Review iPhone 12 Pro Max
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย ในที่สุดก็ได้ปล่อยรีวิวฉบับเต็มของ iPhone 12 Pro Max เสียที หลังจากที่เราได้ลองใช้งานจริงกว่า 1 เดือนเต็ม เจอสิ่งที่ชอบและไม่ชอบอยู่หลายอย่างเลย ด้วย แล้วถ้าเทียบกับ iPhone 11 Pro Max ที่เฮียเคยใช้มาก่อน คุ้มค่าแค่ไหนถ้าจะอัปเกรดมารุ่นนี้ ติดตามได้จาก รีวิวฉบับเต็ม iPhone 12 Pro Max นี้เลย !!
ดีไซน์
ดีไซน์เหลี่ยมขึ้น ทุกอย่างแบนลง
เริ่มต้นกันที่เรื่องดีไซน์ก่อนเลย iPhone 12 Pro Max มาพร้อมตัวเครื่องทรงเหลี่ยมมากขึ้น และแบนลงในทุกมิติครับ ขอบที่เคยโค้งมน หน้าจอที่เคยเป็น 2.5D มีมุมโค้งนิด ๆ ก็แบนราบไปเลย ส่วนตัวชอบความแบนไปทั้งหมดแบบนี้เพราะเวลาติดฟิล์มหรือกระจกกันรอยก็จะคลุมมิดไปทั้งหมดเลย
ขอบตัวเครื่องก็จะใช้วัสดุเป็นสแตนเลสสตีลที่มีความมันวาวเสียจริง คือได้ความหรูหรามาก ๆ เห็นแล้วต้องยอมในความเงางาม พรีเมี่ยมขึ้นเยอะ แต่แน่นอนว่าขอบนี้ก็ต้องแลกมากับรอยนิ้วมือที่ติดกันมาแบบเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ แค่แตะก็ติดไปหมดแล้ว
แล้วถ้าเทียบกับ 11 Pro Max ล่ะ ? ในเรื่องความมันวาวติดรอยนิ้วมือ จริง ๆ รู้สึกว่าพอกันเนาะ ใครเคยใช้มาตั้งแต่ iPhone X หรือ Xs ก็คงรู้สึกเหมือนกัน อันนี้ไม่ต่างกันมาก แต่ความรู้สึกเวลาจับถือจะแตกต่างไปพอสมควร จากเดิมที่เราจับเครื่องแล้วจะรับรูปมือหน่อย ๆ เพราะความโค้ง แต่บน 12 Pro Max จะเหลี่ยมแบบตัดไปเลย ซึ่งถ้าถามว่ามันถนัดมือไหม ก็บอกว่ามันถนัดกันคนละแบบอะเนาะ
ขอบเหลี่ยมของ iPhone 12 Pro Max ตามสเปคแล้วจะมีความบางอยู่ที่ 7.4 มม. เทียบกับ 11 Pro Max ที่ 8.1 มม. แน่นอนว่าบางกว่า แต่การใช้งานจริงเรากลับคิดว่าไม่ใช่แบบนั้นครับ ด้วยความเหลี่ยมไปเลย เวลาจับถือตัวเครื่องจะให้ความรู้สึกที่หนากว่าแบบโค้งมนนิดหน่อยด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องบาดมือ เท่าที่ลองใช้งานจริง ๆ ไม่พบว่ามันบาดมือจนเลือดออกได้แน่ ๆ แต่ถ้าถามว่ามันคมไหม ยอมรับว่ามันคมใช้ได้ ถ้าถือใช้งานนาน ๆ ก็จะอาจเป็นรอยแดง ๆ ได้อยู่เหมือนกัน
แต่สุดท้ายเชื่อว่าส่วนใหญ่ก็มักจะต้องใส่เคสกันอยู่แล้ว ตัวขอบเหลี่ยมที่ว่าบาดมือหรือรอบนิ้วมือที่ติดอยู่บนขอบได้ง่าย ปัญหาเหล่านั้นคงหมดไปแน่นอน อันนี้ไม่ใช่ปัญหาที่น่าเป็นห่วงอะไรจะเป็นจริง ๆ ก็เรื่องถัดไปนี่แหละ...
เครื่องใหญ่ น้ำหนักก็เยอะ...เป็นธรรมดา
ขนาดและน้ำหนักของ iPhone 12 Pro Max ถ้าเทียบกับ 11 Pro Max ก็ไม่ได้ต่างกันแบบเห็นชัดครับ ตามสเปคตัวเครื่องหนักถึง 226 กรัม ซึ่งจริง ๆ ก็เท่ากับรุ่นก่อนเลย ถ้าเคยถือรุ่นก่อนมาแล้วชิน รุ่นนี้ก็ไม่ต้องปรับตัวเยอะครับ แต่ถ้าถามตรง ๆ น้ำหนักขนาดนี้บวกเคสเข้าไปอีก ก็ยอมรับครับว่าเป็นมือถือที่หนักดีจริง ๆ ถือใช้งานนาน ๆ มีเมื่อยแน่นอน ยิ่งด้วยขนาดความใหญ่ขนาดนี้เวลาเราถือก็ต้องใช้นิ้วก้อยรองใต้ตัวเครื่องเสมอ แล้วถ้าใครที่ต้องถือใช้งาน ถือพิมพ์นาน ๆ มีปวดแน่
หน้าจอ OLED ที่ใหญ่ได้ถึงใจแล้ว
มาพูดถึงเรื่องหน้าจอกันบ้าง ดีไซน์หน้าจอของ iPhone 12 Pro Max ก็ยังคงใช้จอแบบติ่งขนาดใหญ่เหมือนเดิม ตรงนี้ผู้ที่ใช้ไอโฟนรุ่นหลัง ๆ มาก็คงชินกับมันแล้วแหละมั้ง แต่จุดที่เราชอบก็คือขนาดหน้าจอที่ปีนี้ขยายใหญ่ขึ้นได้อีกเป็น 6.7” แล้ว ใหญ่เทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนเรือธงแอนดรอยด์หลาย ๆ รุ่นได้สักที หลังจากที่ค้างอยู่ที่ 6.5” มาหลายปี
โดยรวมแล้วจอใหญ่ขึ้นกว่าตอน iPhone 11 Pro Max อีกหน่อย ถูกใจมากขึ้นเพราะตัวเครื่องก็ไม่ได้ใหญ่ขึ้นจนทำให้การพกพานั้นยากกว่าเดิมนัก ในเรื่องการแสดงผลก็ยังสวยงามคมชัดแบบไม่ต้องติอะไรเลย แต่มีจุดที่เสียดายมาก ๆ อยู่ก็คือ refresh rate ที่ก็ยังเป็น 60Hz อยู่ดี เทียบกับฝั่งแอนดรอยด์ที่ไป 90Hz, 120Hz แล้วดูเบาไปเลยจริง ๆ
สีสันที่อมเหลืองยังมีอยู่บนรุ่นนี้...แต่เรื่องสีสันต้องติเลยว่า iPhone 12 Pro Max นั้นยังเป็นจอ OLED ที่อมเหลืองอยู่มาก ๆ ไม่ต่างจากตอน 11 Pro Max เลย ยิ่งถ้าเทียบกับฝั่งแอนดรอยด์หรือถ้ามาจาก iPhone 8, iPhone X, iPhone 11 แล้วคงคิดว่าจอเสียแน่ ๆ เพราะสีขาวไม่ขาวจริง ๆ เลย อมเหลืองแบบชัดเจน แม้จะปิด True Tone ไปแล้วก็ตาม
แต่ยังดีที่ Apple มีตัวเลือกในการปรับสีหน้าจอได้เองด้วยฟีเจอร์ Color Filter ให้เราได้ปรับโทนสีของจอให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้ อยากให้ขาวจริง ๆ อยากให้อมแดงนิด ๆ หรืออมฟ้าหน่อย ๆ ก็เลือกได้ แก้ปัญหาได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว
วิธีตั้งค่า Color Filters
Settings > Accessibility > Display & Text Size > Color Filters
(ภาษาไทย การตั้งค่า > การช่วยการเข้าถึง > จอภาพและขนาดข้อความ > ฟิลเตอร์สี)
กระจกกันรอย Ceramic Shield
หน้าจอของ iPhone 12 Pro Max นั้นใช้กระจก Ceramic Shield ที่ Apple เคลมว่าทนทานต่อการตกได้มากกว่าเดิม 4 เท่า ! ย้ำครับเคลมว่าทน “ต่อการตก” ซึ่งจากที่ดูสื่อนอกทดสอบกันมาก็เห็นว่าทนขึ้นจริง แต่ถ้าในเรื่องรอยขีดข่วนนั้นไม่ต่างจากเดิมมากนัก อันนี้เราไม่ได้ทดลองเองเพราะไม่อยากเสี่ยงเหมือนกัน เป็นไปได้ก็ติดกระจกกันรอยดี ๆ สักตัวเสริมแกร่งให้จอไอโฟนของเราหน่อยดีกว่าเนาะ ถึงแม้จะบอกว่าทนขึ้นแค่ไหน แต่อุบัติเหตุเกิดได้ทุกเมื่อแหละ ซึ่งกระจก Focus Ultimate Glass ที่เราติดนี้ก็ทนทานมาก ใช้มากกว่า 1 เดือนยังไม่เจอรอยลึก ๆ ให้เห็นเลย
รีวิวกระจกกันรอย Focus Ultimate Glass เพิ่มเติมที่นี่
ฝาหลังผิวด้าน สัมผัสดีมาก
พลิกกลับมาพูดเรื่องฝาหลังกันบ้าง iPhone 12 Pro Max ใช้ฝาหลังเป็นกระจกผิวด้าน อันนี้ไม่ต่างจากตอน 11 Pro Max เลย ยังหรูหราเหมือนกันสีที่เราเลือกมาก็คือ Graphite เทียบกับ Space Gray เดิมแล้วก็คือสีเดียวกันนี่แหละ
จุดแตกต่างจริง ๆ ก็คงเป็นเรื่องมุมที่จะไม่โค้งแล้วอย่างที่บอกไป กระจกฝาหลังของ iPhone 12 Pro Max จะแบนราบไปเลยครับ
กล้องที่ใหญ่ขึ้นแบบชัดเจน
ส่วนโมดูลกล้องของ iPhone 12 Pro Max ก็ใหญ่ขึ้นแบบชัดเจนเลยพร้อมความนูนของเลนส์ที่ยกออกมาจากตัวเครื่องพอสมควร จะเห็นว่าตัวเลนส์กล้องทั้ง 3 นั้นขนาดบิ้กเบิ้มจริง ๆ ยังวางตำแหน่งเป็นชานมไข่มุกบนพื้นผิวกระจกมันวาวตัดกับกระจกผิวด้านของตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี
เทียบขนาดกับ iPhone 11 Pro Max ให้ดูชัด ๆ ว่าต่างกันแค่ไหน ฝั่ง 12 Pro Max นี่พื้นที่กล้องกินมาถึงกลางเครื่องแล้ว ในขณะที่ 11 Pro Max ยังอยู่แค่ริม ๆ เท่านั้นเอง
ตำแหน่งปุ่มกดทุกอย่างของ iPhone 12 Pro Max ก็ยังวางไว้ที่เดียวกับรุ่นก่อนหมด ทั้งปุ่มเพิ่มลดเสียงที่แยกเป็น 2 ปุ่มอยู่ล่างปุ่ม Silent, ปุ่ม Power ขนาดใหญ่ที่อยู่มุมขวาแต่ทุกปุ่มมีความแบนเรียบไปกับตัวเครื่องมากกว่าเดิม
พอร์ตการเชื่อมต่ออยู่ที่ด้านล่างตัวเครื่อง เป็นพอร์ต Lightning เหมือนเดิม มีรูไมโครโฟนอยู่ฝั่งซ้ายและรูลำโพงอยู่ฝั่งขวาเหมือนเดิม รูเท่ากันไม่มีผิดเพี้ยน
จะมีจุดที่แตกต่างกันนิดหน่อยก็คือตำแหน่งของช่องใส่ซิมที่รอบนี้ Apple ย้ายมาไว้ที่ฝั่งซ้ายมือแทน แต่ตัวถาดซิมก็ยังเหมือนเดิม ใส่ nano-SIM ได้ซิมเดียวครับ
โดยรวมในเรื่องดีไซน์ก็มีการปรับปรุงอะไรหลาย ๆ อย่างขึ้นมา มองภายนอกก็ไม่ได้จากเดิมมากนักทั้งขนาดและน้ำหนัก จะมีจุดที่เด่นชัดจริง ๆ ก็คือความเหลี่ยมที่มากขึ้น ความแบนราบที่เยอะกว่าเดิม ทำให้ iPhone 12 Pro Max มีดีไซน์ไปในทางใหม่ หลังจากที่ Apple ใช้ดีไซน์แบบโค้งมนมาหลายรุ่น กลับมาเหลี่ยมแบบนี้ก็ทำให้หวนนึกถึง iPhone 4 หรือ iPhone 5 ได้เหมือนกัน
ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์การใช้งาน
รัน iOS 14.3 ที่เข้าที่เข้าทางแล้ว
ในเรื่องของซอฟต์แวร์ iPhone 12 Pro Max มาพร้อมระบบ iOS 14 และขณะที่รีวิวนี้ก็อัปเดตเป็น iOS 14.3 เรียบร้อย ฟีเจอร์ทั้งหมดที่โชว์ในงานเปิดตัวก็มาครบแล้ว ทั้ง Widget, AppleProRAW หรือการปรับแต่งต่าง ๆ เข้าที่เข้าทางกับฮาร์ดแวร์มากขึ้นกว่าตอน iOS 14.2.1 ตอนแกะกล่องพอสมควร
Widget ใหม่ ครั้งแรกบน iOS
ในส่วนของรูปแบบหน้าจอหลัก iOS 14 เพิ่มทางเลือกในการปรับแต่งใหม่ ให้เราสามารถใส่ Widget เข้าไปบนจอหลักได้แล้ว ก็ช่วยในเรื่องการปรับแต่งให้หลากหลายกว่าเดิม จะใส่ Widget ของแอป Music เพื่อให้กดเข้าไปฟังเพลงเร็ว ๆ ใส่ Widget ของ Weather เพื่อดูสภาพอากาศด่วน ๆ ก็ได้ด้วย เพิ่มความน่าสนใจให้จอหลักมากกว่าเดิม
มี Dark mode ให้ใช้งาน
มีรูปแบบ Dark mode คอยปรับภาพรวมของเครื่องให้เป็นโทนมืด ช่วยถนอมสายตาและแบตเตอรี่ด้วย เท่าที่ลองใช้มาตั้งแต่ตอน 11 Pro Max ก็ไม่เคยปรับกลับไปใช้โหมดสว่างอีกเลย มันสบายตากว่าอะ
ควบคุมผ่าน Gesture ได้ลื่นไหล
ส่วนรูปแบบการทำงานทั่วไปผ่าน Gesture ก็เป็นเอกลักษณ์ของ Apple ที่เริ่มใส่เข้ามาตั้งแต่ iPhone X ใช้งานได้อย่างไม่ติดขัดแล้วบนรุ่นล่าสุดแบบนี้ การทำงานต่าง ๆ ลื่นไหลมาก จะเข้า-ออกแอป สลับแอปไปมา หรือการใช้งานย้อนกลับเวลาเข้าแอปก็แค่ปาดจากมุมซ้ายมือออกมาก็ทำได้ ตอบสนองหน้าจอใหญ่ ๆ แบบนี้ได้ดี โดยที่เราไม่ต้องเอื้อมนิ้วไปถึงบนสุดของจอเลย
การจัดการแอปของ iOS ที่เรายังขัดใจ
แต่จะชมอย่างเดียวก็ไม่ได้เนาะ เรายังมีเรื่องที่ขัดใจบน iOS อยู่ ในเรื่องของการจัดการแอปของ iOS นั้นจะเน้นไปที่การ Freeze Apps ของแอปเบื้องหลัง เพื่อประหยัดการใช้พลังงานต่าง ๆ อาทิเช่น เราอัป Story บน IG แล้วไฟล์ยังอัปโหลดไม่เสร็จ กดโฮมออกไปใช้งานแอปอื่นก่อน ตัวแอป IG จะไม่ทำงานเบื้องหลังอัปโหลดให้เราจนเสร็จต้องกดสลับกลับมาตัวแอปถึงจะทำงานอัปโหลดต่อ หรืออย่างการส่งรูปผ่านอัลบั้มใน LINE ถ้าเรากดอัปทิ้งไว้แล้วกดโฮมออกมา ตัวรูปที่เราเพิ่มในอัลบั้มจะ error และหยุดส่งทันที ต้องกดอัปโหลดใหม่ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นบนสมาร์ทโฟน Android เลย ตรงนี้เป็นรูปแบบการจัดการของ iOS ที่เราไม่ค่อยชอบนัก แม้บน iPhone 12 Pro Max ก็ยังไม่แก้ไม่ได้เสียที
ระบบสั่นที่นุ่มนวล
ส่วนเรื่องระบบสั่นไอโฟนทำได้ดีมาโดยตลอดบนรุ่นใหม่อย่าง 12 Pro Max นี้ก็ยังยอดเยี่ยมทุกการใช้งาน จะเป็นการแตะค้างบนหน้าจอหลักเพื่อจัดการแอปก็สั่นนุ่ม ๆ จะสไลด์เข้าหน้าโฮม สลับแอปไปมา กดชัตเตอร์กล้อง กด Cursor ที่แป้นคีย์บอร์ด ก็มีจังหวะในการสั่นที่ลงตัวไปหมด แบบคิดมาแล้วว่าจังหวะไหนควรตอบสนองยังไง อันนี้ต้องชมจริง ๆ
มีแค่สแกนใบหน้าอย่างเดียว
สำหรับระบบปลดล็อคของ iPhone 12 Pro Max ยังคงมีแค่ FaceID หรือระบบปลดล็อคด้วยใบหน้าเท่านั้น การทำงานก็รวดเร็วสมเป็น FaceID ครับ ตรวจจับได้แม่นยำแม้แสงน้อย แต่ในยุคที่เราต้องใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ก็อาจจะไม่สะดวกสักเท่าไหร่เนาะ เพราะเราไม่สามารถสแกนผ่านได้เลย ถ้ามีตัวเลือกอย่างระบบสแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วยก็คงจะดีกว่านี้
หน้าจอเต็มตา ดูหนัง ดูซีรีส์ฟิน
เรื่องความบันเทิงอย่างการดูหนังดูซีรีส์ก็ถูกใจแน่นอน iPhone 12 Pro Max มาพร้อมขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นเป็น 6.7” อย่างที่บอก รองรับการแสดงผล HDR10+, Dolby Vision เวลาดูหนัง ดู YouTube ดู Netflix นั้นให้ความเต็มตามากขึ้นไปอีก สีสันและการแสดงผลหลังจากที่เราปรับ Color Filters แล้วก็ให้รายละเอียดที่สมจริงขึ้น สีสวยสดอย่างที่ต้องการ
ติ่งบนหน้าจอที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับคอนเทนต์เต็มจอ แต่ใช้งานจริง ๆ ก็ไม่ถึงขั้นนั้น เพราะไอโฟนใช้ทรงจอแบบนี้มานานแล้ว พวกคอนเทนต์ต่าง ๆ ก็เว้นพื้นที่ให้อยู่แล้วล่ะครับ ในเรื่องความบันเทิงผ่านหน้าจอ 12 Pro Max ทำได้ดีขึ้นกว่า 11 Pro Max อีกหน่อย เพราะจอใหญ่ขึ้นครับ
ลำโพงคู่มิติดี เสียงชัดเจน
อีกเรื่องที่ไอโฟนทำได้ดีเสมอก็คือระบบเสียง บน iPhone 12 Pro Max ให้ลำโพงคู่ Stereo กระจายเสียงบน-ล่างชัดเจน ให้มิติในการดูหนัง ฟังเพลงได้เป็นอย่างดีเลย เราสามารถดูหนังผ่านลำโพงเครื่องได้แบบยอดเยี่ยม
ส่วนการใช้งานผ่านหูฟัง ก็ต้องใช้ผ่านพอร์ต Lightning แทน ตรงนี้น่าเสียดายไปหน่อยเพราะในกล่องปีนี้ก็ไม่แถมหูฟังมาให้แล้วด้วย ถ้าเกิดไม่เคยใช้ไอโฟนมาก่อนเลย ก็คงต้องซื้อแยกแบบจริงจัง ซึ่งราคาก็ไป 690 บาทแล้ว ส่วนตัวแนะนำว่าให้ลองหาหูฟังไร้สายมาใช้คู่ไปเลยดีกว่า เพราะใช้ได้กับหลายอุปกรณ์มากกว่าเนาะแบบนั้น
สเปคและประสิทธิภาพ
สเปค iPhone 12 Pro Max
- หน้าจอ OLED 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล (19.5:9)
- หน่วยประมวลผล Apple A14 Bionic Hexa-Core (5 nm)
- แรม 6GB
- ความจุ 128GB/256GB/512GB
- แบตเตอรี่ 3687 mAh
- กล้องหน้า 12MP f/2.2
- กล้องหลัง 3 ตัว
- 12MP กล้องหลัก f/1.6
- 12MP เลนส์ Ultra Wide f/2.4
- 12MP เลนส์ Tele 2.5x f/2.2
- ขนาดตัวเครื่อง 160.8 x 78.1 x 7.4
- น้ำหนัก 226 กรัม
- รองรับ 2 ซิม (NANO-SIM + eSIM)
- รองรับระบบสแกนใบหน้า Face ID
- กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 (ลงน้ำได้ลึก 6 เมตรนาน 30 นาที)
- รัน iOS 14.3
เข้าสู่เรื่องสเปค iPhone 12 Pro Max ก็ให้สเปคท็อปสุดของปีนี้มาแล้ว ทั้งหน่วยประมวลผลตัวใหม่อย่าง Apple A14 Bionic ขนาด 5nm เร็วแรง มีแรม 6GB พร้อมความจุเริ่มต้นที่ 128GB แล้ว เรียกว่าเป็นสเปคที่ตอบโจทย์การใช้งานแบบสมเหตุสมผลดีจริง ๆ
RAM ที่มากขึ้น ตอบสนองได้ดีขึ้น
ในเรื่องการใช้งานโดยรวม iPhone 12 Pro Max นั้นทำได้ดีตามมาตรฐานไอโฟนอยู่แล้ว ทุกการใช้งานลื่นไหลเอามาก ๆ ในเรื่องแอปก็ไม่ต้องห่วง ใช้งานได้ครบ ตัวแรมที่ให้มา 6GB นั้นตอบสนองการใช้งานหลาย ๆ แอปได้มากกว่าตอน 4GB ของ 11 Pro Max อีกหน่อย อย่างการสลับแอปหลาย ๆ แอป มีโอกาสที่แอปเบื้องหลังจะดีดออกน้อยลง แต่ไม่ใช่ว่าไม่ดีดเลย เรายังเจอสถานการณ์แบบนั้นอยู่บ้าง แม้จะเพิ่มแรมขึ้นมาแล้วก็ตาม
คะแนนสูงทุกแอป
สำหรับประสิทธิภาพของ iPhone 12 Pro Max ที่บอกว่าแรงคงต้องทดสอบคร่าว ๆ ผ่านแอป Benchmark หลัก ๆ ดูหน่อยดีกว่า คะแนนของฝั่ง AnTuTu Benchmark ต้องบอกเลยว่าสูงเอามาก ๆ ได้ไป 615572 คะแนนเลย
ส่วนแอป GeekBench 5.0 คะแนนก็สูงอย่างที่ทราบกันครับ Single-Core 1593 คะแนน Multi-Core 4219 คะแนน ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
เล่นเกมก็ลื่นไปหมด
แน่นอนว่าเรื่องการเล่นเกมไอโฟนนั้นทำได้ดีเสมอมา บน iPhone 12 Pro Max ก็เช่นกันครับ เล่นทุกเกมบน App Store ได้อย่างลื่นไหล แอปต่าง ๆ มีการปรับแต่งมาให้เล่นกับชิปเซ็ต Apple A14 Bionic ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ณ ขณะนี้
เล่น Asphalt 9 บน iPhone 12 Pro Max
อย่างเกมแข่งรถกราฟิกสวย Asphalt 9 ก็รันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพหลังจากที่มีการอัปเดตเพิ่มเติมในเวอร์ชั่นล่าสุด สามารถปรับเฟรมเรต 60fps ได้แล้ว (ตอนแรกที่เครื่องออกยังไม่ได้) กราฟิกก็สวยถูกใจแน่นอน
เล่น Call of Duty บน iPhone 12 Pro Max
หรือจะเป็น Call of Duty ก็สามารถปรับกราฟิกและเฟรมเรตไปได้ที่ระดับสูงสุดทั้งหมด (กราฟิก Very High เฟรมเรต Max) ตัวเกมเล่นได้อย่างลื่นไหลบนหน้าจอขนาดใหญ่ ไม่ติดขัดเลย การควบคุมทั้งหน้าจอและการตอบสนองต่าง ๆ ทำได้ระดับยอดเยี่ยม
เล่น NBA 2K Mobile บน iPhone 12 Pro Max
เกมกีฬาภาพสวยสุด ๆ อย่าง NBA 2K Mobile ก็รันภาพกราฟิกได้สวยสุด ๆ บน iPhone 12 Pro Max เฟรมเรตทำได้แบบ 60fps เลยด้วย ความใหญ่ของหน้าจอทำให้เล่นเกมแนวนี้ได้อย่างเต็มสูบกว่าทุกที
Apple Arcade คอนเทนต์พิเศษเฉพาะ
นอกจากเกมทั่วไปที่เราหาเล่นได้แล้ว iPhone 12 Pro Max ยังรองรับคอนเทนต์แบบ Exclusive ที่มีเฉพาะบนอุปกรณ์ของ Apple อย่าง Apple Arcade ด้วย มีคลังเกมระดับไฮเอนด์ที่หาไม่ได้จากบนแพลตฟอร์มไหนให้ดาวน์โหลดไปเล่นเพิ่มเติมแบบจุใจ
อย่างเกมที่เราชอบมาก ๆ ทั้ง Samurai Jack, Little Orpheus หรือ Beyond Blue ล้วนแล้วแต่เป็นเกมคุณภาพที่หาเล่นไม่ได้จากสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นเลยจริง ๆ
แต่ Apple Arcade ก็เป็นคอนเทนต์ที่ต้องสมัครแบบรายเดือนเท่านั้นถึงจะเล่นได้เนาะ ค่าบริการเดือนละ 99 บาท แต่...สำหรับเพื่อน ๆ ที่ซื้อ iPhone 12 Series ใหม่ก็สามารถรับสิทธิ์เล่นฟรีนาน 3 เดือน อยากให้กดรับสิทธิ์ทดลองเล่นกันดู มันคุ้มค่าจริง ๆ
เท่าที่พูดมานี้ดูเหมือน iPhone 12 Pro Max จะเป็นเรือธงที่เหมาะกับการเล่นเกมจริง ๆ จนไร้ที่ติดไปเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว รุ่นนี้ก็ยังมีปัญหาเหมือนรุ่นก่อน ๆ อยู่ด้วย คือเรื่องของ “ความร้อน” ครับ ซึ่งเมื่อเราเล่นเกมแบบจริงจังติดต่อกันนาน ๆ ความร้อนสะสมต้องมาแน่นอน และปัญหาในการเล่นก็คือตัวเกมจะเฟรมเรตตก หรือกระตุกให้เห็นครับ สถานการณ์แบบนี้อาจไม่เกิดขึ้นบ่อย แต่จะมาแน่ถ้าเราเล่นติดต่อกันนาน ๆ อย่างเกมที่เราเจอบ่อย ๆ คือ NBA 2K ถ้าเล่นต่อกันหลาย ๆ แมทช์จนเครื่องร้อน เล่น ๆ อยู่ตัวเกมจะปรับลดเฟรมเรตจาก 60fps ลงมาที่ 30fps แบบทันที แน่นอนว่าการปรับลงแบบกะทันหันทำให้เรารู้สึกได้เลยว่ากระตุก แต่ก็ไม่ถึงกับเล่นไม่ได้หรือเป็นทุกครั้งที่เล่น ถ้าเล่นนานจริง ๆ จนเกิดความร้อนน่ะมาแน่
5G มาแล้ว ครั้งแรกบนไอโฟน
ปิดท้ายเรื่องประสิทธิภาพด้วยเรื่อง 5G บน iPhone 12 Series ในปีนี้ รองรับการทำงาน 5G เป็นครั้งแรกของไอโฟน ตอบโจทย์ยุคใหม่ที่ต้องการความเร็วระดับ 200Mbps - 1Gbps ได้อย่างสบาย ๆ
เท่าที่ลองใช้งานมาก็ช่วยให้การเชื่อมต่อโดยรวมนั้นดีขึ้น เทียบความเร็ว 5G ของ iPhone 12 Pro Max กับ 4G ของ iPhone 11 Pro Max ก็อย่างที่เห็นเลย เร็วกว่าเกือบ 10 เท่า ตอบโจทย์เพื่อย ๆ ที่ชอบดาวน์โหลดแอปขนาดใหญ่ ๆ หรือดูวิดีโอสตรีมมิ่งความละเอียดสูง ๆ มาก
กล้อง
กล้องใหม่ อัปเกรดทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
กล้องของ iPhone 12 Pro Max ได้รับอัปเกรดความสามารถขึ้นมาจากรุ่นก่อนหลายอย่าง ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เลย มีกล้องหลังมา 3 ตัวประกอบด้วย
- 12MP กล้องหลัก f/1.6, Dual-Pixel PDAF, ระบบกันสั่น Sensor-Shift
- 12MP เลนส์ Ultra Wide f/2.4
- 12MP เลนส์ Tele 2.5x f/2.2, PDAF, OIS
ตัวกล้องหลักเลนส์ Wide รอบนี้อัปเกรดขึ้นชัดเจน ค่ารูรับแสงกว้างขึ้นเป็น f/1.6 ขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้นและมีระบบกันสั่นพิเศษแบบ Sensor-Shift ที่ทำให้กล้องนั้นนิ่งขึ้น
ส่วนเลนส์ Tele บนรุ่นนี้ก็อัปเกรดให้ซูมได้ไกลขึ้นอีกหน่อยเป็น 2.5x จากเดิมที่ได้แค่ 2x และสามารถซูมสูงสุดได้ที่ 12x แล้วด้วยครับ
และเลนส์ Ultra Wide ที่หากดูผ่านสเปคแล้วก็อาจจะไม่ได้หวือหวาขึ้นเท่าไหร่ ยังคงมีมุมมองกว้าง 120 องศาเหมือนเดิม แต่มีการปรับปรุงในเรื่องของ Distortion หรือความบิดเบี้ยวของภาพให้น้อยลง ถ่ายภาพมุมกว้างตามมุมภาพจะตรงไม่โค้งแล้วครับ
ไอโฟนมี AI คอยปรับภาพแล้วนะ
ในที่สุดไอโฟนก็มีระบบ Scene Detection มาให้แล้ว หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือมี AI คอยปรับภาพแบบเดียวกับที่ Android พัฒนากันมาหลายปีแล้วนั่นเอง รอบนี้เราจะพบการประมวลผลภาพต่ออีกหน่อยหลังจากถ่ายเสร็จ ทำงานร่วมกับระบบ Smart HDR 3.0 เป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่เก่งขึ้นกว่าเดิม
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ iPhone 12 Pro Max โทนของภาพยังคงเอกลักษณ์ของไอโฟนอย่างไม่ผิดเพี้ยน ภาพจะออกสมจริงชัดเจน ตัวระบบ Scene Detection ก็ช่วยปรับภาพวิว ภาพอาหารให้สวยขึ้นมาอีกหน่อย แต่ก็ไม่เว่อจนเกินธรรมชาติไป ตัวเลนส์กล้องที่ให้มาก็ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี ภาพมุมกว้างของเลนส์ Ultra Wide ไม่เว้าตรงมุมแล้ว ภาพเลนส์ Tele ก็ยังคมชัดและได้ระยะเข้าไปอีกหน่อย ส่วนตัวเลนส์หลักที่อัปเกรดขนาดเซ็นเซอร์ขึ้นมาก็ช่วยให้ภาพที่ได้ละลายฉากหลังให้สวยเป็นธรรมชาติมากขึ้นอีกหน่อย
โหมดกลางคืนถ่ายได้ทุกเลนส์แล้ว
ต่อมาเราขอพูดถึงโหมดกลางคืนกันบ้าง iPhone 12 รอบนี้มีการอัปเกรดซอฟต์แวร์ให้สามารถถ่าย Night mode ได้จากทุกเลนส์แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Wide, Ultra Wide, Tele หรือกล้องหน้าก็ยังได้ด้วย จากรุ่นก่อนที่ใช้ได้แค่เลนส์หลักอย่างเดียว การประมวลผลต่าง ๆ ก็ทำได้เร็วขึ้นด้วยจากปกติเราอาจต้องรอ Night mode นาน 3 วินาที พอมาใช้บน 12 Pro Max ก็จะเหลือแค่ 1 วินาทีเท่านั้น
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืนของ iPhone 12 Pro Max ในโหมดกลางคืนต้องยอมรับว่าเก่งขึ้นชัดเจน ในเลนส์หลักเราอาจจะไม่เห็นความต่างมากนัก แต่ถ้าใช้คู่กับเลนส์ Ultra Wide แล้วบอกเลยว่าต่างชัดเจน ภาพสว่างขึ้นมาก และการเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ดีขึ้น และในโหมดกลางคืนของไอโฟนก็ยังคงเอกลักษณ์ในเรื่องกลางคืนที่เป็นกลางคืนอยู่ เน้นความสว่างมากขึ้นและรายละเอียดที่ดี Noise ต่ำ ต่างจากฝั่ง Android ที่เน้นกลางคืนสว่างจนแทบจะเป็นกลางวันไปแล้ว
Portrait ได้ระยะมากขึ้น
ต่อมาก็เป็นโหมด Portrait หรือภาพบุคคล เรายังคงเลือกระยะได้ 2 ระยะเหมือนเดิม คือปกติและ Tele แต่ด้วยความที่มีเลนส์ Tele ใกล้ขึ้นกว่าเดิม เป็น 2.5x ทำให้เวลาถ่ายภาพคนมิตินั้นดีขึ้นกว่าเดิมด้วย ฟีเจอร์ Portrait Lighting ยังอยู่ครบ หรือจะเลือกปรับความเบลอฉากหลังก็ปรับได้ตั้งแต่ตอนถ่ายหรือปรับแต่งหลังถ่ายแล้วได้ด้วย
มี LiDAR ถ่ายคนแม่นยำแม้แสงน้อย
นอกจากนี้ iPhone 12 Pro Max ยังมาพร้อม LiDAR Scanner ที่เข้ามาช่วยในการโฟกัสให้แม่นยำมากยิ่งขึ้นอีกด้วย จะถ่ายภาพในเวลากลางคืนที่แสงน้อยก็แม่นยำ หรือจะเป็น Portrait ก็โฟกัสได้ไวขึ้นอย่างชัดเจน แถมรอบนี้ยังมี Night Portrait ให้เราสามารถถ่ายภาพคนกลางคืนได้ด้วย แต่ยังมีข้อจำกัดคือใช้ได้เฉพาะเลนส์หลัก 1x เท่านั้นเนาะ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait ของ iPhone 12 Pro Max ระยะ 2.5x ที่ให้มานั้นเข้าใกล้แบบได้มากขึ้นกว่าเดิมจริง ๆ การตัดขอบสวยงาม ละลายฉากหลังได้อย่างเป็นธรรมชาติ และที่ชอบก็คือการโฟกัสที่รวดเร็ว ได้ LiDAR ช่วยไว้ และ Night Portrait ก็เก่งขึ้นจริง ๆ ถ่ายภาพคนละลายฉากหลังพร้อมความสว่างแบบที่ไม่ได้จากรุ่นก่อน
เปรียบเทียบกับรุ่นก่อนล่ะ ?
อย่างที่เห็นว่าถ่ายโดยรวมนั้นสวยขึ้นจริง แล้วแบบนี้ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนอย่าง iPhone 11 Pro Max ล่ะ ? จะแตกต่างกันแค่ไหน เราเทียบแบบช็อตต่อช็อตในทุกโหมดให้เห็นเลยดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นภาพ Ultra Wide, กลางคืน หรือ Portrait เชิญรับชมได้จากด้านล่างนี้เลยครับ
ภาพถ่ายตัวอย่างเปรียบเทียบ iPhone 12 Pro Max vs iPhone 11 Pro Max
Apple ProRAW มาแล้ว บนอัปเดตล่าสุด
สิ่งหนึ่งที่ iPhone 12 Pro Max ทำได้และ 11 Pro Max ทำไม่ได้ก็คือฟีเจอร์นี้เลยครับ Apple ProRAW ฟีเจอร์นี้ก็ถูกปล่อยออกมาให้ใช้งานเรียบร้อยแล้วบน iOS 14.3 นี้ ทำให้เราสามารถใช้งานกล้อง iPhone 12 Pro Max ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งเราสามารถเข้าไปตั้งค่าเปิด Apple ProRAW ได้ที่
Settings > Camera > Formats > Apple ProRAW
(ภาษาไทย : การตั้งค่า > กล้อง > รูปแบบ > Apple ProRAW)
Apple ProRAW คืออะไร ถ่ายรูปสวยขึ้นไหม ?
แล้ว Apple ProRAW นี้คืออะไร ? เราขออธิบายเพิ่มเติมคร่าว ๆ หน่อยละกันเนาะ ไฟล์ RAW ก็คือไฟล์ดิบที่สามารถบันทึกไฟล์ภาพโดยตรงจากเซ็นเซอร์โดยไม่ผ่านการบีบอัด ทำให้ไฟล์นั้นจะละเอียดมากกว่าและสามารถนำมาปรับแต่งได้ละเอียดกว่าไฟล์ jpeg ทั่วไป (12bit vs 8bit) แต่แน่นอนว่าต้องแลกมากับขนาดไฟล์ที่ใหญ่กว่าชัดเจน (ประมาณ 25MB vs 2MB) ส่วนไฟล์ Apple ProRAW ก็จะเป็นรูปแบบเดียวกัน แต่ของ Apple จะมีเพิ่มตัว Smart HDR เข้าไปด้วยจึงมีความพิเศษกว่าครับ
ซึ่งไฟล์ Apple ProRAW นี้ก็เหมาะกับคนที่ปรับแต่งเก่ง ๆ ซะมากกว่า เพราะไฟล์ที่ได้จะเพรียว ๆ เลย ถ้านำมาปรับแต่งต่อจะทำได้เยอะกว่าชัดเจน สามารถขุดรายละเอียดให้มากขึ้นกว่าที่ไฟล์ jpeg จะทำได้ อย่างในภาพเปรียบเทียบด้านบนจะเห็นว่าภาพทั้ง 2 คือภาพเดียวกันที่ถ่ายมาเป็นไฟล์ Apple ProRAW แล้วปรับแต่งเพิ่ม เราสามารถดึงรายละเอียดของภาพขึ้นมาได้เยอะมาก จนภาพที่เคยย้อนแสงสุด ๆ ออกมามีแสงเท่า ๆ กันเลย และการปรับแต่งนี้เราก็ใช้แอป Photos ในเครื่องเลยด้วย ไม่ต้องไปโหลดแอปเพิ่ม
ตรงนี้เป็นข้อดีของไฟล์ประเภทนี้ครับ เพราะตัวไฟล์มีข้อมูลเยอะเราสามารถดึงรายละเอียดเยอะกว่าแบบปกติ แต่ถามว่ามันถ่ายสวยขึ้นไหม ก็คงบอกได้ว่า "ไม่ครับ" คือถ่ายเทียบกันจริง ๆ ภาพที่ได้ไม่ต่างกันเลย ถ้าเราไม่ปรับแต่ง ฉะนั้นฟีเจอร์นี้จะเหมาะกับคนที่ต้องการปรับแต่งเยอะ ๆ มากกว่า ถ้าไม่ได้เน้นการดึงรายละเอียดขนาดนั้นก็ใช้แบบปกติเซฟเป็น jpeg ดีกว่า ประหยัดพื้นที่กว่ากันเยอะ
กล้องหน้าก็...ไอโฟนอะเนอะ
ปิดท้ายภาพนิ่งที่กล้องหน้า iPhone 12 Pro Max ยังคงมาพร้อมความละเอียด 12MP เท่าเดิม เรียกว่าเซ็นเซอร์ตัวเดิมเลยก็ว่าได้ การใช้งานต่าง ๆ ก็ไม่ต่างจาก iPhone 11 Pro Max มากนัก เว้นแต่บนรุ่นใหม่นี้มี Night mode มาให้ใช้งานด้วยนั่นเอง
ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จาก iPhone 12 Pro Max กล้องหน้าของไอโฟนก็ยังคงเอกลักษณ์ความสมจริงอยู่ไม่เปลี่ยนครับ ภาพที่ได้ออกมาจริงที่อาจไม่ถูกใจสาว ๆ นัก แต่ก็พอนำมาปรับต่อได้อยู่แหละครับ
วิดีโอ 4K 60fps
มาต่อกันที่วิดีโอ ไอโฟนนั้นขึ้นชื่อเรื่องวิดีโอเทพ ๆ อยู่แล้ว บน iPhone 12 Pro Max ก็ทำได้ดีเหมือนเคยครับ สามารถถ่ายได้สูงสุดที่ 4K 60fps แต่ถ้าเลือกปรับเป็น 4K 60fps จะต้องเลือกทีละเลนส์ในการใช้งานไม่สามารถสลับเลนส์ไป-มาระหว่างถ่ายได้ ตรงนี้ยังเป็นข้อจำกัดหน่อย ๆ แต่ถ้าอยากได้ลื่น ๆ แล้วใช้ได้ทุกเลนส์สลับไปที่ 1080p 60fps เลยครับ แจ่มมาก ! ตัวกล้องมีระบบกันสั่นเทพ ๆ จาก Sensor-Shift ที่เลนส์หลักมาให้ด้วย หายห่วงเรื่องระบบกันสั่นไปได้เลย
มี HDR Video เก็บแสงได้มากกว่าที่เคย
นอกจากระบบกันสั่นใหม่แล้ว iPhone 12 Pro Max ยังมีฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอแบบ HDR หรือ Dolby Vision HDR มาให้ด้วย เก็บ Dynamic Range ของวิดีโอได้มากกว่าเดิม ให้ความสว่างที่สูงกว่าด้วย
ตัวอย่างวิดีโอเปรียบเทียบระหว่าง VDO SDR กับ HDR ของ iPhone 12 Pro Max จะเห็นว่าวิดีโอที่ได้นั้นคุณภาพสูงขึ้นจริง ทั้งรายละเอียด ความสว่าง และความคมชัด ถ้าดูบนหน้าจอของไอโฟนจะขึ้นไอคอน HDR ด้วย เราสามารถส่งไฟล์ผ่าน AirDrop เพื่อให้ไอโฟนที่รองรับดูได้เลย รวมถึงแอปโซเชี่ยลหลัก ๆ ตอนนี้ก็อัปเดตให้รองรับการส่งต่อไฟล์ประเภทนี้หมดแล้วเช่นกันครับ
โดยรวมในเรื่องกล้องของ iPhone 12 Pro Max ก็มีการอัปเกรดขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจในทุกจุด เทียบกับรุ่นก่อนแม้ฮาร์ดแวร์จะไม่ก้าวกระโดด แต่พอบวกกับซอฟต์แวร์ตัวใหม่ที่เก่งขึ้น ประมวลผลเร็วขึ้น ก็ทำให้เราถ่ายภาพได้สนุกขึ้นไปอีกทั้งภาพนิ่งและวิดีโอเลยล่ะ
แบตเตอรี่และระบบชาร์จ
แบตเตอรี่พอใช้ได้ แต่ไม่ถึงกับอึด...
