แกะกล่องและดีไซน์
Review: Vivo V20 Pro มือถือ 5G บางที่สุดในโลกกับกล้องที่ถ่าย Portrait
ได้สวยจนตะลึง!
สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ กู๊ดดรีม TechXcite มาส่งรีวิวให้ทุกคนอีกครั้ง รอบนี้เป็นมือถือ 5G รุ่นคุ้มค่าและเป็นซีรี่ย์ยอดนิยมเลยทีเดียวกับ Vivo V20 Pro ซึ่งรอบนี้อัพเกรดจากรุ่นก่อนๆ ขึ้นมากเลยทีเดียว ทั้งเรื่องของดีไซน์ที่มีการฉีกรูปแบบจาก V series ที่ผ่านมา พร้อมด้วยสเปคที่จัดเต็มมากกว่าเดิม แล้วที่สำคัญอย่างจุดขายเรื่องกล้อง บอกเลยว่ารอบนี้ต้องหลีกทางให้ Vivo กันเลยล่ะ เพราะกล้องที่พัฒนาขึ้นมาล่าสุดนี้ สามารถถ่าย Portrait ออกมาได้สวยมากๆ จนสามารถใช้คำว่าสวยตะลึงได้เลย แต่ก่อนอื่นลองไปแกะกล่องดูอุปกรณ์ภายในกันก่อนเลยดีกว่าว่าให้อะไรมาบ้าง
อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง
- เครื่อง Vivo V20 Pro
- สายชาร์จ USB-C
- อะแดปเตอร์ชาร์จ
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิม
- เคสใส
- สายเชื่อมต่อ Jack3.5
อุปกรณ์ให้มาอย่างครบครันเช่นเคย เพิ่มเติมจากเดิมคือมีหูฟังและสายเชื่อมต่อ Jack 3.5 มาให้ด้วย จัดวางเป็นระเบียบในกล่องดีไซน์แบบเดิม ทีนี้เราไปดูรอบตัวเครื่องกันว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แล้วแตกต่างจากรุ่นก่อนมากน้อยแค่ไหน
ดีไซน์
Vivo V20 Pro รอบนี้มาด้วยดีไซน์ที่บางเบากว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทั้งน้ำหนักและความหนาของตัวเครื่อง หน้าจอมีขนาด 6.44 นิ้ว เป็นหน้าจอแบบ AMOLED FHD+
ความบางของ Vivo V20 Pro รอยนี้นับว่าเป็นมือถือ 5G ที่บางที่สุดในโลกไปแล้ว
กล้องหน้าเป็นรอยบากเล็กๆ เลนส์คู่ วางอยู่ที่มุมกลางหน้าจอเลยต่างจากตัวก่อนที่มักวางชิดริมใดริมหนึ่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่เกะกะการใช้งาน
ด้านหลังมาพร้อมกล้องทั้งหมด 3 ตัวด้วยกัน จัดวางอยู่ที่มุมซ้ายของตัวเครื่อง กล้องหลักความละเอียด 64 MP ถูกจัดวางอยู่เหนือกล้องอีก 2 ตัวล้อมเป็นสี่เหลี่ยม จัดระเบียบตำแหน่งกล้องได้ดี บริเวณขอบจะนูนขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อป้องกันการกระแทกหรือสร้างความเสียหายให้กับหน้าเลนส์
ส่วนสัญลักษณ์ของ Vivo ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม วางเรียงกันในแนวตั้งที่มุมล่างซ้าย design ฝาหลังอาจจะยังไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนมากนัก แต่ลวดลายก็จะมีความแปลกไปจากเดิม สีที่ดินได้มาคือสีขาว โดยจะเป็นสีขาวออกขุ่นๆไม่เป็นประกายมากนัก ข้อดีของหน้าจอแบบนี้คือมันไม่ติดรอยนิ้วมือ จับแล้วไม่ลื่นมือ แม้จะไม่มีลวดลายเล่นแสงมากนัก แต่ก็เป็นความเรียบง่ายที่ดูมีเสน่ห์น่าใช้ไม่แพ้ฝาหลังกระจกที่เล่นแสงเงาเหมือนรุ่นก่อนๆ
ตำแหน่งของปุ่มควบคุมต่างๆ ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อนๆ ปุ่มพาวเวอร์เพื่อเปิด-ปิดยังคงอยู่ฝั่งเดียวกันที่ขอบขวาของตัวเครื่อง
ถาดซิมที่มักอยู่ขอบซ้ายก็ย้ายมาอยู่ที่ฐานล่างของเครื่องแทน รองรับ 2 ซิมการ์ดแบบหน้าหลัง
ตามมาด้วยพอร์ตชาร์จ USB-C และลำโพงหนึ่งฝั่ง น่าเสียดายตรงที่ช่อง Jack 3.5 เพื่อเสียบหูฟังนั้นได้หายไปแล้ว ซึ่งบางคนก็ยังคงยินดีกับการมีอยู่ของมัน
สเปคการใช้งาน
- หน้าจอ AMOLED FHD+ 6.44
- อัตราส่วนหน้าจอ 20:9
- หน่วยประมวลผล Snapdragon 765G
- ระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 10.5 Android 10
- RAM 8GB
- ความจุ 128GB
- กล้องหน้า 32+8MP
- กล้องหลัง 4 ตัว
- 648MP กล้องหลัก
- 8MP เลนส์ Ultra-Wide
- 2MP เลนส์ Depth หน้าชัดหลังเบลอ
- รองรับสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- รองรับระบบสแกนใบหน้า
- แบตเตอรี่ 4000mAh
- รองรับชาร์จไว 33W
การเล่นเกมส์และการดูหนังฟังเพลง
ในชิป Snapdragon 765G นั้นทาง Qualcomm ได้ใช้ GPU ตัวใหม่อย่าง Adreno 620 ซึ่งพลังประมวลผลด้านกราฟิคในรุ่นนี้จะแรงกว่า Snapdragon 730 อยู่ประมาณ 20% หรือพูดง่ายๆ คือมันเป็นชิปที่สามารถประมาวลผลให้การเล่นเกมนั้นราบลื่นพร้อมให้ภาพเอฟเฟกต์ที่สวยงาม ทีนี้ลองไปเข้าเกมกันเลยดีกว่า ว่าการทำงานจริงจะเป็นอย่างไร
ROV
เริ่มเกมแรกกันที่ ROV เกมนี้จัดว่าเป็นเกมที่ต้องใช้การประมวลผลกราฟิกสูง มีเอฟเฟคอลังการ และเป็นเกมยอดนิยมที่ต้องอาศัยความเสถียรสูงในการเล่น ไม่อย่างนั้นได้หัวร้อนอย่างแน่นอน เมื่อเข้าเกมไปแล้วก็ได้ทำการตั้งค่าการแสดงผลในระดับสูง เพื่อรับภาพที่คมชัดและละเอียดที่สุด การโหลดเข้าเกมสามารถทำได้ไว ภาพและเอฟเฟคต่างๆ สวยมาก เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมได้อย่างดีเลย แต่เมื่อเล่นไปหลายตาเข้าด้วยความละเอียดภาพสูงสุด ตัวเครื่องก็แอบมีอุ่นๆบ้างเป็นปกติ พอลองลดความละเอียดลงเป็นการตั้งค่าที่แนะนำไว้ แปลกดีที่ภาพก็ยังคงคมชัดเพลินตาสามารถเล่นต่อเนื่องได้ยาวนานโดยที่เครื่องไม่ร้อนเลย
Call of Duty
เกมที่ 2 Call of Duty เกมนี้ต้องอาศัยความลื่นไหลเป็นหลักเลย เรื่องของภาพสวยงามไม่แพ้ ROV มีความสมจริงทั้งได้ละเอียดของแสงและเงาซึ่งเป็นเอฟเฟคในเกม การเคลื่อนไหวไม่มีสะดุดหรือกระตุกเลย แม้แต่ตอนที่กดซูมเพื่อเตรียมเล็งซึ่งเป็นจังหวะ sensitive และอาจกระตุกได้ แต่เหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหลไม่พบปัญหาใดๆเลย แถมภาพยังสวยมากๆ อีกต่างหาก
MARVEL Super War
เกมนี้จะเป็นลักษณะที่คล้ายกับ ROV แต่ก็จะมีความต่างในเรื่องของรายละเอียดตัวละครและก็เอฟเฟคสกิล ในเกมนี้ก็ไม่พบการกระตุกหรือหน่วงเครื่องแต่อย่างใด เล่นไปนานๆเข้าเครื่องก็ไม่ร้อน สามารถบังคับเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ ปล่อยสกิลได้ตรงจุด ในขณะที่สามารถหลบสกิลได้รวดเร็วอีกเช่นกัน เรื่องความสวยงามของเอฟเฟคไม่มีที่ติอะไรเลย สมกับความเป็นจอ AMOLED
การดูหนังฟังเพลง
ถ้าพูดถึงการใช้งานเพื่อดูหนังฟังเพลง สิ่งที่เราต้องการก็คงเป็นเรื่องของความคมชัด สีสันหน้าจอและระบบเสียงที่มีคุณภาพ ซึ่งใน Vivo V20 Pro ก็เอาอยู่ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะฟังเพลงผ่าน YouTube หรือดูหนังผ่าน Netflix ก็ให้ประสบการณ์ที่ดี คุณภาพเสียงดังและครบเครื่อง มีการแยกเสียงออกมาได้ดี ไม่ใช่แค่การดังแบบมิติเดียวที่ไม่สามารถแยกเสียงอะไรออกได้เลย โดยรวมเรื่องของการใช้งานเพื่อดูหนังฟังเพลง Vivo V20 Pro ก็สามารถทำได้ดีเช่นกัน
ซอฟต์แวร์ และฟีเจอร์การใช้งาน
ระบบปฏิบัติการของ Vivo V20 Pro เป็นระบบปฏิบัติการ Android 10 บนพื้นฐาน Funtouch OS 10.5 เมื่อเปิดเครื่องมาแล้วอย่าลืมไปเช็คซอฟท์แวร์อัปเดทกันได้ที่การตั้งค่า เพื่อรับการทำงานและการประมวลผลที่ดีกว่าเดิม
เลื่อนนิ้วลงมาจากด้านบนเพื่อเรียกใช้งานการตั้งค่าทางลัดเพื่อปรับความสว่าง เปิดบลูทูธ WiFi ต่างๆ เลื่อนนิ้วขึ้นมาจากด้านล่างเพื่อเข้าไปดูแอปทั้งหมด เมื่อสไลด์หน้าจอไปทางขวาก็จะเจอทางลัดเพื่อเรียกใช้งานแอปต่างๆ และการเก็บข้อมูลการใช้โทรศัพท์ที่ถูกบันทึกโดย Jovi
รองรับการสแกนลายนิ้วมือและใบหน้า ซึ่งการประมวลผลสามารถทำได้ไวแตะเบาๆ ก็เข้าเครื่องได้แล้วทั้งสแกนแบบนิ้วและใบหน้า แต่จากการใช้งานส่วนใหญ่ ยังไม่ทันได้แตะนิ้วแค่เครื่องเห็นหน้าเราก็เปิดเครื่องได้แล้ว
ฟีเจอร์อื่นๆ
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือ
- ระบบสแกนใบหน้า
- ปรับไฟสว่างตามสิ่งแวดล้อมโดยอัตโนมัติ
- การใช้งานหน้าจอแยก
- โหมดมืดเพื่อประหยัดพลังงานและปกป้องดวงตาเมื่อใช้งานในตอนกลางคืน
- โหมดป้องกันดวงตาที่จะปรับแสงหน้าจอให้เป็นโทนที่สบายตา
- Vivo shared
- การบันทึกหน้าจอ
กล้อง
เข้าสู่โหมดกล้องของ Vivo V20 Pro กันแล้ว ซึ่งนี่แหละคือไฮไลท์และเป็นทีเด็ดของรุ่นนี้ กล้องหลังให้มาด้วยกันทั้งหมด 3 ตัว
กล้องหลัก 64MP
มาเริ่มต้นที่กล้องหลัก 64 MP เรื่องความละเอียดไม่ต้องพูดถึง สามารถถ่ายภาพออกมาได้คมชัดเก็บรายละเอียดได้ดี ให้คุณภาพไฟล์ที่สามารถนำไปปรับแต่งได้โดยไม่เสียคุณภาพ มีโหมด HDR อัตโนมัติที่เราสามารถเลือกเปิดหรือปิดได้ตามใจ ประโยชน์ของมันก็จะช่วยให้การถ่ายภาพนั้นสามารถดึงแสงและสีออกมาได้มากกว่าเดิม ลองดูภาพเปรียบเทียบกัน
ฝั่งซ้ายคือยังไม่เปิด HDR ในขณะที่ฝั่งขวาเปิด HDR ไว้แล้ว จะเห็นได้ชัดถึงความแตกต่างเรื่องสีสันแล้วก็แสงของภาพ ต้องมีก็แล้วแต่รสนิยมของคนใช้งานนะ บางคนอาจจะชอบภาพพี่ดูเป็นธรรมชาติและไม่ปรับแต่งเพิ่มก็กดปิด HDR ได้ แต่ใครที่ต้องการให้ภาพถ่ายนั้นจบหลังกล้องในทีเดียว ไม่ต้องแต่งมากมายก็กดเปิด HDR ระบบจะประมวลผลทั้งแสงและสีออกมาให้อัตโนมัติเลย ที่นี้เราลองมาดูตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องเลนส์หลักกัน
Super Wide Angle 8MP
เลนส์นี้เพื่อการถ่ายภาพในมุมกว้างกว่าเดิม เก็บรายละเอียดได้ครบโดยที่มุมมองภาพไม่ผิดเพี้ยนหรือบิดเบี้ยวไปจนเกินธรรมชาติ เหมาะกับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ แต่ก็สามารถถ่าย Portrait ออกมาให้ดูดีได้เช่นกัน สาวๆจะต้องชอบการถ่ายภาพด้วยเลนส์ wide เพราะมันจะทำให้หุ่นดูผอมเพียว ขาเรียวยาวเลนล่ะ ไปดูตัวอย่างภาพถ่ายกัน
เลนส์ Depth 2MP
สำหรับเลนส์ตัวนี้ภูมิใจนำเสนอมากๆ อย่างที่ได้บอกไปเมื่อตอนต้นเลย Vivo V20 Pro สามารถถ่าย portrait ได้ออกมาสวยจนตะลึงทีเดียว รู้สึกตื่นเต้นกับการพัฒนาของกล้องใน V20 Pro นี้มากๆ มันมีความอัจฉริยะที่สามารถดึงมิติของภาพ ทั้งระยะชัด ระยะเบลอและการปรับโทนของภาพให้ออกมานุ่มนวลสวยงาม จนแทบไม่ต้องไปแตะเพื่อแต่งภาพเพิ่มแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังสามารถเลือกปรับความชัดได้เองว่าต้องการความชัดมากน้อยระดับไหนรวมไปถึงสามารถเลือกรูปร่างของวงโบเก้ให้เป็นดาว หัวใจ ใบไม้ได้อีกด้วย
เลนส์ Macro
เลนส์ตัวนี้ เพื่อการถ่ายภาพในมุมมองที่ใกล้มากๆ ใกล้จนเลนส์ตัวธรรมดาไม่สามารถจับโฟกัสได้ นี่คืองานของมาโคร ซึ่งมาโครใน V20 Pro ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ความห่างระหว่างกล้องและวัตถุที่ดีที่สุดคือระยะประมาณ 4 ซม. แม้จะเป็นเลนส์มาโคร แต่สามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้ดีมากๆ จากภาพตัวอย่าง มันทำให้เราได้เห็นกับดีเทลเล็กๆ อย่างทรายเม็ดเล็กๆได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อสร้างมุมมองภาพถ่ายที่แปลกใหม่
กล้องหน้าเลนส์คู่ 44+8MP
เรื่องของกล้องหน้าใน Vivo V Series ที่ผ่านๆมาไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลยสักครั้งหนึ่ง และ V20 Pro ก็เช่นกัน เป็นมือถือที่ถ่าย portrait ได้สวย ก็จะต้องมาพร้อมกับกล้องหน้าที่สมบูรณ์แบบ โดยกล้องหน้าเลนส์คู่ของ Vivo V20 Pro มาด้วยกัน 2 เลนส์ เป็นเลนส์หลัก 44MP และเลนส์ Wide 8MP มาดูความต่างของระยะทั้ง 2 ระยะกัน
นอกจากนี้กล้องหน้าของ Vivo V20 Pro ยังสามารถทำหน้าชัดหลังเบลอได้อีกด้วย เพื่อสร้างความโดดเด่นของตัวแบบ ให้ยิ่งน่าสนใจมากกว่าเดิม ซึ่งภาพที่ได้นั้นถือว่าทำได้ดีทีเดียว สามารถตัดฉากหลังกับแบบได้อย่างแนบเนียน
Super Night Mode
การถ่ายภาพในโหมดกลางคืน ก็เป็นอีกฟีเจอร์ที่ยอดนิยมมากๆในตอนนี้ และถูกพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ใน Vivo V20 Pro ก็ไม่พลาดที่จะจัดโหมดกลางคืนมาให้ได้ใช้งานกัน ซึ่งประสิทธิภาพนั้นก็ทำได้ดีมากกว่าเดิมพอสมควรเลย
Super Night Selfie
อีกหนึ่งจุดเด่นก็คือนอกจากจะถ่ายภาพในโหมดกลางคืนได้ดีแล้ว ยังสามารถถ่ายเซลฟี่ด้วยโหมดกลางคืนได้อีกด้วย หลายคนอาจจะแยกไม่ออกถึงความต่างระหว่างการถ่ายด้วยโหมดธรรมดาและโหมดกลางคืน จึงนำภาพมาเปรียบเทียบให้ได้เห็นกันแบบชัดๆ ซึ่งนอกจากความสว่างที่เราได้เห็นจาก Night Mode แล้ว มันยังช่วยปรับให้ใบหน้านั้นเห็นรายละเอียดที่ชัดเจนกว่าเดิม ลดแสงรบกวนลง ให้ภาพที่สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
ฟิลเตอร์ต่างๆ
อย่างที่บอกไปว่าจุดเด่นของ Vivo V20 Pro ก็คือเรื่องกล้องที่สามารถถ่ายภาพได้สวยแบบเวอร์วัง นอกจากความละเอียดของกล้องและฟีเจอร์ต่างๆแล้ว Vivo ยังให้ฟิลเตอร์สำเร็จรูปมาอีกด้วย ซึ่ง filter นั้นสามารถใช้งานได้จริง ให้โทนภาพที่สวยงามโดยไม่ต้องเข้าโปรแกรมแต่งภาพอื่นๆเพิ่มเติมอีกเลย
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
Vivo V20 Pro ให้แบตเตอรี่มาที่ 4,000 mAh การใช้งานก็ถือว่ายาวนานพอสมควรต่อวัน รองรับความเร็วในการชาร์จที่ 33 วัตต์ ซึ่งบอกเลยว่าสามารถชาร์จได้ไวมากๆ ถึงขั้นไวแบบไม่น่าเชื่อ ชาร์จทิ้งไว้แค่ประมาณ 30 นาที ได้แบตมากว่า 60% พอร์จชาร์จแบตเป็น USB-C ซึ่งปัจจุบันก็เป็นมาตรฐานของพอร์จชาร์จไปแล้ว
สรุปการใช้งาน
Vivo V20 Pro เป็นมือถือที่ฉีกรูปแบบจากซีรีย์ก่อนๆ ออกมาอย่างสิ้นเชิง เรื่องของดีไซน์ก็มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมค่อนข้างมากทีเดียว ทั้งเรื่องของขนาดและน้ำหนักจนได้รับการขนานนามว่านี่เป็นมือถือ 5G ที่บางที่สุดในโลก ซึ่งเชื่อว่าทุกคนที่ได้จับก็จะต้องคิดแบบเดียวกัน
นอกจากนี้จุดเด่นเรื่องกล้องก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ความสามารถของกล้องใน Vivo V20 Pro กล้าใช้คำว่านี่คือมือถือที่สามารถถ่าย Portrait ได้ดีเยี่ยมและดีที่สุดใน V-series ที่ผ่านมา ยินดีที่สามารถประมวลผลภาพได้อัจฉริยะจบในกล้องได้เลย เชื่อว่าสาวๆ หลายคนที่ได้จับกล้องจาก V20 Pro ตัวนี้ จะต้องเทใจให้หมดหน้าตักอย่างแน่นอน
ราคาของ Vivo V20 Pro เปิดมาอยู่ที่ 14,999 บาท
เปิดให้ Pre-Order ได้ตั้งแต่วันที่ถึง 29 กันยายน 2563 และจะเริ่มวางจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 30 กันยายน 2563 นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษหากจองโอเปอร์เรเตอร์ราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 4,989 บาทเท่านั้น
จุดเด่น
- ดีไซน์เพรียวบางน้ำหนักเบา
- กล้องหน้าเลนส์คู่
- กล้องประมวลผลอัจฉริยะ
- รองรับ 5G
- แบตเตอรี่ชาร์จไว
- Jack 3.5 ถูกถอดออกไปแล้ว
- จอ AMOLED สีสันสดใสสมจริง
จุดสังเกต
- Jack 3.5 ถูกถอดออกไปแล้ว