Review : Samsung Galaxy A8 2018 และ A8+ 2018
สองคู่พี่น้องรุ่นกลางหน้าตาดีความสามารถโดน !!
สวัสดีเพื่อนๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆกับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับ 2 พี่น้องคู่ใหม่จากตระกูล Galaxy A อย่าง Galaxy A8 2018 และ Galaxy A8+ 2018 นั่นเอง ชื่อ A8 นั้นเองจริงๆก็ไม่ถึงกับเป็นชื่อใหม่นักเพราะมีเปิดตัวมาแล้วถึง 2 รุ่นด้วยกัน (Galaxy A8 และ A8 2017)แต่รอบนี้ดูเหมือนจะไม่ได้มาแทนที่ A8 เดิมซะทีเดียวเพราะ 2 รุ่นนี้เปิดตัวมาแทนที่รุ่นสุดฮิตอย่าง Galaxy A5 และ A7 เดิมนั่นเอง เท่ากับว่าปียี้จะไม่มี A5 2018 และ A7 2018 แล้วนะ เปลี่ยนมาเป็น A8 2018 และ A8+ 2018 แทน อธิบายเลขรุ่นเยอะเกินไปแล้ว จะ 5 จะ 7 จะ 8 เอาเป็นว่ามาอ่านรีวิวของทั้ง 2 รุ่นนี้ไปพร้อมๆกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง และมีอะไรที่เราชอบและไม่ชอบอยู่บ้าง เนาะ !
ดีไซน์เด่นไม่แพ้เรือธง
เริ่มต้นในเรื่องของการดีไซน์กันก่อนเลย ทั้ง 2 รุ่นนี้ยังคงแบ่งเป็น 2 ขนาดความใหญ่แบบเดียวกับที่เคยทำบน A5 และ A7 อยู่ แต่ด้วยความที่เทรนด์ในปีที่แล้วสร้างหน้าจอแบบ Full Display ขึ้นมา มาในปีนี้รุ่นกลางก็จำเป็นต้องมีให้ทันกระแสกับเขาหน่อยล่ะ A8 และ A8+ นั้นมาพร้อมกับหน้าจออัตราส่วนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ Samsung คือ 18.5:9 (ค่ายอื่นเขาเป็น 18:9)ตัวหน้าจอเลยมีความยาวที่มากกว่าในรุ่นก่อนๆพอสมควร มองเผินๆก็คิดว่าเป็น S8 กับ S8+ ได้เลยล่ะ
แต่จุดที่แตกต่างจากรุ่นเรือธงนิดหน่อยก็คือตัวหน้าจอนั้นยังคงเป็นกระจกแบบ 2.5D เท่านั้น เท่ากับว่าตัวกระจกจะมีความโค้งที่มุมจอเล็กๆเท่านั้น ไม่ได้เว้าลงไปลึกแบบเดียวกับพวกเรือธง ซึ่งตรงนี้ก็ดูแปลกตาดีสำหรับคนที่เคยสัมผัส S8 หรือ Note 8 มา แต่ถ้าเทียบกับรุ่นอื่นๆที่มีหน้าจออัตราส่วน 18:9 ก็ดูไม่ต่างกันเท่าไหร่ครับ
หน้าจอของ A8 2018 จะมาพร้อมกับขนาด 5.6 นิ้ว ส่วน A8+ 2018 ให้มาที่ 6 นิ้ว ทั้ง 2 รุ่นใช้ชนิดหน้าจอแบบ Super Amoled ความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ FHD+ (2,220 x 1,080พิกเซล) ในอัตราส่วนแบบ 18.5:9 อย่างที่บอกไว้ ในเรื่องการแสดงผลทำได้ดีมากๆ ความคมชัดต่างถือว่าทำได้ไม่ต่างจากพวกรุ่นใหญ่ๆหรือเรือธงเลย (เพราะเรือธงก็ตั้งค่าความละเอียดเริ่มต้นมาที่ FHD+ เหมือนกัน) เรียกว่าไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนสำหรับความสดของสีและความคมชัด (Samsung ซะอย่าง :P)
เหนือหน้าจอรอบนี้ใส่ไฟ LED แจ้งเตือนมาให้สักที (ก่อนหน้านี้ตระกูล A แทบไม่มีเลย) ถัดมาก็เป็นเซ็นเซอร์วัดแสงและจับระยะ, ตรงกลางเป็นลำโพงสนทนา และปิดท้ายตรงนี้ด้วยกล้องหน้าคู่ความละเอียด 16 + 8 ล้านพิกเซล ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกของ Samsung เลยที่มาพร้อมกับกล้องหน้าคู่แบบนี้