ปิดท้ายที่เรื่องแบตเตอรี่ iPhone 12 Pro Max ได้ความจุแบตเตอรี่มาที่ 3687 mAh ใช้งานโดยรวมก็ถือว่าทำได้ดีครับ ใช้งานได้ทั้งวันถ้าไม่ได้เล่นหนัก ๆ แต่ถ้าเทียบกับ 11 Pro Max ก็ต้องยอมรับว่าไม่อึดเท่าเลย ด้วยความจุแบตฯที่น้อยกว่าอยู่แล้ว แถมรุ่นนี้ยังมีจอที่ใหญ่กว่า บวกกับการใช้งาน 5G ด้วยแล้ว เราคงต้องระมัดระวังในการใช้งานพอสมควรถ้าอยากจะเล่นแบบจัดเต็มก็คงต้องมีพาวเวอร์แบงค์ติดตัวหรือพกที่ชาร์จติดไปสักหน่อย ต่างจากตอน 11 Pro Max ที่เราเล่นได้อย่างจุใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตฯมากเท่าไหร่เนาะ
ชาร์จไว 20W แต่...
อย่างที่ทราบกันดีว่า iPhone 12 ในปีนี้ Apple เลือกที่จะไม่แถมที่ชาร์จมาให้ในกล่องแล้ว มีแค่ที่ชาร์จ Lightning to Type-C มาให้เท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่ใช้ 11 Pro Max มาก่อนก็คงไม่ติดปัญหาอะไร ใช้ชุดเดิมก็ชาร์จได้อยู่แล้ว และพอร์ตแบบ Lightning ก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าไหร่นัก เพราะผู้ใช้ไอโฟนมาแต่ไหนแต่ไรก็คงใช้พอร์ต Lightning อยู่แล้ว จะใช้สายเดิมกับที่ชาร์จ 5W ก็ได้อยู่ แต่จะช้าเอามาก ๆ
แต่ปัญหาคงไปตกที่เพื่อน ๆ ที่อยากได้ระบบชาร์จเร็ว หรือย้ายค่ายมาจาก Android อันนี้ก็คงต้องหาที่ซื้อที่ชาร์จ Type-C แยกอีกตัว แล้วถ้าเราต้องซื้อที่ชาร์จแยกแต่ได้ความเร็วแค่ 20W ก็แอบไม่โอเคเท่าไหร่ ถึงจะไม่ได้ชาร์จช้ามากนัก แต่เมื่อเทียบกับฝั่ง Android ที่ไปถึง 50 - 60W แล้วแถมมาให้ในกล่องเลย มันขัดใจหน่อย ๆ อะนะ
สรุป
ราคาและสีที่มีจำหน่าย
ก่อนจะไปสรุปปิดท้าย เราขอมาทวนราคาของ iPhone 12 Pro Max กันหน่อยละกัน สำหรับ iPhone 12 Pro Max นั้นมีให้เลือกด้วยกัน 3 ความจุ รอบนี้เริ่มต้นที่ 128GB น่าจะเหมาะกับหลาย ๆ คนมากขึ้นและตามมาด้วย 256GB, 512GB ครับ มีให้เลือกด้วยกัน 4 สีคือ กราไฟต์, เงิน, ทอง, และน้ำเงิน Pacific Blue ครับ โดยราคาของแต่ละความจุจะตามด้านล่างนี้เลย
iPhone 12 Pro Max (128GB) = 39,900 บาท
iPhone 12 Pro Max (256GB) = 43,900 บาท
iPhone 12 Pro Max (512GB) = 51,900 บาท
สรุป "นี่คือไอโฟนรุ่นท็อปในยุค 5G ที่หลายคนเฝ้ารอ"
สรุปแล้ว iPhone 12 Pro Max ก็ถือเป็นไอโฟนรุ่นท็อปที่ครบเครื่องและตอบโจทย์เกือบทุกอย่างที่สาวกเฝ้ารอ ทั้งหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นแบบที่สูสีกับฝั่ง Android ได้แล้ว บอดี้ดีไซน์ที่เปลี่ยนกลับมาเป็นแบบเหลี่ยมให้หายคิดถึง สเปคก็คงไม่ต้องพูดถึงตอบทุกโจทย์การใช้งาน เรื่องกล้องที่อัปเกรดขึ้นมาทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ และปิดท้าย 5G ก็มาแล้วด้วย สำหรับสาวกแล้วเราคงไม่ต้องเชียร์อะไรมากมายเพราะ การที่ไอโฟนมี 5G มีกล้องที่ถ่ายสวยขึ้นทั้งกลางวันกลางคืน มีรูปลักษณ์ใหม่ (ถึงจะนิดหน่อย) ก็คงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ แล้ว ใครที่กำลังรอฟีเจอร์เหล่านี้อยู่ iPhone 12 Pro Max ก็ถือว่าตอบโจทย์ทั้งหมดแล้ว
แล้วถ้าใช้ iPhone 11 Pro Max อยู่ล่ะ ควรเปลี่ยนไหม ?
ตัดกลับมาที่คำถามของผู้ใช้ iPhone 11 Pro Max ล่ะควรจะเปลี่ยนมาเป็นรุ่นนี้ไหม ? คำตอบก็ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเราต้องการมากน้อยแค่ไหนครับ จุดหลัก ๆ ที่ 12 Pro Max ดีขึ้นจริง ๆ ก็คือเรื่องของ 5G ถ้าเราต้องการใช้ความเร็วใหม่ก็เปลี่ยน ! อันนี้ง่าย ๆ ถ้าต้องการกล้องที่ดีขึ้นโดยเฉพาะในตอนกลางคืน ก็คุ้มที่จะเปลี่ยน ถ้าอยากได้จอใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย ชอบดีไซน์ทรงเหลี่ยมแบบนี้มาก คำตอบก็น่าจะชัดแล้ว
แต่ถ้าทุกอย่างที่เราว่ามานี้ไม่ตอบโจทย์คุณเลย ใช้ iPhone 11 Pro Max ต่อไปก็ไม่เสียหายครับ เพราะทั้งเรื่องประสิทธิภาพ การเล่นเกมหรือทำงานหนัก ๆ ก็ไม่ได้หนีกันแบบเห็นได้ชัดนัก แถมแบตเตอรี่รุ่นเก่ายังอึดกว่าด้วยนะ อันนี้ลองพิจารณากันดูละกันเนาะ
จุดเด่น
- หน้าจอ OLED ขนาดใหญ่สะใจ
- ประสิทธิภาพเร็วแรง ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
- กล้องอัปเกรดขึ้นเยอะทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
- ดีไซน์สวย งานประกอบหรูหรามาก
- รองรับ 5G
จุดสังเกต
- แบตเตอรี่ไม่อึดเท่าที่ควร
- ไม่มีที่ชาร์จและหูฟังแถมให้ในกล่อง
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite