทั้ง 2 รุ่นเลย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Selfie Focus โหมดนี้บนต้องบอกเลยว่าใครที่ชอบการถ่ายหน้าชัดหลังเบลอคงชอบทีเดียว เพราะการเบลอทำได้เนียนตาดี ตัดขอบต่างๆได้อย่างสวยแถมถ้าฉากหลังมีไฟดวงๆก็จะได้เป็น Bokeh พอประมาณด้วยครับ
กล้องหลังมีทั้งคู่มีทั้งเดี่ยว !
กล้องหลังของทั้ง 2 รุ่นนี้ก็ยังแตกต่างกันไปอีก โดย A6 นั้นให้กล้องหลังมาตัวเดียว ส่วน A6+ ให้กล้องหลังคู่ 16 + 5 ล้านพิกเซลมา ซึ่งตัวเลนส์กล้องหลักนั้นเป็นตัวเดียวกันคือ 16 ล้านพิกเซล f/1.7 ส่วนตัวที่เสริมเข้ามาบน A6+ นั้นเป็นเลนส์ 5 ล้านพิกเซลเอาไว้ถ่ายหน้า-ชัดหลังเบลอโดยเฉพาะครับ
UI การใช้งานยังเป็นแบบรุ่นก่อน (ไม่ล่าสุดแบบ S9)การเลือกโหมดเราสามารถเลือกได้จากการปาดหน้าจอไปทางขวาแล้วมีเป็นไอคอนให้เลือกอยู่ 5 โหมดดังนี้ Auto, Pro, Panorama, Continuous Shot, Night, Sports และ Sound & Shot ครับ
รอบนี้โหมด HDR สามารถตั้งค่าได้แบบ Auto แล้ว(เฉพาะ A6+) เราไม่จำเป็นต้องมาเลือกโหมดแบบรุ่นก่อนแล้ว ตั้งให้เป็น Auto ตัวระบบจะคำนวนเองว่าภาพไหนย้อนแสง ภาพไหนไม่ย้อนใช้งานง่ายขึ้นเยอะเลยล่ะ
แต่ในโหมด Pro นั้นยังน่าเสียดายที่ยังไม่สามารถปรับค่า Shutter Speed หรือพวกระยะโฟกัสแบบโปรจริงๆได้ เราสามารถปรับได้แค่เพียง EV+- , ISO และ White Balance เท่านั้น(ก็ยังไม่โปรอีกแหละตัวนี้)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ A6+ ด้วยความที่กล้องหลักเป็นตัวเดียวกันเลยขออนุญาตใช้ภาพถ่ายตัวอย่างจาก A6+ อย่างเดียวละกันเนาะ ภาพรวมทำได้ดีทีเดียว สีสันมาในสไตล์ Samsung อมเหลืองนิดหน่อย ความคมชัดทำได้ยอดเยี่ยม ได้ค่ารูรับแสงกว้างถึง f/1.7 ถ่ายที่แสงน้อยได้ดีทีเดียว ได้ภาพที่สว่างหน่อยๆ ระบบ Auto HDR ทำงานได้ดี Dynamic Range ดูมีมิตมากขึ้น ย้อนแสงก็สวยขึ้นครับ
มีกล้องคู่ก็มีโหมดหน้าชัด-หลังเบลอด้วย ! กล้องคู่ของ A6+ นั้นทำให้สามารถถ่ายโหมด Live Focus ได้ด้วย กดแตะที่คำว่า Live Focus ด้านล่างได้เลยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Live Focus โหมดนี้ของ A6+ จะไม่เหมือนของรุ่นเรือธงที่มีเลนส์ซูมมาด้วย ฉะนั้นเวลาถ่ายจะไม่ซูมเข้าไปใกล้ๆ การเล็งถ่ายจึงง่ายกว่าหน่อย เพราะใช้เลนส์หลักในการถ่าย ภาพที่ออกมาก็ละลายฉากหลังได้เนียนดีทีเดียว มีโหมด Art Bokeh แบบเดียวกับ S9+ ด้วยนะที่เปลี่ยนดวงไฟด้านหลังเป็นรูปอื่นๆได้ น่ารักดี
แบตเตอรี่เยอะใช้งานสบาย
เข้าสู่เรื่องสุดท้ายกับแบตเตอรี่ ความจุแบตเตอรี่ให้มาเพียงพอต่อการใช้งานอยู่แล้ว แถมหน่วยประมวลผลภายในยังไม่กินไฟมากด้วย ทำให้แบตเตอรี่นั้นอยู่ทนอยู่นาน ใช้งานได้ตลอดทั้งวันสบายๆครับ เรื่องแบตฯ 2 รุ่นนี้หายห่วงเลยล่ะ
สรุปแล้วมันน่าโดนไหมล่ะ ?
ก็ถือเป็นรุ่นระดับกลาง-ล่างใหม่ของ Samsung ที่ออกมาได้จังหวะเหมาะจริงๆ กับการแข่งขันที่สูงมาในกลุ่มนี้ แต่ด้วยความที่เป็น Samsung ก็เชื่อว่ามีกลุ่มลูกค้าที่สนใจอยู่ไม่น้อย และด้วยจุดเด่นที่น่าสนใจทั้งบอดี้โลหะหรูหรา บวกกับหน้าจอ Full Front Display อัตราส่วนแบบใหม่ตามเทรนด์กับเขาหน่อย และที่ขาดไม่ได้กล้อง ! จุดขายของสมาร์ทโฟนในตอนนี้ ทั้ง 2 รุ่นก็เน้นในเรื่องของกล้องหน้ามาได้ดีด้วยความละเอียดสูงพร้อมฟีเจอร์หน้าชัดหลังเบลอ กล้องหลังก็ค่ารูรับแสงกว้างและกล้องคู่หน้าชัดหลังเบลอได้อีก (เฉพาะ A6+) รวมๆแล้วก็ถือเป็น 2 รุ่นที่ทำราคาได้ดีมากสำหรับแฟนๆ Samsung ที่อยากได้รุ่นใหม่พร้อมความสามารถใหม่ๆก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ
ราคา
Samsung Galaxy A6 = 8,900 บาท
Samsung Galaxy A6+ = 10,900 บาท
จุดเด่น
- หน้าจอ Super Amoled แสดงผลสวยงาม
- บอดี้ Metal Unibody สวยดูหรูหรา
- มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ สแกนใบหน้าทำงานได้รวดเร็ว
- รองรับ 2 ซิมและ Micro-SD ด้วยถาดซิมแบบ 3 Slot
- กล้องหน้าความละเอียดสูงสวยเนียนเป็นธรรมชาติ
- กล้องคู่ถ่ายหน้าชัด-หลังเบลอได้ (เฉพาะ A6+)
จุดสังเกต
- ไม่มีไฟ LED แจ้งเตือน
- โหมด Pro ปรับค่าได้ไม่เยอะเท่าที่ควร
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite