Review : Samsung Galaxy S8 ที่สุดแห่งดีไซน์ชวนหลงใหล
และหน้าจอมาตรฐานใหม่เต็มตาแบบไม่ธรรมดา !!
สวัสดีเพื่อนๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆกับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย อย่างที่สัญญากันไว้ว่าถ้าได้เครื่อง Galaxy S8 มาเราจะจัดรีวิวแบบเต็มๆให้อ่านกันอย่างเต็มอิ่มไปเลย และแน่นอนตอนนี้ก็ได้เวลาของรีวิว Galaxy S8/S8+ ฉบับเต็มกันแล้ว 2 รุ่นนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่หลายๆคนให้ความสนใจอย่างมาก เพราะรอบนี้ดูทาง Samsung จะจัดเต็มขึ้นมามากและปรับปรุงแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆมาได้อย่างดีทีเดียว เอาเป็นว่าอย่ารอช้าอยู่เลย ไปติดตามรีวิวเจ้า Galaxy S8 และ S8+ กันเลยดีกว่า ! :D
การดีไซน์
เริ่มแรกกันด้วยเรื่องของการดีไซน์ที่มีการปรับเปลี่ยนไปจากเดิมพอสมควร เรือธงในซีรีส์ Galaxy S นั้นจะมีการปรับเปลี่ยนให้มี 2 รุ่นมาตั้งแต่สมัย Galaxy S6 คือมีรุ่นหน้าจอปกติมาตรฐานที่ใช้ชื่อเป็นชื่อหลักและรุ่นหน้าจอโค้ง 2 ด้านที่มีชื่อตามท้ายด้วย Edge ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะเป็นจุดเด่นและมาตรฐานใหม่ของสมาร์ทโฟนเรือธงจาก Samsung ก็ว่าได้ ในรุ่นถัดๆมาก็มีการปรับเรื่องหน้าจอโค้งนี้ให้ลงตัวมาขึ้น จนมาถึงรุ่น Galaxy S8 นี้ก็ลงตัวจนทาง Samsung ตัดสินใจถอดรุ่นเรือธงหน้าจอแบนปกติออกไปแล้ว เพราะ Galaxy S8 ทั้ง 2 รุ่นในรอบนี้จะมีหน้าจอโค้ง Dual Curved Screen มาให้ทั้ง 2 รุ่นเลย ไม่แบ่งแยกเป็น S8 และ S8 Edge แล้ว แต่รอบนี้ใช้ชื่อว่า S8 และ S8+ แทนนั่นเอง
พอเป็นหน้าจอโค้งทั้งคู่แบบนี้ความต่างก็เขยิบเข้ามาใกล้กว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทั้ง 2 รุ่นนี้สเปคหรือดีไซน์ภายนอกนั้นแทบจะเหมือนกันหมด ต่างกันหลักๆที่ขนาดเท่านั้น ซึ่งเจ้า Galaxy S8 จะมาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้ว ส่วน S8+ จะมาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 6.2 นิ้ว
หน้าจอรอบนี้มีการปรับเปลี่ยนไปจากมาตรฐานเยอะมาก เพราะอัตราส่วนหน้าจอของทั้ง 2 รุ่นนี้จัดมาให้แบบพิเศษเลยที่ 18.5:9 ความละเอียดหน้าจอเพิ่มเป็น QHD+ (2960x1440 พิกเซล)ทำให้ได้ขนาดหน้าจอที่ยาวกว่าเดิมมาก (รุ่นทั่วๆไปเป็นอัตราส่วน 16:9)การแสดงผลทำให้ดูเต็มตามากขึ้นแต่ตัวเครื่องไม่ได้ขยายออกข้างไปกว่ารุ่น S7/S7 Edge มากนัก ชนิดหน้าจอยังคงเป็น Super Amoled
อย่างที่บอกว่าหน้าจอยาวขึ้นทั้งบนล่างการใช้พื้นที่หน้าจอจึงทำได้เต็มตัวเครื่องมากๆ สังเกตจากตัวเครื่องที่มีหน้าจอใหญ่ขนาดนั้นแต่ตัวเครื่องไม่ได้ใหญ่ขึ้นแบบมากมายอะไร ยังคงจับถือในมือเดียวได้ถนัดดีอยู่ครับไม่ได้ใหญ่ขึ้นแบบเกินไป ขนาดตัวเครื่องทั้ง 2 รุ่นนั้นจะอยู่ที่
หน้าตาด้านหน้ารอนี้ได้ตัดปุ่มโฮมที่คุ้นเคยออกไปเรียบร้อยตามคอนเซ็ปต์ดีไซน์ว่า ไร้กรอบ ไร้ปุ่มโฮม เลยนั่นแหละ แต่ถึงแม้ด้วยภายนอกจะดูเหมือนเอาออกไปแล้วจริงๆ แต่ใต้หน้าจอนี้ทาง Samsung ยังฝังปุ่มโฮมแบบ Force Touch ไว้ตรงกลางนั้นด้วย เวลาเรากดด้วยแรงประมาณนึงตัวปุ่มจะสั่นรับคล้ายๆกับปุ่มโฮมแบบใหม่ของ iPhone 7 ประมาณนั้นครับ ซึ่งตรงนี้เราสามารถกดได้ตลอดเลยถึงแม้ว่าจะล็อกหน้าจออยู่เพียงกดแรงๆลงไปก็จะเหมือนปุ่มโอมแบบกดเดิมแล้วครับ
เหนือหน้าจอคราวนี้มีเซ็นเซอร์มาให้เพียบเลย ไล่จากด้านซ้ายมาคือไฟ LED แจ้งเตือน , ไฟ Infrared สำหรับสแกนม่านตา , เซ็นเซอร์วัดแสง , เซ็นเซอร์จับระยะ , ลำโพงสนทนา , กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล และเซ็นเซอร์สแกนม่านตาครับ คราวนี้ใต้ลำโพงสนทนาจะไม่มีโลโก้ Samsung อย่างเคยๆแล้วเช่นกันครับ
Galaxy S8/S8+ นั้นมาพร้อมกระจกกันรอยตัวล่าสุดจาก Corning นั่นก็คือ Gorilla Glass 5 ซึ่งก็มีความแข็งแกร่งกว่าตัวก่อนเยอะทีเดียว เคลมว่ามาโอกาสรอดจากการตกที่ความสูง 1.6 เมตรถึง 80% เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวครับ แต่ถึงแม้จะกันได้ขนาดนั้น ก็ไม่วายกลัวเรื่องรอยขีดข่วนรุนแรงกันอยู่ดีล่ะเนอะ แต่พอหน้าจอไร้โลโก้ ไร้ปุ่มโฮมแบบนี้พวกฟิล์มกันรอยหรือกระจกกันรอยที่ใช้ติดก็คงดูสวยเนียนกว่าเดิมแน่นอน อย่างกระจกกันรอยแบบเต็มจอลงโค้งตัวใหม่ FOCUS 3D FULL FRAME ที่จะออกมาตอนที่ตัวเครื่องวางจำหน่าย ก็จะช่วยปกป้องได้อย่างเต็มหน้าจอ เพิ่มความคงทน แข็งแรง คงความสดใสของหน้าจอ หมดปัญหาเรื่องฝุ่นเข้าขอบจอ ทัชลื่นไม่สะดุด ตอบโจทย์ทุกการใช้งานแน่นอน
ดูด้านหน้าไปเยอะละ พลิกกลับมาดูด้านหลังกันหน่อย หน้าหลังคราวนี้ก็ยังคงเป็นกระจกโค้งเหมือนกัน แต่คราวนี้มีความเนียนกว่าเดิมเพราะความโค้งของกระจกด้านหลังนั้นเท่ากับด้านหน้าเลย เวลาจับถืดนั้นให้ความรู้สึกที่สมดุลและเนียนมือกว่าแบบตอน S7 Edge ที่อันนั้นด้านหน้าหน้าจะโค้งเยอะ แต่ด้านหลังจะโค้งนิดหน่อย
ตำแหน่งการวางของด้านหลังก็เปลี่ยนไปจากเดิมนิดหน่อย เพราะด้วยการที่ตัดปุ่มโฮมด้านหน้าออกไป ก็จำเป็นต้องย้ายเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมาไว้ด้านหลังมาแทนที่ Heart Rate Sensor เดิม , ตัวเลนส์กล้องยังอยู่ตรงกลางเหมือนเดิมแต่รอบนี้เลนส์ไม่นูนขึ้นมากเยอะเท่าไหร่แทบจะแบนราบไปเลยก็ว่าได้ (เพราะเครื่องมันหนาขึ้นกว่าเดิมด้วยแหละ) ส่วนไฟแฟลชและ Heart Rate ย้ายมาอยู่ฝั่งซ้ายและอยู่ภายใต้กระจกเเลย
อย่างที่บอกว่ากระจกหน้าและหลังมีความสมดุลมากขึ้นกรอบเครื่องก็มีความเนียนกับกระจกแบบไร้รอยต่อมาก ด้านขวามือยังคงมีปุ่ม Power อยู่เช่นเคย
ซ้ายมือมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงเหมือนเดิม แต่เพิ่มปุ่มพิเศษอย่าง Bixby เข้ามาด้วย ให้เราเข้าถึงหน้า Bixby Home ได้อย่างง่ายดาย (เดี๋ยวอธิบายการใช้งานอีกทีเนาะ)
ด้านล่างพอร์ทการเชื่อมต่อของรอบนี้เปลี่ยนไปเป็น USB-C แล้ว มีแจ็ค 3.5 มม.อยู่ซ้ายล่างนี้เช่นเคย , ไมโครโฟนสนทนาก็ด้วย ลำโพงหลักยังคงเป็นตัวเดียวเหมือนเคยครับ
ด้านบนมีไมโครโฟนตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวน และช่องใส่ซิม ถาดซิมยังคงเป็นแบบไฮบริดรองรับ 2 ซิม (แบบซิมแรก 4G ซิมที่สอง 3G ได้) และ 1 ซิม 1 เม็มอยู่นะครับ ไม่ได้มี 3 Slot
รวมๆแล้วดีไซน์ต้องบอกว่าสวยขึ้นมากด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น แสดงผลได้ยาวกว่าเดิม ในขณะที่ต้องเครื่องนั้นดูไม่ใหญ่ขึ้นมากมายนัก และด้วยกระจกโค้งทั้ง 2 ด้าน หน้า-หลังนั้นโค้งกำลังดี ไม่มากหรือน้อยไปจนจับลำบากยิ่งทำให้เรื่องการดีไซน์ของ Galaxy S8/S8+ นั้นสวยดูมีระดับขึ้นไปอีกเยอะเลยครับ
สเปค Samsung Galaxy S8/S8+
- รัน Android 7.0 Nougat ครอบด้วย Grace UX เวอร์ชั่นใหม่
- หน้าจอ Super Amoled โค้ง 5.8 นิ้ว (S8)/ 6.2 นิ้ว (S8+)ความละเอียด QHD+ 2960x1440 พิกเซล อัตราส่วน 18.5:9
- หน่วยประมวลผล Exynos 8895 Octa-core
- แรม 4GB
- รอม 64GB
- รองรับ Micro-SD สูงสุด 256GB
- แบตเตอรี่ 3000 mAh (S8) / 3500 mAh (S8+)
- รองรับระบบ Fast Charge
- กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล รองรับ Auto-Focus f/1.7
- กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล รองรับ Auto-Focus f/1.7
- รองรับ 2 ซิมผ่านถาดซิมไฮบริด
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง
- กันน้ำกันฝุ่นได้ตามมาตรฐาน IP68
รอบนี้จริงๆก็ยังคงคล้ายกับตอน S6 หรือ S7 นะครับที่ทั้ง 2 รุ่นเปิดตัวมาด้วยสเปคเดียวกัน จะต่างกันจริงๆก็เรื่องหน้าจอที่รอบนี้แค่ขนาดล้วนๆ ไม่ใช่ความโค้งแบบ 2 รุ่นก่อนหน้านั้นแล้ว และความจุแบตเตอรี่ก็ต่างกันไปตามขนาดหน้าจอนิดหน่อยครับ เวลาจะเลือกซื้อก็เลือกกันเอาตามขนาดหน้าจอล้วนๆเลยล่ะแบบนี้
ระบบปฏิบัติการและ UI
มาต่อในเรื่องของระบบปฏิบัติการและพวก UI กันต่อ Galaxy S8 นี้ยังคงมาพร้อมกับระบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat อยู่ แต่เอาจริงๆนี่ก็เรียกว่าแทบจะล่าสุดแล้วล่ะ หน้าตามีการครอบทับ้วย Grace UX ตัวใหม่เข้าไปอีกทีแต่ก็ดูสวยแปลกตาไปอีกรอบเช่นกัน
ด้วยความโค้งเว้าของหน้าจอที่เพิ่มมากขึ้นทั้งตัวจอจริงๆตามมุมก็มีการเพิ่มความโค้งเข้าไปอีก หน้าตา UI จะให้เป็นเหลี่ยมๆก็คงไม่ได้แล้วล่ะเนอะ ไอคอนต่างๆปรับโฉมใหม่กันอีกครั้ง เน้นเป็นสีสันเรียบง่ายแต่ดูสะดุดตา แบ่งเป็นหมวดๆการใช้งานชัดเจนอย่างไอคอนสีเขียวจะเป็นเกี่ยวกับการสื่อสาร , สีแดงเป็นข้อมูล , สีเทาเป็นฟังค์ชั่นเป็นต้นครับ
รอบนี้ในค่าเริ่มต้นจะไม่มีไอคอน App Drawer ติดมาให้แล้ว การเข้าถึงจะใช้การเลื่อนหน้าจอขึ้นในหน้า Home Screen แทน ก็ถือว่าสะดวกดีเพราะเราไม่จำเป็นต้องเลื่อนนิ้วมาที่มุมจอเพื่อกดเข้าหน้า App Drawer อีก แถมยังได้พื้นที่ไอคอนเพิ่มมาอีก 1 ด้วยน่ะนะ
แต่ถ้าไม่ชินจริงๆทาง Samsung ก็ยังมีตัวเลือกให้ปรัยเอาปุ่ม App Drawer นี้กลับมาเช่นกันเราสามารถกดเข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Display > Home Screen > Apps Button ครับ
ไหนๆก็เข้ามาที่เรื่องการตั้งค่านี้แล้วมาพูดถึงเรื่องความละเอียดหน้าจอกันหน่อยตั้งแต่มีการอัพเดทเป็น Android 7.0 Nougat ทาง Samsung ก็ได้ให้ทางเลือกในการปรับความละเอียดหน้าจอเองได้แล้ว ซึ่งค่าเริ่มต้นของทั้ง S8 และ S8+ นั้นจะตั้งความละเอียดมาให้เพียงระดับกลางหรือ FHD+ เท่านั้น แต่ความละเอียดสูงสุดที่มาจริงๆจะเป็น QHD+ นะครับ ตรงนี้ก็เพื่อการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดูจะประหยัดขึ้น และความละเอียดแบบนี้ถ้ามองดูบน S8 แล้วก็ถือว่าสวยคมพอดีแล้วเช่นกัน ถ้าไม่ทักก็คงไม้รู้หรอกว่านี่ไม่ได้ตั้งเป็น QHD+ แต่ถ้าอยากได้แบบเต็มๆเวลาดูไฟล์ภาพหรือหนังความละเอียดสูงก็ไปปรับกันได้ที่ Settings > Display > Screen Resolution ครับ
หลังจากที่มีการเปลี่ยนมาใช้ On Screen Button แบบนี้ก็ทำให้เราปรับสีสันของปุ่มด้านล่างหรือสลับตำแหน่งของปุ่มได้หลากหลายมากขึ้นไปอีก แน่นอนเรื่องการปรับสลับตำแหน่งนี่หลายๆแบรนด์ก็ทำได้หมด แต่เรื่องการปรับสีสันของแถบ Navigation Bar นั้นยังไม่ค่อยเคยเห็นเท่าไหร่ ซึ่งของ Galaxy S8 นั้นเราก็สามารถปรับได้โดยไม่ต้องโหลดแอปเพิ่มเติม โดยให้เข้าไปที่ Settings > Display > Navigation Bar ครับ
ระบบ Theme การจัดการหน้าจอที่ครอบคลุมมากขึ้น บน Galaxy S8/S8+ ในหน้าการปรับแต่งนี้กดเข้ามาได้จากการแตะค้างที่หน้า Home Screen หรือจีบนิ้วเข้าหากันในหน้าแรกนี้ จะมีคำสั่ง Wallpapers and Theme เลย ซึ่งในนี้จะมีให้เราเลือกปรับได้หมดทั้ง Wallpaper (เลือกดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้) , Theme อันนี้คงคุ้นเคยกันแล้ว , Icon เลือกปรับได้เฉพาะไอคอนเองได้ และ AOD หน้า Always On Display ด้วย ซึ่งรอบก่อนตอน Galaxy Note 7 ได้มีรูปแบบ Wallaper มาใหม่หรือ Motion Wallpaper รอบนี้เหนือขั้นไปอีก เรียกว่า Infinity Wallpaper ที่จะมีตีมเฉพาะของ Samsung มาให้ 4 แบบหลักถ้าเปลี่ยนนี่จะเลือกครอบคลุมทั้งหมดตั้งแต่ Always on Display ไปจนถึงหน้า Home Screen เลยโดยจะมีเอฟเฟกต์ตามการเคลื่อนไหวของเราเป็นพวกอวกาศสวยๆด้วย
Always On Display ของรอบนี้ะดูแปลกไปอีกนิดหน่อยด้วยหน้านาฬิกาแบบใหม่ของค่าเริ่มต้น และแน่นอนมีการเพิ่มรูปปุ่มโฮมมาในตำแหน่งที่มีปุ่มโฮมแบบ Force Touch ซ่อนอยู่นั่นเองครับ
ตัว Edge Screen ด้านข้างรอบนี้ก็ยังคงใส่ฟีเจอร์ทางลัดเข้าแอปมาเหมือนตอน S7 Edge แต่มีเพิ่มลูกเล่น Smart Select จากซีรีส์ Note เข้ามาเพิ่มด้วย ซึ่งตรงนี้เราสามารถครอปภาพเป็นส่วนๆ (จะวงกลม , สี่เหลี่ยม) ได้ หรือสร้างไฟล์ GIF เฉพาะส่วนได้จาก GIF Maker ด้วยครับ
การใช้งานและฟีเจอร์เด่น
มาต่อในเรื่องของการใช้งานต่างๆกันต่อการใช้งานนั้นจับใช้มือเดียวถนัดแค่ไหน และช่วยอะไรได้บ้างกับหน้าจอ Infinity Display ตัวนี้ เริ่มที่ขนาดตัวเครื่องกันก่อนเลย ขนาดหน้าจอที่ใหญ่แบบจริงจังนั้น ถึงเราจะถือได้ถนัดแต่การเอื้อมนิ้วไปตามหน้าจอสำฟรับการใช้งานมือเดียวก็ค่อนข้างจำกัดเหมือนกัน อย่างถ้าเป็น S8 ยังพอเอื้อมนิ้วไปสุดทั้งซ้ายขวาอยู่ แต่ถ้าบนล่างนี่เวลาจะเอื้อมไปก็ต้องมีการเขยิบขึ้นลงบ้าง แต้ยังโชคดีที่ตัวขอบจอรอบนี้ใช้งานได้ดีไม่มีอาการลั่นแบบตอน S7 Edge แล้วนะ
ส่วนถ้าเป็น S8+ นั้นต้องบอกเลยว่าใหญ่ขึ้นกว่าเยอะ ความกว้างมากขึ้นซ้าย-ขวาก็ใหญ่ประมาณ S7 Edge ได้ แต่ถ้าจะให้เอื้อมมือขึ้นไปแตะบนสุดหรือกดปุ่ม Navigation Bar ก็จะลำบากเกินไปหน่อย อารมณ์การปรับตัวก็คงคล้ายกับตอนที่ iPhone 5 ออกมาใหม่ๆละเปลี่ยนมาจาก iPhone 4S ทำนองนั้นครับ แต่นี่เราไม่ได้พูดถึงจอ 3.5 ไป 4 นะ เพราะมันคือ 5.5 ไป 6.2 เลยทีเดียวล่ะ
แต่ตรงนี้ทาง Samsung ก็คิดวิธีรับมือสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้งานมือเดียวไว้แล้ว โดยเราสามารถเลื่อนนิ้วจากมุมจอด้านล่างเฉียงขึ้นด้านบนเพื่อเป็นการย่อหน้าจอหรือเปิดโหมด One Hand UI นั่นเอง ซึ่งตรงนี้จะมีการย่อขนาดหน้าจอที่โชว์เหลือเพียงราวๆ 4 นิ้ว ทีนี้การกลาดนิ้วไปให้ทั่วหน้าจอก็ทำได้แล้วล่ะครับ
หน้าจอ Infinity Display แบบนี้ด้วยความยาวที่เพิ่มขึ้นมาก็ช่วยในเรื่องของการเสพย์คอนเท้นท์ที่ทำได้มากขึ้นกว่าเดิมด้วย อย่างการอ่านฟีด Facebook , Twitter หรือหน้าเว็บก็จะแสดงรายละเอียดได้มากกว่าเดิม เพราะขนาดจอนั้นยาวกว่าเดิมไม่ได้ขยายออกข้างแบบเท่าๆกันเหมือนรุ่นปกติ ทำให้เนื้อหาที่แสดงจะมากขึ้นกว่าเดิมนั่นล่ะครับ
หรืออีกด้านเรื่องการใช้งาน Multi Window ที่ปกติในรุ่นก่อนก็ใช้งานได้ดีระดับนึงแล้ว แต่ก็มักจะเจอปัญหาเดิมๆคือเวลาใช้งาน 2 หน้าจอแต่ต้องการจะพิมข้อความลงไปในหน้าจอใดจอหนึ่งตัวคีย์บอร์ดจะดันขึ้นมาทำให้การแสดงผลกว่าครึ่งหายไปทั้งหมด แต่ถ้าด้วยอัตราส่วนแบบใหม่นี้ถึงจะมีการพิมอะไรลงไปในหน้าต่างใดหน้าต่างหนึ่งก็ไม่เจอปัญหาคีย์บอร์ดล้นจอที่ว่าแล้วครับ
Bixby ผู้ช่วยใหม่ รอบรู้ไปหมด อีกหนึ่งจุดที่ทาง Samsung เน้นใน Galaxy S8/S8+ นี้ก็คือระบบผู้ช่วยให่อย่าง Bixby ที่ถูกเพิ่มเข้ามาจัดการอะไรหลายๆอย่างในเครื่องเราได้ โดย Bixby Home นี้จะมาแทนที่หน้า Briefing เดิมที่อยู่หน้าซ้ายสุดบน Home Screen ของสมาร์ทโฟน Samsung มาหลายรุ่น รอบนี้ก็ถูกเปลี่ยนมาแทนทั้งหมด จะมีเป็นการ์ดแสดงพวกแอปหลักๆอย่าง ปฏิทิน (มีวันหยุดพิเศษไหม) , สภาพอากาศในวันนั้น , นาฬิกาปลุก , ข่าวต่างๆ (ก็ยังเป็น Flipboard แบบเดิม) หรือถ้ามีการล็อกอินพวกแอปโซเชี่ยลไว้ก็จะมีมาโชว์ด้วยอย่างในที่นี้ผมมีบัญชี Twitter อยู่ในเครื่องก็จะมีโชว์ Trend 5 อันดับแรงในตรงนี้ด้วยครับ
นอกจากนี้ Bixby ยังทำงานร่วมกับแอปกล้องถ่ายรูปเพื่อค้นหาข้อมูลของภาพต่างๆที่เราถ่ายหรือภาพที่เซฟมาได้ด้วย อาทิ เราอยากรู้ว่าสถานที่ในภาพนี้เป็นที่ไหน ถ้าภาพมีความชัดเจนและคล้ายคลึงพอตัวแอปก็จะโชว์ข้อมูลของสถานทีนั้นๆขึ้นมาโดยเอาฐานข้อมูลจาก Foursquare หรือถ้าภาพวาดภาพถ่ายสวยๆก็จะไปผูกกับ Pinterest , ถ้าภาพสินค้าจะเป็น Amazon เป็นต้นครับ
แต่น่าเสียดายที่ตัวเครื่องที่เราได้มาทดสอบนี้ยังไม่สามารถใช้งานระบบ Voice หรือสั่งการด้วยเสียงแบบ S-Voice เดิมได้ (จริงๆระบบนี้ก็เอามาแทน S-Voice ด้วยน่ะนะ) ซึ่งถ้าใช้งานได้น่าจะมีประโยชน์ขึ้นมาอีกเยอะอยู่ในการสั่งการต่างๆ
Galaxy S8/S8+ ยังคงมาพร้อมความสามารถกันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 เช่นเคย สามารถเอาลงน้ำได้ 1.5 เมตรนาน 30 นาที กันอุบัติเหตุได้การตกน้ำหรือน้ำสาดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพครับ ตรงนี้หายห่วงได้
ระบบรักษาความปลอดภัยหลากหลาย
มาเข้าเรื่องรักษาความปลอดภัยกันต่อ Galaxy S8/S8+ นี้ให้เซ็นเซอร์มาเยอะแยะเต็มไปหมดอย่างที่เห็นจากรอบๆตัวเครื่อง ทั้งสแกนม่านตา , สแกนลายนิ้วมือ อันที่จริงยังมีระบบสแกนใบหน้าเข้ามาด้วยนะ แต่ผมจะขอพูดเป็นเรื่องๆไปละกันเนอะ เริ่มจากระบบสแกนลายนิ้วมือเดิมที่พอมีการย้ายตำแหน่งมาแบบนี้หลายคนอาจะคิดว่ามันจะถนัดรึเปล่า เพราะ Samsung ไม่ค่อยมีสมาร์ทโฟนที่ใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่อยู่ด้านหลังเลย แถมตำแหน่งยังไม่ได้อยู่ตรงกลางเครื่องแบบของเจ้าอื่นๆด้วย แรกๆมาต้องบอกก่อนเลยครับว่าไม่ชินอย่างแรง ด้วยตำแหน่งที่ไม่อยู่ตรงกลางอย่างที่บอก แถมแถวๆนั้นยังมีเลนส์กล้องอยู่ด้วย มีการแตะผิดบ่อยครั้งมาก
แต่…!ถ้าใครที่เคยใช้เซ็นเซอร์ Heart Rate จนชินตรงนี้คงสะดวกได้ไม่ยากนัก เพราะมันคือตำแหน่งเดียวกันเลย ซึ่งผมไม่ใช่อะนะ ตอนได้เครื่องมาแรกๆไม่แตะเลยใช้กดรหัสหรือสแกนใบหน้าเอาง่ายกว่า แต่พอลองปรับตัวหน่อยจนชินก็คิดว่ามันใช้ง่ายดีนะ แตะปุ๊บติดปั๊บแบบค่ายอื่นๆแหละ เพียงแต่ตำหน่งการวางอาจจะต้องใช้ความชินจริงๆ ถ้าใช้บ่อยปรับตัวได้หลังก็ไม่ค่อยพลาดแล้วแถมยังใช้มันบ่อยขึ้นด้วยแหละ แต่อันนี้ต้องบอกก่อนว่าผมลองกับตัว S8 เป็นหลัก ด้วยขนาดที่ไม่ใหญ่มากของตัวเครื่องยังพอใช้งานได้สะดวก แต่ถ้าเป็นบน S8+ ก็อาจจะต้องเกร็งนิ้วในการเอื้อมนิดหน่อยน่ะนะ
ถ้าคิดว่าต้องใช้เวลาปรับตัวมากเกินไปลองมาใช้ระบบสแกนใบหน้าอย่างที่ผมบอกไปไหมล่ะ ? ตัวนี้สะดวกสุดๆเพราะระบบสแกนใบหน้าของ S8/S8+ นั้นทำออกมาได้ดีและฉับไวกว่า Face Unlock ที่เราเคยรู้จักตั้งแต่ Android 4.0 ICS มาก เพียงแค่เราปลุกจอ (ไม่ว่าจะเป็นกดปุ่ม Power หรือ Home)แล้วเอาหน้าไปใกล้ๆไม่ต้องเพ่งอะไรมาก หน้าจอก็จะปลดล็อคทันที เร็วขนาดนั้นจริงๆแหละ แต่ข้อเสียก็คือความปลอดภัยของตรงนี้ยังมีจุดที่ไม่เสถียรอยู่เพราะบางครั้งที่ผมลองเอาภาพใบหน้ามาสแกนก็มีติดบ้างหรือคนที่หน้าเหมือนอย่างฝาแฝดอันนี้หลอกได้สบายเครื่องไม่รู้ปลดล็อคให้เฉยเลย
ปิดท้ายที่รักษาความปลอดภัยขั้นสุดของจริงอย่าง ระบบสแกนม่านตาที่ได้เห็นกันอีกครั้งหลังจากตอน Galaxy Note 7 รอบนี้ก็เหมือนเดิมเลย การทำงานทำได้อย่างดีสแกนม่านตาเร็วและไม่สามารถหลอกกันได้ โดยตัวเซ็นเซอร์ด้านบนจะมีไฟ Infrared ไว้ส่องมาที่ตาและสะท้อนกลับไปที่เซ็นเซอร์เพื่อช่วยให้รู้ว่านี่คือตาจริงๆของเราไม่ใช่ตาจากภาพถ่ายด้วย ตรงนี้ถือว่าปลอดภัยได้ของจริงเจ้าตัวนี้ แต่การใช้งานค่อนข้างเสียเวลากว่า Face Unlock นิดหน่อย เพราะเราจะเป็นต้องปลุกจาก เลื่อนหน้าจอ 1 ครั้งเพื่อเข้าโหมดนี้ และถ้าเปิดสแกนม่านตาก็ไม่สามารถเปิดสแกนใบหน้าควบคู่ไปได้ด้วย ถ้าเลือกความเร็วผมแนะนำเป็นสแกนใบหน้า แต่ถ้าเลือกความปลอดภัยแบบแทบ 100% เจ้าสแกนม่านตานี่เลย
ประสิทธิภาพของ Galaxy S8
แน่นอนว่าเราได้ทราบสเปคเต็มๆของทั้ง 2 รุ่นนี้ไปแล้ว และในเรื่องประสิทธิภาพล่ะ ถ้าเทียบจากแอปวัดประสิทธิภาพนั้นสูงขึ้นกว่าเดิมมากน้อยแค่ไหน โดยเราก็จับเอามาทดสอบผ่านแอป AnTuTu Benchmark เช่นเคย ซึ่งเมื่อทดสอบแล้วผลคะแนนก็ออกมาสูงถึง 172,493 คะแนนเลยทีเดียว เทียบกับ S7 Edge นั้นถือว่าสูงขึ้นมาราวๆ 50,000 คะแนนเลยล่ะครับ
ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมบน Galaxy S8
มาเข้าเรื่องของการใช้งานมัลติมีเดียบน Galaxy S8 กันต่อ ด้วยหน้าจอที่ยาวขึ้นกับอัตราส่วนแบบ 18.5:9 มากขึ้นแบบนี้ในเรื่องของการดูหนังหรือดีวิดีโอผ่านเจ้า 2 รุ่นนี้ก็ดูเหมือนจะยิ่งเต็มตาขึ้นไปอีกเยอะ แต่...ความเป็นจริงด้วยอัตราส่วนประหลาดแบบนี้การแสดงผลวิดีโอมาตรฐานที่ 16:9 นั้นก็ดูจะขาดๆอะไรไปพอสมควร เพราะจอที่ยาวขึ้นแต่วิดีโอที่รองรับนั้นยังไม่มากพอ ถ้าเรามาเปิดดูบนจอของ S8 นั้นก็จะเกิดขอบดำที่ด้านซ้ายและขวาเพิ่มเข้ามาสุดท้ายก็เหมือนเราดูบนจอมาตรฐานเก่าอยู่ดี มีพื้นที่เว้นว่างมากขึ้นไปอีกซะงั้น
กลับกันถ้าเราดูไฟล์วิดีโอที่มีอัตราส่วนแบบยาวอยู่แล้วอย่าง 21:9 มาตรฐานตามฉบับโรงภาพยนตร์นั้น ถ้ามาเปิดดูบนเครื่อง S8 การแสดงผลก็จะเต็มตาขึ้นกว่าเดิมจริง ขอบดำที่เหลือบนล่างจะน้อยกว่าบนจอมาตรฐาน 16:9 เยอะอยู่ แต่วิดีโอแนวนั้นก็ต้องเป็นพวกหนังจริงๆหรือ Trailer ที่ทำมาให้เป็นอัตราส่วนแบบนั้นเท่านั้นล่ะเนอะ คลิปวิดีโอทั่วไปตาม YouTube ก็ยังเป็น 16:9 อยู่ดี
ตรงนี้ทาง Samsung ก็มีวิธีแก้ปัฐหาเบื้องต้นสำหรับวิดีโอไม่เต็มจอตรงนี้ด้วยการเพิ่มซอฟต์แวร์การขยายวิดีโอให้เต็มจอมากขึ้นโดยการครอปออกไปด้วย ซึ่งเวลาดูวิดีโอจะมี Pop up ขึ้นมาให้ปรัลอัตราส่วนของวิดีโอให้เข้ากับหน้าจออยู่ด้วยครับ พอกดลงไปก็จะขยายได้เต็มจอแล้ว แต่ด้วยความที่มีกาาครอปลงไป รายละเอียดบางอย่างก็อาจจะหายไปนิดหน่อย แลกเอากับการแสดงผลเต็มจอแทน
ส่วนเรื่องเสียงลำโพงของ Galaxy S8/S8+ นั้นยังคงเป็นแบบตัวเดียว ไม่ใช่ลำโพงคู่ที่ใช้งานร่วมกัน 2 ตัวแต่อย่างใด ตำแหน่งก็ยังวางอยู่ที่เดิมเหมือนตอน S7 เป๊ะ แต่เสียงที่ได้ออกกลางๆครับ มิติอาจจะไม่ได้เยอะมากมายอะไร
แต่ระบบเสียงผ่านหูฟังมีการอัพเกรดขึ้นมาอีกนิดรองรับระบบ 32bit แล้วด้วย แถมในกล่องของทั้ง S8 และ S8+ ยังแถมหูฟัง AKG มาให้อีกด้วยนะ
**โปรดลดเสียงก่อนกดดูคลิป พอดีใส่เสียงอินโทรดังเกินไปหน่อยค้าบบ -/\-**
เล่นเกมล่ะ ? การเล่นเกมของ S8 นี้ก็ทำได้ดีครับ ถ้าพูดในเรื่องของสเปคนี่ก็ทำงานได้ลื่นไหลสบายๆ ทั้งเกมเก่าเกมใหม่ก็เล่นได้หมด รองรับได้อย่างเต็มที่ แถมในเรื่องอัตราส่วนที่ยาวขึ้นนี้เราก็สามารถปรับให้เต็มจอได้อีกด้วย แต่บางเกมอาจจะยังไม่รองรับเต็มที่ ตรงนี่ก็เพราะปัจจุบันเกมก็ยังดูเหมือนพัฒนามาในอัตราส่วนแบบ 16:9 ซะส่วนใหญ่ล่ะเนอะ
กล้องหลังปรับซอฟต์แวร์หน่อยสวยเนียนไปอีก
มาถึงเรื่องกล้องที่น่าจะเป็นจุดขายของสมาร์ทโฟนในยุคนี้กันบ้าง Galaxy S8/S8+ ยังคงมาพร้อมกับกล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่าเดิม ค่ารูรับแสงก็กว้าง f/1.7 เท่าเดิม ในส่วนของฮาร์ดแวร์ดูไม่ต่างจากเดิมมากนัก หลักๆในรอบนี้จะเน้นไปที่ซอฟต์แวร์ซะมากกว่าฮะ
หน้าตา UI ยังคงคล้ายกับของ S7 ที่มีการอัพเดทใหม่แล้วอยู่ ใช้งานมือเดียวได้ง่ายเพราะสามารถสลับกล้องหน้าหลัง , เปลี่ยนโหมดหรือซูมภาพได้จากการเลื่อนหน้าจอขึ้น-ลง ซ้าย-ขวา แตะเลื่อนซ้าย-ขวาจากปุ่มชัตเตอร์เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเพิ่มลูกเล่นเล็กๆน้อยๆอย่าง Bixby Vision หรือเอฟเฟกต์หน้าการ์ตูนเข้ามาในหน้ากล้องหลังด้วย
และในการถ่ายภาพในที่แสงน้อบรอบนี้ทาง Samsung ได้มีการเพิ่มระบบ Multi Frame Processor ที่ช่วยให้ได้ภาพรายละเอียดที่คมชัดขึ้นโดยการถ่ายภาพหลายๆภาพแล้วเอามารวมกันในภาพเดียวให้ได้รายละเอียดมากขึ้นด้วย ตรงนี้อยู่ในโหมด Auto เลยเราไม่ต้องเลือกอะไรมากตัวกล้องจัดการให้หมดครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ Galaxy S8 คุณภาพของกล้องหลังยังคงทำยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของ Samsung จนแอบคล้ายกับ S7 มากๆ ความต่างยังไม่ถึงกับชัดเจนมากนัก แต่ในความรู้สึกผมเหมือนว่าเรื่องแสงน้อยจะทำได้สว่างมากขึ้น (คงเพราะใช้ Multi Frame) และสีสัน White Balance ค่อนข้างตรงกว่าเดิมไม่ค่อยติดเหลืองเท่าไหร่แล้วน่ะนะ
กล้องหน้าอัพเกรดเยอะมี Auto Focus
กล้องหลังยังดูเดิมๆ แต่กล้องหน้