ขอบหน้าจอจะเห็นว่าเหลือน้อยกว่ารุ่นเดิมๆที่เป็นแบบ 16:9 แต่ถ้าดูกันจริงๆก็ไม่ถึงกับว่าบางเฉียบจนเรียกว่าไร้กรอบได้แบบ S8 นะ ส่วนตัวคิดว่ายังคงแอบหนากว่าบางแบรนด์ด้วยซ้ำตรงขอบล่างนี้น่ะนะ ปุ่มกดถูกเปลี่ยนไปเป็นแบบสัมผัสบนหน้าจอ (On Screen Button)ทั้งหมดแล้ว ณ จุดนี้
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลัง จะเห็นว่าบอดี้ที่ใช้เป็นแบบกระจกโค้งสวยงามไม่แพ้ S8 เลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้รู้สึกว่าซีรีส์ Galaxy A ในปีหลังๆจะเข้าใกล้ความเป็นเรือธงของปีที่แล้วมากขึ้นทุกทีๆ
การดีไซน์ที่ปรับเปลี่ยนไปให้ดูลงตัวมากขึ้น เลนส์กล้องยังคงให้มาตัวเดียว ตำแหน่งกล้องไว้ตรงกลางเหมือนเคย พร้อมกับไฟแฟลช LED ที่ด้านขวามือ แต่ที่น่าสนใจก็คือตำแหน่งของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือนั้นถูกย้ายลงมาไว้ที่ใต้เลนส์กล้องซึ่งอยู่ตรงกลางเหมาะกับการใช้งานมากกว่าของเดิม (S8)มากกกกกก ! ง่ายต่อการแตะเพื่อใช้งานเลยล่ะ ทำเหมือนคนอื่นก็ได้นี่หน่า ><
รอบๆเครื่องก็เป็นโลหะสีเดียวกับสีเครื่องไปหมดเหมือนกัน ซึ่งสีที่เราได้มารีวิวเป็นสีดำกรอบก็เลยดำไปด้วย ทำให้ตัวเครื่องดูมีึความคมเข้มด้วยสีดำไปทั้งตัว ตัวกรอบจะมีความมันวาวด้วย ตำแหน่งต่างๆยังเหมือนเดิมปุ่ม เพิ่มลดเสียงวางไว้ที่มุมซ้ายของตัวเครื่อง รุ่นนี้ไม่มีปุ่ม Bixby ติดมาด้วยนะ (สงสัยรู้ว่าคนไม่ค่อยใช้ :P)
ด้านขวามีปุ่ม Power และช่องลำโพงหลักของตัวเครื่องอีกเช่นเคย ตรงนี้น่าจะเป็นจุดที่เอาไว้แยกว่ารุ่นไหนเป็นซีรีส์ A ไปแล้วเนอะ :P
ด้านล่างมีพอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา และแจ็คหูฟัง 3.5 มม.ครับ ยังมีให้ใช้อยู่นะเออ
ช่องใส่ซิมของรุ่นนี้แบ่งเป็น 3 Slot เลย โดยแยกเป็นช่องใส่ซิมหลักที่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง และด้านบนตัวเครื่องจะเป็นช่องใส่ซิม 2 กับ Micro-SD เท่ากับว่าแยกกันไปชัดเจน ไม่ต้องมาเสียดายว่าใส่ Micro-SD แล้วจะใส่ 2 ซิมไม่ได้เนาะ
รวมๆแล้วในเรื่องดีไซน์ของ A8 และ A8+ 2018 ต้องบอกเลยว่าลองจับครั้งแรกนั้นให้ความรู้สึกไม่แพ้ S8 กับ S8+ เลยทีเดียวครับ บอดี้หรูหราด้วยกระจกผสานกับกรอบโลหะมันวาวหน่อยๆได้อย่างลงตัว ถึงแม้ตัวหน้าจอจะไม่โค้งแบบ 3D แต่รวมๆแล้วก็สวยงามและดูดีมากๆสำหรับรุ่นกลางแบบนี้ Galaxy A8 2018 และ A8+ 2018 ที่วางจำหน่ายในบ้านเรานั้นจะมีด้วยกัน 3 สีคือ ดำ Midnight Black,ทอง Maple Gold และ เทา Orchid Gray ครับ
สเปค Galaxy A8 2018/A8+ 2018
- รัน Android 7.1.1 Nougat ครอบด้วย Samsung Experience 8.5
- หน้าจอ Super Amoled 5.6 นิ้ว (A8) / 6 นิ้ว (A8+)ความละเอียด FHD+ (2220 x 1080 พิกเซล) อัตราส่วน 18.5:9
- ชิปเซ็ต Exynos 7885 Octa-core 2.2GHz
- ชิปกราฟิก Mali-G71
- แรม 4GB (A8) / 6GB (A8+)
- รอม 32GB (A8) / 64GB (A8+)
- รองรับ Micro-SD สูงสุด 256GB
- แบตตอรี่ 3,000 mAh (A8) / 3,500 mAh (A8+)
- รองรับ Fast Charge
- กล้องหน้า 16 + 8 ล้านพิกเซล f/1.9
- กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล f/1.7
- รองรับ 2 ซิม
- รองรับสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง
- รองรับ Gear VR
- กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
ถึงแม้ตัวเครื่องจะมีหน้าตาใกล้เคียงกันและแบ่งเป็น 2 รุ่นเหมือนรอบก่อนๆ แต่ก็มีสเปคภายในบางอย่างที่ต่างกันออกไปเหมือนกันอาทิ หน้าจอ แน่นอนว่า + ใหญ่กว่า, แรมตรงนี้รุ่นปกติจะให้มาที่ 4GB ส่วนรุ่น + ให้มาสูงสุดของ Samsung คือ 6GB, รอมหรือหน่วยความจำภายในต่างกันที่รุ่นปกติให้มาเพียง 32GB ส่วนรุ่น + ให้มา 64GB, และสุดท้ายความจุแบตเตอรี่ที่ปกติจะต่างกันอยู่แล้วรอบนี้ัยังคงเป็น 3000 mAh กับ 3500 mAh อยู่เช่นเคยครับ ก็ถือว่ารอบนี้สเปคภายในก็ต่างกันพอสมควร เวลาจะเลือกซื้อนี่คงต้องชั่งน้ำหนักกันมากกว่าเดิม ไม่เหมือนตอน A5 กับ A7 ที่หลักๆจะต่างกันที่ขนาดแล้วล่ะครับ
ประสิทธิภาพไม่ธรรมดา
อย่างที่บอกไปว่าสเปคภายในของทั้ง 2 รุ่นนั้นจะต่างกันนิดหน่อย แต่เผอิญเครื่องที่เราได้มารีวิวนั้นจะเป็นโมเดลแรม 4GB รอม 32GB มาทั้งคู่เพราะฉะนั้นในเรื่องของประสิทธิภาพบางอย่างของ A8+ อาจจะได้ไม่เท่าเครื่องที่ขายจริง ตรงนี้ต้องบอกไว้ก่อนเลยครับ เดี๋ยวจะเข้าใจกันผิดเนอะ ซึ่งเมื่อนำมาทดสอบผ่านแอป AnTuTu Benchmark แล้วคะแนนของทั้ง 2 รุ่น จะแตกต่างกันพอสมควร ด้วยความจุแรมที่มากกว่าคะแนนที่ได้จะออกมาที่ 78760 กับ 85810 คะแนนครับ ถือว่าแรงใช้ได้
Android Nougat กับหน้าตาที่คุ้นเคย
ในส่วนของระบบปฏิบัติการทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับ Android 7.1.1 Nougat พร้อมครอบด้วย Samsung Experience เวอร์ชั่น 8.5 เช่นเดียวกับ Note 8 เพราะฉะนั้นหน้าตา UI ต่างๆจึงเหมือนกันเป๊ะๆเลยล่ะครับ
ตัวไอคอนต่างๆได้ความโค้งมนเข้ากับตัวเครื่องเป็นอย่างดี ไอคอนใช้ลายเส้นง่ายๆบวกกับสีสันที่แยกไว้เฉพาะเป็นหมวดหมู่เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึง ปุ่มกด App Drawer ถูกซ่อนไปเรียบร้อย การเรียกหน้ารวมแอปขึ้นมาก็เพียงแค่เลื่อนนิ้วขึ้นหรือลงจากหน้าหลักได้เลย ใช้งานได้สะดวกดีครับแบบนี้
ด้วยความที่เป็นรุ่นใหม่ของซีรีส์ A พวก Wallpaper ก็ให้ชุดมาแบบไม่ซ้ำกับของ S8 หรือ Note 8 เลย ทำให้ความรู้สึกของหน้า UI ดูแปลกตาไปอีกนิดหน่อย แต่น่าเสียดายที่ไม่มี Infinity Wallpaper หรือ Wallpaper แบบรวมๆทั้งหน้า AOD, Lock Screen และ Home screen ในชุดเดียว แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเนอะ :P
ระบบ Theme ยังคงมีให้เลือกดาวน์โหลดมาใช้งานกันเหมือนเคย โดยการเข้าถึงก็ไม่ยากเย็นครับแตะค้างที่หน้าจอหรือจีบนิ้วเข้าหากันในหน้าโฮม ก็จะเจอทางลัดเข้ามาในหน้า Wallpaper and Themes ในนี้จะมีให้เราเลือกดาวน์โหลดทั้ง Wallpaper, Theme หรือ icon ก็ได้เช่นกันครับ
Always On Display ยังติดมาให้เหมือนเดิมด้วยนาฬิกาแนวตั้ง ตรงนี้จะมีไอคอนการแจ้งเตือนต่างๆโชว์อยู่ใต้นาฬิกาหลัก พร้อมกับมีไอคอนแสดงตำแหน่งของปุ่มโฮมให้เราได้แตะสัมผัส 2 ครั้งเพื่อเป็นการปลุกจอได้ครับ
แต่ ! ปุ่มโฮมแบบ Force Touch ที่เคยมีบน S8 หรือ Note 8 นั้นถูกตัดออกไปแล้ว ทำให้เราไม่สามารถกดแรงเพื่อเข้าหน้าโฮมจากที่ไหนก็ได้ได้แล้ว เท่ากับว่าปุ่มโฮมก็จะได้จากปุ่มแบบ On Screen Button เท่านั้น ถ้าเราปิดหน้า AOD ไป ก็จำเป็นต้องกดที่ปุ่ม Power เพื่อปลุกจออย่างเดียว ไม่เหมือนกับ S8 หรือ Note 8 ที่สามารถกดตรงตำแหน่งปุ่มโฮมแรงๆได้เลยโดยที่ไม่ต้องหาปุ่มครับ
Secure Folder ที่ซ่อนลับไฟล์ลับเฉพาะเรา
แอป Secure Folder นี้ก็ยังมีติดเครื่องมาให้อยู่ โดยแอปนี้จะให้เราแยกแอปบางแอปขึ้นมาอีกอัน เป็นของส่วนตัวของเรา อาทิ Gallery, Camera, Contacts, Email, Internet และ My Files นอกจากนี้ถ้ายังไม่พอก็สามารถเพิ่มแอปอื่นๆได้อีก ซึ่งแอปที่อยู่ในนี้จะเป็นคนละตัวกับที่อยู่ข้างนอกปกติเลย ทำให้เราสามารถสร้างบัญชีอื่นๆอย่างพวก Line หรือ Facebookขึ้นมาอีกอันในเครื่องเดียวได้นั่นเอง หรือจะเอาไว้เก็บไฟล์ที่ไม่อยากให้ใครดู ถ่ายรูปเฉพาะที่ไม่อยากให้ใครเห็นก็ทำได้เต็มที่ใน Secure Folder นี้เลยจ้ะ :P
Dual Messenger แบ่งแอปแชทก็มีนะ
นอกจากแอป Secure Folder ที่สามารถแยกแอปแชทอย่าง LINE, Messenger แล้วก็ยังมีระบบ Dual Messenger ที่แยกแอปแชทต่างๆออกมาเป็นอีกหนึ่งแอป แต่ตรงนี้จะง่ายกว่าเพราะเราไม่จำเป็นต้องเข้าไปในหน้า Secure Folder แล้ว ตัวแอปจะแยกออกมาอีกหนึ่งไอคอนเลย (มีสีส้มๆแปะอยู่ที่ไอคอน) การเข้าไปเลือกเปิด Dual Messenger ก็เข้าไปตั้งค่ากันได้ที่ Settings > Advanced Features > Dual Messenger ครับ
ผู้ช่วย Bixby
ถึงแม้ตัวเครื่องจะไม่มีปุ่ม Bixby มาให้กดแบบเรือธง แต่ตัวระบบภายในก็ใส่ Bixby มาให้ด้วยเช่นกัน โดยจะอยู่ที่หน้าซ้ายสุดของ Home Screen ความสามารถต่างๆก็ใกล้เคียงกับรุ่นพี มีหน้ารวมข้อมูลหรือฟีดต่างๆมาให้ หรือจะคุยด้วยระบบ Bixby Voice ก็ได้เพียงตั้งค่าแล้วเรียกด้วย Hi Bixby !
การใช้งานและฟีเจอร์เด่น
มาต่อในเรื่องของการใช้งานกันบ้าง แน่นอนว่าขนาดของทั้ง 2 รุ่นนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้การพกพาหรือการใช้งานในมือเดียวนั้นค่อนข้างแบ่งกลุ่มผู้ใช้ไว้แล้ว ถ้าให้เทียบจริงๆก็คงอารมณ์เหมือน S8 กับ S8+ นั่นล่ะครับ ในเรื่องของการใช้งานมือเดียวแน่นอนว่ารุ่น A8 2018 ปกตินั้นทำได้ดีกว่าด้วยขนาดเครื่องที่เล็กพอดีมือ แต่ได้หน้าจอที่ยาวและเต็มตาใช้ได้ การใช้งานในแนวตั้งทั้งเล่นโซเชียล ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter หรือ IG ทำได้สะดวกบนมือเดียว จะโหนรถไฟฟ้าไปเลื่อนมือถือไปก็ไม่เป็นปัญหา
แต่ถ้ามาเทียบกับ A8+ แน่นอนว่าขนาดที่ใหญ่กว่ามาก ถึงแม้ตัวเครื่องจะไซส์พอๆกับรุ่นจอ 5.5 -5.7 นิ้วก็เถอะ แต่ด้วยความยาวจอที่เพิ่มมากขึ้น การจะเอื้อมนิ้วไปแตะตามมุม (กดปุ่ม Back หรือแตะแถบแจ้งเตือน) ก็เป็นเรื่องยากพอสมควร ทำให้เรื่องความคล่องตัวในการใช้งานมือเดียวนั้น A8 ทำได้ดีกว่าพอสมควร แต่ถ้าเน้นใช้งานด้วย 2 มือกับหน้าจอใหญ่ๆ A8+ ก็ตอบโจทย์มากกว่าเช่นกันครับ
โชคยังดีที่ทาง Samsung ใส่ระบบ One-Handed Mode มาให้ด้วย ทำให้การใช้งานมือเดียวของจอที่ยาวๆแบบนี้ดูใช้งานง่ายขึ้นในเวลาจำเป็น เราสามารถเลื่อนจากมุมซ้ายหรือขวาล่างของจอขึ้นเพื่อลดขนาดหน้าจอจริงๆลงมาเหลือเพียง 4 นิ้ว เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น ถ้าใครลองเลื่อนแล้วไม่ย่อให้ กดเข้าไปตั้งค่ากันได้ที่ Settings > Advanced Features > One-Handed Mode ครับ
สแกนนิ้วในตำแหน่งที่ควรจะเป็น
อย่างที่ทราบกันดีว่าบนรุ่นเรือธงอย่าง Galaxy S8 หรือ Note 8 นั้นยังคงมีปัญหาในเรื่องของการสแกนลายนิ้วอยู่ ด้วยการวางตำแหน่งที่อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ทำให้ยากต่อการเอื่อมนิ้วไปแตะ แต่บนรุ่น A8 นี้ได้มีการขยับตำแหน่งของปุ่มลงมาให้อยู่ตรงบริเวณกลางเครื่องเรียบร้อย ทำให้ง่ายต่อการแตะสแกนมากขึ้น พอแตะง่ายขึ้นการทำงานก็รวดเร็วแตะปุ๊บติดปั๊บอย่างที่ควรจะเป็นครับ
สแกนใบหน้าก็ได้นะยูววว
ถึงแม้จะไม่มีเซ็นเซอร์สแกนม่านตาที่ปลอดภัยแบบสุดๆมาให้ แต่บน A8 และ A8+ ก็ให้ระบบสแกนใบหน้าหรือ Face Recognition มาด้วย เพียงแค่เราจดจำใบหน้าไว้ การปลดล็อคก็เพียงปลุกจอและมองเข้าไปตัวเครื่องก็ปลดล็อคได้แล้ว แต่ความเร็วอาจจะไม่ได้ปุบปับเหมือน S8 แต่ก็ทำได้ดีไม่แพ้กันครับ
กันน้ำกันฝุ่นก็ได้อีกแหละ
เป็นอีกจุดที่ทำให้เห็นถึงความเข้าใกล้เรือธงเข้าไปเรื่อยๆเพราะ Galaxy A นั้นเริ่มใส่ความสามารถกันน้ำกันฝุ่นเข้ามาตั้งแต่ปีที่แล้ว จนมาถึงปีนี้ก็ยังติดมาตรฐานการกันน้ำ IP68 มาให้ด้วยเช่นกัน เท่ากับว่า A8 และ A8+ นั้นสามารถกันน้ำได้ที่ความลึก 1.5 เมตร นาน 30 นาที ช่วยในเรื่องอุบัติเหตุการตกน้ำได้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่แนะนำให้เอาลงไปถ่ายรูปหรือเล่นในน้ำแต่อย่างใดนะครับ
ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม
อย่างที่บอกไปว่าถ้าใช้งานด้านมัลติมีเดียหรือการดูคอนเทนต์ต่างๆ หน้าจอใหญ่กว่าก็ได้เปรียบ 2 รุ่นนี้ให้ขนาดหน้าจอมาไม่เท่ากันคือ 5.6 นิ้วกับ 6 นิ้ว ซึ่งหากดูด้วยตัวเลขนั้นขนาดหน้าจอของทั้ง 2 รุ่นก็พอดีกับการดูหนังหรือวิดีโอบน YouTube อยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าอัตราส่วนหน้าจอแบบใหม่นั้นเพิ่มความยาวของหน้าจอขึ้นมาเท่านั้น ทำให้ความกว้างของหน้าจอจริงๆจะไม่มากเท่ากับหน้าจออัตราส่วน 16:9 ซึ่งเมื่อเทียบขนาดความกว้างแล้ว A8 จะเทียบเท่ากับหน้าจอประมาณ 5 - 5.2 นิ้ว ส่วน A8+ ก็จะอยู่ราวๆ 5.5 นิ้วเท่านั้น ทำให้การใช้งานจริงอาจจะไม่ได้รู้สึกว่าได้จอใหญ่เต็มตามขนาดที่ระบุไว้
ในเรื่องของอัตราส่วนแบบ 18.5:9 ตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องใหม่เท่าไหร่แล้ว เพราะฉะนั้นพวกคอนเทนต์ต่างๆที่ออกมาส่วนใหญ่ก็รองรับหมด ยิ่งการดูวิดีโอในอัตราส่วนแบบโรงภาพยตร์ 21:9 ก็จะทำให้แสดงผลเต็มตากว่าในหน้าจอแบบเดิมๆ หรือเรื่องเกมบน Play Store ตอนนี้ก็รองรับกันหมดเช่นกันครับ
พักหลังทาง Samsung เลือกที่จะวางตำแหน่งของลำโพงรุ่น Galaxy A ไว้ที่มุมขวาของตัวเครื่อง เสียงที่ได้ก็มาตรฐานครับ ดังพอประมาณ ส่วนมิติของเสียงออกกลางๆครับ แต่ที่น่าเสียดายก็คือลำโพงให้มาเพียงตัวเดียวแถมยังวางตำแหน่งไว้ค่อนข้างแปลก ทำให้ทิศทางเสียงที่ออกมาแปลกๆไปหน่อย
สำหรับการเล่นเกมบน A8 และ A8+ นั้นต้องบอกเลยว่าทำได้ดีทีเดียวครับ ด้วยหน่วยประมวลผลตัวใหม่อย่าง Exynos 7885 ที่ถึงแม้จะเป็นรุ่นกลางแต่ก็ทำงานได้ดี เอามาลองเกมยอดฮิตอย่าง ROV ก็สามารถปรับคุณภาพกราฟิกได้สูงสุดและเปิดเฟรมเรตสูงได้ด้วย และเท่าที่ลองเล่นจริงๆก็ถือว่าทำเฟรมเรตได้ดีอยู่ที่ราวๆ 40 - 50fps เลยทีเดียว จะมีจังหวะที่ตีหนักๆก็หล่นลงมาบ้าง แต่ไม่ต่ำกว่า 30fps แน่นอนครับ ถือว่าใกล้เคียงกับพวก Galaxy S8 เลยล่ะ แถมด้วยอัตราส่วนหน้าจอแบบ 18.5:9 ก็ทำให้ได้พื้นที่ของฉากมากขึ้นเห็นด่านที่กว้างขึ้นกว่าด้วยนะเวลาเล่น
กล้องคู่หน้า 16 + 8 ล้านพิกเซล เซลฟี่หน้าชัดหลังเบลอเนียนๆ
Galaxy A8 และ A8+ ถือว่าเป็น 2 รุ่นแรกของ Samsung ที่มาพร้อมกับกล้องหน้าคู่ ซึ่งกล้อง 2 ตัวนี้จะแบ่งการใช้งานออกเป็นเลนส์ปกติความละเอียด 16 ล้านพิกเซล กับเลนส์มุมกว้างความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง f/1.9 ทั้งคู่
นอกจากการมี 2 ช่วงให้เราได้เลือกถ่ายภาพหมู่หรือภาพเดี่ยวได้แล้วด้วยอนุภาพของกล้องคู่จึงสามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้ด้วยฟีเจอร์ Live Focus ชื่อเดียวกับที่อยู่บนกล้องหลังของ Note 8 เลย พร้อมมีพรีวิวภาพให้เห็นขณะกำลังถ่ายเลยด้วย
โหมด Beauty เราสามารถเลือกปรับระดับความเนียนของใบหน้าหรือตาโต คางเรียวได้ พร้อมยังมีอุณหภูมิให้เลือกปรับด้วยว่าอยากได้โทนร้อนหรือเย็นประมาณนั้นครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้ามุมปกติและ Wide
จะเห็นว่าภาพทีได้นั้นทำได้ดีทีเดียว ความสวยของใบหน้าต่างๆทำได้ดีตามมาตรฐานของ Samsung ในรุ่นหลังๆไม่ได้เน้นในเรื่องของหน้าเนียนจนเกินเหตุแบบลอยไปหมด มีความพอดีมากขึ้น ในเรื่องของช่วงเลนส์ที่ให้มา 2 ช่วงก็ช่วยในเรื่องการเก็บภาพเดี่ยวหรือหมู่ได้ดียิ่งขึ้นอย่างปกติเราถ่ายคนเดียวก็ใช้เลนส์ตัวหลักความละเอียด 16 ล้านพิกเซลไป แต่ถ้าถ่ายหลายๆคนก็เลือกเลนส์ Wide จะได้เก็บภาพได้มากขึ้น แต่ถึงจะบอกว่า Wide มุมมองก็กว้างออกมากว่าปกตินิดหน่อย ไม่ได้กว้างขนาด 120 องศาขนาดนั้นนะครับเทียบจริงๆคงประมาณกล้องหน้าของ Galaxy S7 น่ะนะ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าโหมด Live Focus
โหมด Live Focus บนกล้องหน้าต้องบอกเลยว่าใครที่ชอบการถ่ายหน้าชัดหลังเบลอคงชอบทีเดียว เพราะการเบลอทำได้เนียนตาดี แถมการใส่เอฟเฟกต์ก็รวดเร็วไม่จำเป็นต้องเล็งเยอะเหมือนตอนกล้องหลังของ Note 8 คุณภาพที่ได้ถือว่าสวยงามเลยล่ะ เราสามารถมาปรับความเบลอของฉากหลังได้อีกนิดหน่อยด้วย แต่น่าเสียดายนิดหน่อยตรงที่โหมดนี้ไม่สามารถใช้กับเลนส์ Wide ได้ทำให้เราต้องหน้าชัดหลังเบลอในมุมที่แคบเข้ามาหน่อย
กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล f/1.7
เห็นกล้องหน้าว่าดีแล้ว กล้องหลังก็จัดมาเต็มไม่แพ้กัน เพราะให้กล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/1.7 มาเลย หายห่วงเรื่องการถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้เลย
โหมดการถ่ายภาพมีให้เลือก 6 โหมดหลักๆ Auto, Pro, Panorama, Hyperlapse, Night และ Food
รอบนี้โหมด HDR สามารถตั้งค่าได้แบบ Auto แล้ว เราไม่จำเป็นต้องมาเลือกโหมดแบบรุ่นก่อนแล้ว ตั้งให้เป็น Auto ตัวระบบจะคำนวนเองว่าภาพไหนย้อนแสง ภาพไหนไม่ย้อนใช้งานง่ายขึ้นเยอะเลยล่ะ
แต่ในโหมด Pro นั้นยังน่าเสียดายที่ยังไม่สามารถปรับค่า Shutter Speed หรือพวกระยะโฟกัสแบบโปรจริงๆได้ เราสามารถปรับได้แค่เพียง EV+- , ISO และ White Balance เท่านั้น(ก็ยังไม่โปรนะตัวนี้)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ Galaxy A8
ภาพรวมทำได้ดีทีเดียวสำหรับกล้องหลังของ Galaxy A8 2018 นี้ สีสันมาในสไตล์ Samsung อมเหลืองนิดหน่อย ความคมชัดทำได้ยอดเยี่ยม ได้ค่ารูรับแสงกว้างถึง f/1.7 ถ่ายที่แสงน้อยได้ดีทีเดียว แต่ตัวกล้องแอบติด Over เกินไปหน่อย ถ้าแตะโฟกัสปกติภาพที่ได้จะติดสว่างกว่าเดิมประมาณ 1 Stop แนะนำว่าตอนถ่ายอาจจะลดค่า EV ลงมาหน่อยจะได้ภาพที่ยอดเยี่ยมเลยล่ะครับ
การใช้งานแบตเตอรี่
ปิดท้ายเรื่องของแบตเตอรี่ 2 รุ่นนี้ให้ความจุแบตฯมาต่างกันตามขนาดหน้าจอ 3000mAh สำหรับ A8 และ 3500mAh สำหรับ A8+ การใช้งานจริงๆก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานครับ สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวัน แถมยังรองรับระบบการชาร์จไว Adative Fast Charge ของ Samsung ด้วย หายห่วงเรื่องเวลาชาร์จได้เลย
ราคาและโปรโมชั่น
ก่อนจะเข้าสู่เรื่องการสรุปมาเช็คราคาและโปรโมชั่นกันก่อน สำหรับ Galaxy A8 ทั้ง 2 รุ่นใหม่นี้จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่12 มกราคมนี้ ในราคาค่าตัว
Galaxy A8 2018[4GB/32GB] = 15,990 บาท
Galaxy A8+ 2018[6GB/64GB] = 18,990 บาท
สำหรับผู้ที่ซื้อในล็อตแรกจะได้รับ welcome pack มูลค่ารวมกว่า 1,000 บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดร้านค้าชั้นนำ (ผ่าน Galaxy Gift และ Samsung Pay) และมีโปรพิเศษ นำเครื่องเก่า มาแลกเครื่องใหม่ด้วย
สรุป !
ก็ถือว่าเป็นอีก 2รุ่นใหม่ที่น่าสนใจมากๆเลยทีเดียว อย่างที่บอกว่าพักหลังมานี้ Galaxy A เริ่มเขยิบความสามารถและรูปลักษณ์เข้ามาใกล้กับ Galaxy S เรื่อย