Review Galaxy Note20 Ultra
Review : Samsung Galaxy Note20 Ultra อีกขั้นของ
สมาร์ทโฟนเรือธงคู่ปากกาที่ดีที่สุดที่ Samsung เคยทำมา !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับ Galaxy Note20 Ultra เรือธงคู่ปากการุ่นล่าสุดของ Samsung ที่จัดเต็ม อัปเกรดทั้งความสามารถของ S Pen หน้าจอใหญ่มหึมา 6.9” 120Hz ดีไซน์แบบใหม่ใช้กระจก Gorilla Glass Victus ที่แข็งแกร่งที่สุด และกล้องหลัง 3 ตัวชุดใหม่ที่ใช้งานได้อย่างครบครัน หลังจากเราใช้งานมากว่า 2 สัปดาห์ ก็จะขอมาบอกเล่าประสบการณ์การใช้งานว่าน่าสนใจแค่ไหน มีจุดไหนที่เราชอบหรือไม่ชอบบ้าง ถ้าพร้อมแล้วมาติดตามรีวิวฉบับเต็มของ Galaxy Note20 Ultra ไปพร้อม ๆ กันเลยครับ :D
วางจำหน่ายแล้ววันนี้
เริ่มต้นกันที่ราคาค่าตัวกันก่อนเลยดีกว่า Galaxy Note20 Ultra ที่วางจำหน่ายในบ้านเรานั้นมาพร้อมกับ 2 รุ่นคือ 4G LTE และ 5G แยกเป็นรุ่นละ 2 ความจุคือ 256GB กับ 512GB มีราคาค่าตัวดังนี้ครับ
Galaxy Note20 Ultra รุ่น 4G LTE (8GB + 256GB) = 38,900 บาท
Galaxy Note20 Ultra รุ่น 4G LTE (8GB + 512GB) = 42,900 บาท
---------------------------------------------------------------
Galaxy Note20 Ultra รุ่น 5G (12GB + 256GB) = 42,900 บาท
Galaxy Note20 Ultra รุ่น 5G (12GB + 512GB) = 46,900 บาท
ซึ่งนอกจากการรองรับ 4G กับ 5G แล้วความแตกต่างระหว่าง 2 รุ่นนี้ก็คือแรมครับ รุ่น 4G จะได้แรม 8GB ในขณะที่รุ่น 5G ได้ 12GB นั่นเอง
ดีไซน์
ดีไซน์สวยลงตัว คือพรีเมี่ยมสุด ๆ
เข้าเรื่องของเราได้แล้ว ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องดีไซน์กันก่อนเลย Galaxy Note20 Ultra มาพร้อมดีไซน์ทรงเหลี่ยมแบบเดียวกับที่ Note Series นำเสนอมาตลอด ตรงนี้จะต่างจาก S Series ที่เน้นความโค้งมนอย่างเห็นได้ชัด บอดี้งานประกอบรอบนี้ใช้เป็นกระจกผิวด้านเรียบร้อยให้ความรู้สึกในการสัมผัสได้ดีมาก ๆ เข้ากับกรอบตัวเครื่องที่เป็นโลหะเกรดสูงได้เป็นอย่างดี จับแล้วต้องยอมรับเลยว่างานประกอบดีมากแน่นหนาสุด ๆ
น้ำหนักลงตัวขึ้น ตอน S20 Ultra มีคนบ่นเยอะว่าตัวเครื่องนั้นหนักไปหน่อย (220 กรัม) บน Note20 Ultra ทำน้ำหนักได้ดีขึ้นเพราะเหลือราว ๆ 208 กรัม จับถือแล้วยังไม่ถึงกับเทอะทะจนเกินไป อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของสมาร์ทโฟนไซซ์ใหญ่แบบนี้อยู่แล้วเนาะ
สีสันใหม่ Mystic Bronze
สีสันของ Galaxy Note20 Ultra นั้นเน้นเด่นมาที่สีใหม่ Mystic Bronze เลย แว้บแรกที่เห็นบอกเลยว่ามันสวยมาก โทนสีมีความผสมกันระหว่าง Copper (ทองแดง) กับ Rose Gold (ทองชมพู) มันจะมีความละมุนซ่อนอยู่ภายใน ไม่ออกเข้มจนเกินไป พออยู่บนกระจกแบบด้านที่ไม่ติดรอยนิ้วมือแล้วด้วยยิ่งดีเข้าไปใหญ่
หรือถ้าชอบสีดำมาตรฐาน Galaxy Note20 Ultra ก็ยังมีตัวเลือกสี Mystic Black มาให้ด้วย แต่สีนี้จะใช้กระจกแบบมันวาวเหมือนกับรุ่นก่อน ๆ นะ ไม่ใช่กระจกด้านก็สวยงามกันคนละแบบ
หน้าจอ 6.9” มหึมาของจริง
ในส่วนของหน้าจอ Galaxy Note20 Ultra ได้จอขนาดใหญ่ถึง 6.9” สมกับชื่อ Ultra จริง ๆ ตัวจอนี่ขนาดเท่ากับ S20 Ultra เลย แต่ถ้าเทียบกันจริง ๆ ของ Note20 Ultra จะมีความออกข้างกว่าเพราะอัตราส่วนของรุ่นนี้เป็น 19.3:9 ต่างจาก S20 Ultra ที่เป็น 20:9 ซึ่งถ้าดูกันตรง ๆ จะได้ความอ้วนกว่าเล็กน้อย
หน้าจอของ Note20 Ultra ยังคงเป็นจอโค้งมีมุมโค้งลงไปด้านข้างอยู่นิดหน่อยพอสวยงาม ไม่ถึงกับโค้งจนใช้งานลำบากครับ ส่วนเรื่องความทนทานไม่ต้องห่วงเลยรุ่นนี้ใช้กระจกกันรอยตัวใหม่อย่าง Gorilla Glass Victus หรือถ้าเทียบรุ่นก็ Gorilla Glass 7 เข้าให้แล้ว แข็งแกร่งแน่นอนแถมตั้งแต่แกะกล่องยังมีติดฟิล์มกันรอยมาให้ในกล่องแล้วด้วยเพื่อเสริมความมั่นใจเข้าไปอีกชั้นเนาะ
Dynamic AMOLED 2X ที่สว่างขึ้นอีก
ในเรื่องการแสดงผล Galaxy Note20 Ultra ใช้จอ Dynamic AMOLED 2X ที่อัปเกรดขึ้นจากตอน S20 Ultra อยู่อีกหน่อย เป็นจอแบบ LTPO ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้นและสว่างกว่าเดิมอีก 25% เลยทีเดียว ในเรื่องการแสดงผลคงไม่ต้องห่วงแล้ว เรายกให้รุ่นนี้เป็นจอที่สวยที่สุดเลยมันใหญ่ มันเต็มตาและสวยสุด ๆ
ส่วนเรื่อง refresh rate รอบนี้ Galaxy Note20 Ultra ได้มาที่ 120Hz แต่มีความสามารถในการปรับค่าที่ฉลาดขึ้น เพราะใช้แบบ Adative คือตัวระบบจะปรับขึ้นลงตามการใช้งาน อาทิ เวลาเราอ่านบทความหรือดูอะไรนิ่ง ๆ ตัว refresh rate จะปรับลงมาที่ระดับ 30Hz หรือถ้าเกิดการเลื่อนหน้าจอหรือใช้งานหน้าจอจริงจัง ๆ ก็จะปรับขึ้นมาที่ 120Hz เพื่อความลื่นไหลสูงสุด ในส่วนของการใช้งานจริงก็ทำได้ดีเราแทบไม่รู้สึกถึงการลดค่าลงมาจนจอหน่วงเลย
แต่แน่นอนว่าความลื่นไหลระดับนี้ยังคงถูกจำกัดอยู่ที่ความละเอียด FHD+ ไม่สามารถใช้งานคู่กับ QHD+ ได้เนาะ ซึ่งตรงนี้ก็คงต้องเลือกเอาว่าถ้าอยากได้ความคมชัดแบบสูงสุดก็คงต้องแลกกับความลื่นไหลไป ส่วนตัวเราเลือกความลื่นไหลมากกว่าเพราะมันให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าความชัดจริง ๆ แหละ
รูกล้องหน้าที่เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด
Galaxy Note20 Ultra ยังใช้ดีไซน์แบบ Infinity-O Display เหมือนกับรุ่นก่อน ซึ่งส่วนตัวชอบดีไซน์แบบนี้มากมันสมมาตรดี แถมรุ่นนี้ยังลดขนาดรูกล้องหน้าลงไปได้อีกเยอะ ทำให้การแสดงผลหน้าจอนั้นเต็มตาขึ้นอย่างชัดเจน เหนือหน้าจอนี้ยังมีลำโพงสนทนาของตัวเครื่องอยู่ด้วย
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือก็อยู่บนจอแบบ Ultrasonic เหมือนเดิม
บนหน้าจอของ Note20 Ultra มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic ซ่อนอยู่เหมือนเดิม ความเร็วในการสแกนทำได้ดีขึ้น ไม่ต้องแช่นานหรือกดลงไปแบบจริงจังแล้วแค่เอานิ้ววางไว้ครู่หนึ่งก็ปลดล็อคได้แล้วครับ
ตำแหน่งปุ่มกดย้ายมาฝั่งขวาหมดแล้ว
รอบที่แล้วตอน Note 10 มาการขยับปุ่มไปไว้ด้านซ้ายมือ แต่เหมือนจะไม่ถูกใจผู้ใช้เท่าไหร่ รอบนี้ Samsung ย้ายกลับมาไว้ที่มุมขวาทั้งหมดแล้วครับ เป็นตำแหน่งมาตรฐานที่เราใช้กันเนาะ วางตำแหน่งกดได้ง่ายไม่ต้องเอื้อมนิ้วขึ้นไปเยอะ
ตัดเหลี่ยมไปหมดทั้งบน-ล่าง
อย่างที่บอกว่า Note Series นั้นจะมีความเหลี่ยมเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว Note20 Ultra นี้ก็เหลี่ยมจัดใช้ได้ถ้าเทียบกับ S20 Ultra แล้วคนละฟิลเลยล่ะ ด้านบนตัดเหลี่ยมแบบชัดเจน มีตำแหน่งของไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนและช่องใส่ซิมการ์ดอยู่
ตัวถาดซิมของ Note20 Ultra ยังคงเป็นแบบ Hybrid สามารเพิ่ม micro-SD ได้สูงสุดที่ 1TB ถือว่าเป็นเรือธงไม่กี่รุ่นในปีนี้ที่ยังสามารถเพิ่ม micro-SD ได้เลยนะ เยี่ยมครับซัมซุง
ชมมาเยอะหลายอย่างแล้ว ขอตินิดหนึ่งละกัน ด้วยความเหลี่ยมจัดของตัวเครื่องอย่างที่เห็นไป เวลาถือใช้งานแบบเต็มมือไม่ว่าจะแนวตั้งหรือนอนตัวขอบเครื่องจะมีความเหลี่ยมคมหน่อย ๆ จนอาจจะบาดมือได้ ตรงนี้ฟิลของ S20 Ultra ที่โค้งแอบดีกว่า
S Pen ย้ายตำแหน่งมามุมซ้ายแล้ว
ถึงแม้ปุ่มกดจะย้ายกลับไปที่ฝั่งขวาเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ไม่วายที่จะมีการย้ายตำแหน่งสลับกันอีกนั่นก็คือตำแหน่งของช่อง S Pen และลำโพงหลักของตัวเครื่องที่รอบนี้ Samsung ย้ายมาไว้ที่ฝั่งซ้ายมือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี แฟน ๆ โน้ตที่ใช้งานมาตลอดครั้งแรกที่จะดึงปากกาต้องไม่ชินเหมือนเราแน่นอน
โมดูลกล้องก็ใหญ่มหึมาเหมือนเดิม
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลังอีกที คราวนี้เรามาดูตัวโมดูลกล้องกันเลย Galaxy Note20 Ultra มาพร้อมโมดูลขนาดใหญ่วางตำแหน่งไว้ที่มุมซ้ายบน ความนูนของเลนส์ยังออกมาสูงกว่าตัวเครื่องพอสมควร มองจากด้านข้างแบบนี้เห็นชัดมาก
แต่การวางดีไซน์ภายในนั้นสวยกว่าของ S20 Ultra เยอะอันนี้ต้องชมเลย ด้วยกระจกแบบมันวาวตัดกับผิวแบบด้านของฝาหลังพร้อมสีสันแบบสะท้อนนิด ๆ ทำให้ดูหรูหราและการวางกล้องก็ดูเป็นธรรมชาติเรียงกันลงมา 3 ตัวไม่ดูยัดเยียดจนเกินไป และรอบนี้เพิ่มตัว Laser Autofocus เข้ามาด้วย จุดสีแดงเด่น ๆ นั่นแหละพออยู่บนกระจกรวมกันแบบนี้เท่ใช้ได้เลย
โดยรวมในเรื่องของดีไซน์ Galaxy Note20 Ultra ถือว่าปรับมาได้อย่างลงตัวขึ้น จอใหญ่แบบใหญ่จริงและเต็มตามากสมชื่อ Ultra สีไฮไลท์อย่าง Mystic Bronze และฝาหลังแบบกระจกด้านก็ดูหรูหราขึ้นเยอะเลยทีเดียว จะมีจุดที่ไม่ชอบอยู่บ้างก็คือเรื่องของความเหลี่ยมของตัวเครื่องที่ถือแบบไม่ใส่เคสแล้วอาจบาดมือได้ รวมถึงโมดูลกล้องที่นูนมาก ไม่รู้จะนูนไปไหนถ้าใครที่ชอบใช้เครื่องแบบไม่ใส่เคส 2 จุดนี้เป็นจุดที่ไม่ถูกใจแน่ ๆ
สเปคและประสบการณ์การใช้งาน
สเปค Samsung Galaxy Note20 Ultra
- มีทั้งรุ่น 4G และ 5G
- หน้าจอ Dynamic Amoled 2X 6.9” WQHD+ (3088 x 1440 พิกเซล)
- Refresh rate 120Hz, อัตราส่วน 19.3:9
- ซีพียู Exynos 990 Octa-core 2.73GHz (7nm+)
- จีพียู Mali-G77 MP11
- แรม 8GB LPDDR5 (รุ่น 4G) | 12GB LPDDR5 (รุ่น 5G)
- ความจุ 256GB/512GB (UFS 3.1)
- รองรับ micro-SD (สูงสุด 1TB)
- แบตเตอรี่ 4500mAh
- รองรับชาร์จไว Super Fast Charge 25W
- กล้องหน้า 10 ล้านพิกเซล f/2.2
- วิดีโอกล้องหน้าสูงสุด 4K 60fps
- กล้องหลัง 3 ตัว
- 108MP กล้องหลัก f/1.8, OIS, PDAF, Laser Autofocus
- 12MP เลนส์ Ultra Wide f/2.2 มุมกว้าง 120 องศา
- 12MP เลนส์ Periscope f/3.0, Optical Zoom 5X, Hybrid Zoom 50X, OIS
- วิดีโอกล้องหลังสูงสุด 8K 24fps
- รองระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (Ultrasonic)
- รองรับระบบสแกนใบหน้า
- กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- รัน Android 10 ครอบด้วย OneUI 2.5
มีรุ่น 5G พร้อมใข้งาน
ส่วนเรื่อง 5G อย่างที่บอกว่ารอบนี้ Galaxy Note20 Ultra มีให้เลือก 2 โมเดลคือ 4G และ 5G สำหรับรุ่น 5G ก็สามารถใช้งาน 5G ได้เลยตั้งแต่แกะกล่อง รองรับคลื่น 2600MHz ด้วย ใครที่ใช้งานแพ็กเกจ 5G ของ AIS และ True อยู่ซื้อมาก็ใส่ซิมพร้อมใช้งาน 5G ได้เลยครับ
ประสบการณ์การทำงานพรีเมี่ยมสมกับเรือธง
สเปคระดับนี้แล้วการทำงานต่าง ๆ ก็ต้องยอมรับว่าลื่นไหลไม่มีที่ติครับ ตัวซอฟต์แวร์ OneUI ของ Samsung หลัง ๆ ก็พัฒนามาได้ดีมาก บน Note20 Ultra ก็เป็นเวอร์ชั่น 2.5 แล้ว เพิ่มความสามารถอย่าง Nearby Share รวมถึงการซิงค์ข้อมูลร่วมกับทางแอปของ Micros0ft เพิ่มเข้ามาด้วย
ในการควบคุมก็ใช้งานผ่าน Navigation Gesture ได้สมบูรณ์แบบ ไม่ต้องพึ่งปุ่มกดแบบ 3 ปุ่มแล้วใช้การเลื่อนหน้าจอขึ้น กดย้อนกลับจากการปาดมุมจอ ทุกอย่างทำงานได้อย่างคล่องตัวและลื่นไหลไปหมด บนหน้าจอ Adaptive Display 120Hz นี้ครับ
คีย์บอร์ดและระบบสั่น
ในการใช้งานการพิมพ์ Samsung ก็มี Samsung Keyboard เป็นของตัวเองทำงานได้อย่างลื่นไหล ใช้การ Swipe ตรง Spacebar เพื่อเปลี่ยนภาษาตรงนี้ถ้าพิมพ์จนคล่องทำได้ดีกว่ากดที่ปุ่มเปลี่ยนภาษาซะอีกแถมมีฟีเจอร์ Cursor ที่ให้เราแตะค้างที่ปุ่ม Spacebar เพื่อเลื่อน Cursor ได้ด้วยอันนี้เจ๋งเลย (GBoard ยังไม่มีความสามารถนี้) ส่วนระบบสั่นก็นุ่มนวลสมกับเป็นเรือธงในทุกมิติทั้งการเวลาแตะสัมผัส พิมพ์หรือใช้งานกล้องเลยครับ
ลูกเล่นเสริมมาครบ
ฟีเจอร์เสริมอย่าง Edge Screen บน Galaxy Note20 Ultra ก้มีมาให้ครบหมดครับ จะเลื่อนขอบหน้าจอออกมาเพื่อเข้าแอปแบบด่วน ๆ ก็ทำได้เลย หรือจะตั้งค่าพวกทางลัดอื่น ๆ อย่าง Smart Select ก็มีให้ใช้ครบ ไม่ตัดออกไป
Bixby ยังมีอยู่เรียกใช้งานได้ด้วยการกด Power ค้าง
ปุ่ม Power ของ Galaxy Note20 Ultra นั้นเป็นปุ่ม Hybrid ที่นอกจากจะใช้งานเปิดเครื่องได้แล้วยังใช้เรียกผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Bixby ขึ้นมาได้ด้วย ถ้ามีการตั้งค่าไว้แล้วตรงนี้ก็สะดวกดีในการเรียกขึ้นมา เพราะไม่ต้องปลุกจอแค่กดค้างและสั่งงานได้เลย
ปิดเครื่องก็ใช้เมนูบน Status Bar เอา
ซึ่งการที่ Samsung เปลี่ยนรูปแบบให้ปุ่ม Power เป็น Bixby แบบนี้ทำให้เราไม่สามารถกดปิดเครื่องจากปุ่ม Power ได้ในค่าเริ่มต้น ให้มาใช้ที่ Status Bar แทนครับ ลากลงมาจะเจอกับไอคอน Power อยู่ แต่...ถ้าอยากได้แบบเดิม ๆ คือกดปุ่ม Power แล้วมีตัวเลือกให้ปิดเครื่องหรือ Rerstart แทนก็ยังทำได้ครับ วิธีปรับก็ตามลิงก์ด้านล่างนี้เลย
วิธีตั้งค่าปุ่ม Power บน Galaxy Note
ประสบการณ์ด้านความบันเทิงเต็มเปี่ยม
อย่างที่บอกว่า Galaxy Note20 Ultra นั้นมาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.9” จะดูคอนเทนต์หรือเล่นเกมนี่ถูกใจแน่นอน เต็มตาสุด ๆ ตัวหน้าจอเป็น Dynamic AMOLED 2X แบบนี้ความคมชัด สีสันสุดมาก ๆ รองรับ HDR10+ ด้วย ดูวิดีโอทั้ง Netflix YouTube แบบ HDR ได้เต็ม ๆ
แถมความชิดขอบของจอยังยอดเยี่ยม เรียกว่าถ้าถือดูตรง ๆ ทั้งหมดจะเป็นคอนเทนต์ที่มอบให้เราเลย ไม่เหลือขอบให้กวนใจแล้ว จะมีก็เพียงแค่รูกล้องหน้าที่ขนาดก็เล็กมาก ไม่ทันได้สังเกตหรอกครับจุดแค่นั้น
ลำโพงคู่ Stereo อยู่แล้วเรือธงขนาดนี้
ส่วนเรื่องระบบเสียง Galaxy Note20 Ultra ให้ลำโพงคู่บน-ล่าง ใช้งานแบบ Stereo ขับเสียงออกมาได้อย่างดี จะเล่นเกม ดูหนัง หรือฟังเพลงก็ยอดเยี่ยม แถมมีระบบเสียง Dolby Atmos มาเพิ่มมิติของเสียงไปอีกขั้นด้วย
แต่...ด้วยการสลับตำแหน่งของลำโพงมาไว้ที่มุมซ้ายหรือถ้าถือแนวนอนก็เป็นด้านล่าง ตรงนี้แอบเสี่ยงต่อการเอาอุ้งมือบังไปนิด ถ้าถือดูอะไรแนวนอนแบบเต็มมือก็อาจจะพลาดไปบังได้ ทำให้เสียงนั้นดังไม่เต็มที่สักเท่าไหร่ ตรงนี้ดูจะเป็นข้อเสียเล็ก ๆ ของ Note20 Ultra กับการย้ายตำแหน่งของลำโพงมาตรงนี้เนาะ
ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม. แต่หูฟังไร้สายมีเพียบ
ในส่วนชองช่องหูฟัง 3.5 มม. ในปี 2020 นี้แล้ว คงไม่ได้เป็นที่โหยหาสักเท่าไหร่ เพราะอุปกรณ์หูฟังแบบไร้สายคุณภาพเยี่ยมนั้นออกมาแบบเพียบ ๆ รองรับการใช้งานหูฟังแบบไม่ผ่านช่อง 3.5 มม. หมดแล้ว อย่างของ Samsung เองก็มีหูฟัง Galaxy Buds Live เปิดตัวมาคู่กันด้วย เชื่อมต่อกันได้ง่ายดีเปิดฝาปุ๊บก็แตะเชื่อมกันได้ทันที
สเปคจัดเต็มด้วย Exynos 990
สำหรับสเปคของ Galaxy Note20 Ultra รุ่นที่ขายในไทยจะใช้ชิปเซ็ต Exynos 990 ตัวเดียวกับ S20 Ultra บนสถาปัตยกรรมแบบ 7nm+ เมื่อเทียบกับ Note10+ ชิปใหม่นี้จะมีประสิทธิภาพในด้าน CPU ดีขึ้น 15% GPU ดีขึ้น 25.2% และ NPU หรือ AI ดีขึ้นอีก 4.3 เท่าเลย บวกคู่กับหน่วยความจำแบบใหม่ทั้ง แรม LPDDR5 และรอม UFS 3.1 มั่นใจได้ว่าในเรื่องความลื่นไหลนั้นตอบโจทย์แน่นอน
คะแนนสูงใช่เล่น
ในส่วนของคะแนนทดสอบ รุ่นที่เราได้มารีวิวนี้เป็นรุ่น 5G ความจุ 256GB หมายความว่าได้แรมมาที่ 12GB ด้วย ผลการทดสอบจากแอป AnTuTu Benchmark คะแนนก็ออกมาสูงถึง 541277 คะแนนเลยทีเดียวแบ่งออกเป็น
CPU = 149462
GPU = 215623
MEM = 95552
UX = 80640
ส่วนผลคะแนนทดสอบจากแอป GeekBench 5.0 ก็ได้คะแนนสูงใช่เล่นแบ่งเป็น
Single Core = 822
Multi Core = 2516
เล่นเกมล่ะเป็นยังไง ?
ทดสอบหน้าจอ ระบบเสียงและ Benchmark ไปหมดแล้ว ก็มาถึงการทดสอบเล่นเกมจริงจังบ้าง Note20 Ultra นั้นใช้หน่วยประมวลผลตัวแรงอย่าง Exynos 990 รวมถึงแรมให้มากถึง 12GB ในเรื่องการเล่นเกมก็คงไม่ต้องห่วงอะไรมากแล้ว เกมที่เรานำมาทดสอบก็คือ Call of Duty Mobile และ Asphalt 9 เหมือนเดิม
สำหรับ Call of Duty Mobile เกมหลักที่เราเล่นอยู่ตอนนี้ ตัวเครื่องให้เราปรับค่ากราฟิกได้ที่ระดับสูงสุด (Very High) และเฟรมเรตที่ Very High เช่นกัน น่าเสียดายที่ไม่สามารถปรับเฟรมเรตได้ที่ Ultra แต่เท่านี้ก็พอแล้วล่ะครับในการเล่นจริง มาลองกันเลยละกัน
เท่าที่ลองเล่นแบบจริงจัง Call of Duty บน Note20 Ultra ก็ทำได้ดีมาก ตัวเฟรมเรตในเกมนิ่งใช้ได้เลย กราฟิกก็จัดอยู่ระดับสูงสุดแล้ว เอฟเฟกต์ต่าง ๆ ใส่มาให้ค่อนข้างครบ ตัวหน้าจอที่ใหญ่แต่ไม่ยาวเกินไปของ Note20 Ultra นั้นช่วยให้เราเล่นเกมได้อย่างเต็มอรรถรส ไม่ยาวจนตรงคอยมาปรับขยับปุ่มเข้ามา
ตัว Touch Sampling Rate ที่ 240Hz ก็ตอบสนองการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี จะเลื่อนหน้าจอแตะยิงก็ทันนิ้ว ไม่ดีเลย์เลย เกมยิงแบบนี้อะไรที่มันทันมือทันนิ้วนี่ฟินสุด ๆ เลยล่ะครับ
สำหรับเกมแข่งรถที่กราฟิกสวยที่สุดแห่งยุคอย่าง Asphalt 9 ก็สามารถปรับกราฟิกได้สูงสุดระดับ Best Quality เล่นได้อย่างลื่นไหล กราฟิกจัดเต็มมาก เอฟเฟกต์เวลาปล่อยไนตัสแบบเต็มสูบหรือแสงเงาเวลาสะท้อน ควันเวลาดริฟท์นี่ก็สมจริงสุด ๆ
เฟรมเรตในเกมนี่นิ่งแม้จะเล่นต่อเนื่องไปนาน ๆ ลำโพงของเครื่องก็ให้เสียงที่ยอดเยี่ยม แม้จะเผลอไปบังอยู่บ้างเวลาเล่นแบบอิน ๆ แต่ก็ยังโอเคครับ
ความร้อนล่ะ ?
น่าจะเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยเป็นพิเศษ เพราะตอน S20 Ultra กับ Exynos 990 นั้นจัดการความร้อนได้ไม่ค่อยดีนัก ซึ่งบน Note20 Ultra ก็มีการปรับปรุงขึ้นมาอยู่ แต่ก็ยังเลี่ยงเรื่องความร้อนเวลาเล่นเกมแบบจัดหนักต่อเนื่องได้ไม่หมด คือถ้าเล่นแบบจริงจังแบบลง Rank ต่อเนื่องนาน ๆ ก็เจอแน่นอนครับความร้อน ตัว CPU ทำงานหนักเลยล่ะ แต่ถ้าเล่นแบบทั่วไปสัก 2 - 3 แมทช์ทีก็ไม่ถึงกับร้อนจนพาหัวร้อนไปด้วย อันนี้ยังพอรับได้อยู่ครับ
โดยรวมในเรื่องประสบการณ์การใช้งาน Galaxy Note20 Ultra ถือว่าทำได้ดีทีเดียว จุดที่ชอบจริง ๆ ก็คงหนีไม่พ้นหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.9” นี่แหละ คือใหญ่แบบจริงจัง ใหญ่แบบหาได้ยากบนเรือธงรุ่นอื่น แถมขอบจอยังชิดมากให้ความรู้สึกถึงคอนเทนต์ที่มากมายมอบมาให้เรา ตัวสเปคภายในก็แรงพอที่ใช้งานได้อย่างไม่ติดขัด จะมีเรื่องที่ไม่ชอบอยู่บ้างก็คือเรื่องของตำแหน่งลำโพงตัวล่างที่พลาดเอามือไปบังได้ง่าย และความร้อนสะสมเมื่อเล่นต่อเนื่องกันนาน ๆ นี่แหละครับ
S Pen
Galaxy Note ทั้งทีไม่พูดถึง S Pen ได้ไง
Galaxy Note20 Ultra มาพร้อม S Pen รูปทรงเดิม รอบนี้ไม่มีรุ่นไฮไลท์พิเศษอย่าง ปากกาสีน้ำเงินเครื่องสีรุ้งเหมือนตอน Note10 หรือปากกาสีเหลืองเครื่องสีน้ำเงินของ Note9 แล้ว จะเป็นสีตามตัวเครื่องเลย อย่างสี Mystic Bronze นี้ปากกาก็สี Bronze ไปเลยครับ
ตัว S Pen ยังมีเซ็นเซอร์ Gyro 6 แกน มาให้เหมือนเดิม สามารถใช้งาน Air Actions (สั่งการด้วยท่าทาง) หรือจะใช้งานเป็นรีโมทก็ได้เช่นกัน แต่รอบนี้จะฉลาดขึ้นเพิ่มท่าทางใหม่ ๆ ในการใช้งานอย่างการลากเป็นทิศทางแบบซิกแซก ในค่าเริ่มต้นจะใช้เป็น Screen Write หรือแคปหน้าจอแล้วเขียนข้อความไว้นั่นเอง
ตอบสนองไว้ขึ้นเพียง 9ms
เรื่องหลักที่ S Pen ของ Note20 Ultra พัฒนามาถึงขีดสุดก็คือความหน่วงในการเขียนหรือ Latency ที่ต่ำมากเพียง 9ms ลดลงจากเดิมถึง 80% ทำให้การตอบสนองเวลาเราเขียนหรือจดนั้นทันมือสุด ๆ เหมือนเขียนบนกระดาษจริง ๆ
Samsung Notes ก็เพิ่มฟีเจอร์เหมือนกัน
ปากกาที่ดีก็ต้องใช้งานกับแอปที่ดีด้วย ซึ่ง Samsung ก็พัฒนาแอป Notes ของตัวเองมาตลอดบน Samsung Notes เวอร์ชั่นใหม่ของ Note20 Ultra จะฉลาดขึ้นไปอีก ฟีเจอร์ที่เราคุ้นเคยตอน Note10 อย่างการแปลงลายมือเป็นตัวพิมพ์ก็แม่นยำมากขึ้น แปลงได้ทั้งหน้าที่เราจดในคราวเดียว ไม่ต้องมาคอยจิ้มทีละประโยคแล้ว
มีฟีเจอร์ปรับตัวเขียนของเราให้ตรงเข้าบรรทัดด้วย เชื่อว่าสายจดทุกคนเวลารีบ ๆ ก็อาจจะมีการจดที่เอียงไปบ้าง พอจดเสร็จแล้วมาดูก็อาจจะไม่เรียงสวยสักเท่าไหร่ แต่ถ้าจดบน Samsung Notes นี่ไม่ต้องห่วงเลย เพราะฟีเจอร์ Straighten จะช่วยให้ลายมือที่เราจดมาทั้งหมดตรงบรรทัดได้ในคลิกเดียว
บันทึกเสียงพร้อมจดไปได้ด้วย
อีกฟีเจอร์ที่เจ๋งมาก ๆ ของ Samsung Notes เวอร์ชั่นใหม่นี้ก็คือการบันทึกเสียงขณะจด ลองนึกว่าในคาบเรียนหรือเวลาประชุมงานกันแล้วอาจารย์หรือคุณครูสั่งมาแบบไว ๆ แล้วเราจดตามไปด้วย แค่ไฮไลท์สำคัญ ๆ ที่เหลือก็ใช้จากเสียงที่บันทึกไว้ ฟีเจอร์บันทึกเสียงนี้จะช่วยได้เยอะเลย เพราะข้อความที่เราจดไว้ขณะที่มีเสียงนั้น ๆ อยู่จะซิงก์ตรงกัน ทำให้ไม่งงเวลาเรามาเปิดย้อนดูทีหลัง
เซฟเป็นไฟล์ PDF หรือ Microsoft Office ได้แล้ว
อีกเรื่องก็คือการเซฟไฟล์จาก Samsung Notes เป็นไฟล์ PDF, Word หรือ Powerpoint ได้แล้ว ตรงนี้ดีมาก ๆ เพราะหลายครั้งที่เราใช้ Note จดงานแล้วอยากส่งต่อให้เพื่อน มันจะค่อยข้างยุ่งยากอาจจะต้องแคปหน้าจอไปหรือแปลงไฟล์กันหลายขั้นตอน แต่ Samsung Notes ตัวใหม่นี้สามารถแปลงไปเป็น PDF, Word หรือ Powerpoint ได้โดยตรง ทีนี้ก็สามารถแชร์ไฟล์ให้เพื่อน ๆ ได้ไม่ยุ่งยากแล้ว
Screen off Memo จดในหน้าล็อคก็เลือกสีได้
ถ้ายังจำกันได้เมื่อปีที่แล้วบน Galaxy Note 10 นั้นเพิ่มความสามารถในการเลือกสีปากกาในหน้า Screen off memo ได้แล้ว ความสามารถดังกล่าวก็ยังคิดมาบน Note20 Ultra ด้วย เราสามารถเลือกสีของปากกาได้มากถึง 5 สีประกอบด้วยขาว, น้ำเงิน, เขียว, เหลือง และชมพูครับ
โดยรวมในเรื่องความสามารถของ S Pen ต้องยอมรับว่าเก่งขึ้น ดีขึ้นในทุกด้านจริง ๆ ลูกเล่นที่เคยดีอยู่แล้วอย่าง Air Actions ก็หลากหลายมากขึ้น การตอบสนองก็ทันมือกว่าที่เคย ซอฟต์แวร์ Samsung Notes ที่ Samsung พัฒนาขึ้นมาเองก็ขยันใส่ฟีเจอร์มาให้คล่องตัวต่อการใช้งานมากขึ้น สาวก Note นี่ประทับใจมาก ๆ ในครั้งนี้
แต่...จะมีเรื่องติก็มี ไม่พ้นเรื่องตำแหน่งของ S Pen ที่ย้ายมาไว้ฝั่งซ้ายนี้ เหมือน Samsung จะพยายามย้ายมาให้คนถนัดซ้ายได้ใช้งานง่ายขึ้น แต่ถ้าใครที่ใช้ Note มาตลอด จะรู้สึกว่ามันขัดในการดึงปากกาออกมานิดหน่อย และก็ดูเหมือน Samsung ไม่ได้ตั้งใจจะไว้แบบนี้มาแต่แรกด้วย เพราะ Pop Up Air Command ที่ลอยขึ้นมายังออกมาจากมุมขวามืออยู่เลย
และก็อีกเรื่องก็คือความนูนของกล้องหลังนั้นมีผลต่อการใช้งานขีดเขียนเครื่องเวลาวางเครื่องราบกับพื้นด้วย เพราะถ้าเราเขียนที่มุมบนซ้ายหรือตรงกลางตัวเครื่องจะมีความไม่เสมอและเกิดอาการเผยอขึ้น-ลงได้ตอนเขียนน่ะนะ แต่เชื่อว่าในการใช้งานเราคงใส่เคสเพื่อถนอมตัวเครื่องกันอยู่แล้ว ปัญหานี้คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
กล้อง
กล้องจัดเต็ม ความละเอียดสูง 108MP !
เข้าสุ่เรื่องกล้องเชื่อว่าหลายคนมองกล้องเป็นเรื่องหลักของสมาร์ทโฟนในยุคนี้ไปแล้ว ซึ่ง Galaxy Note20 Ultra นี้ก็ให้สเปคกล้องหลังมาแบบครบครันกับกล้องหลัง 3 ตัวทั้งกล้องหลักความละเอียดสูง 108MP กล้องซูมสุดพลังถึง 50X หรือจะเป็นมุมกว้างก็เก็บได้ที่มุม 120 องศาไม่ขาดไม่เกิน โดยมีสเปคดังนี้
- 108MP กล้องหลัก f/1.8, OIS, PDAF, Laser Autofocus
- 12MP เลนส์ Ultra Wide f/2.2 มุมกว้าง 120 องศา
- 12MP เลนส์ Periscope f/3.0, Optical Zoom 5X, Hybrid Zoom 50X, OIS
จะเห็นว่าสเปคกล้องของ Galaxy Note20 Ultra นั้นจัดเต็มมาก ๆ ตัวเซ็นเซอร์มีขนาดใหญ่ถึง 1/1.33” ทำให้ละลายฉากหลังได้อย่างเป็นธรรมชาติ แถมยังเก็บแสงได้มากกว่ารุ่นก่อน (Note10+) อีกด้วย
มี Laser Autofocus โฟกัสไวขึ้นมาก
ระบบโฟกัสของ Galaxy Note20 Ultra ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าตอน S20 Ultra เยอะเลย รุ่นก่อนเราจะเห็นว่ามีปัญหาในเรื่องความไวในการโฟกัสและความแม่นยำ แต่รุ่นนี้ Samsung เพิ่ม Laser Autofocus เข้ามาอีกตัว ช่วยในเรื่องโฟกัสได้ดีมาก เรียกว่าอะไรผ่านเข้ามาปุ๊บก็โฟกัสติดปั๊บเลย อย่างที่เห็นใน GIF ด้านบน คือทันแบบสุด ๆ แก้ปัญหาจากรุ่นก่อนได้หมดจดจริง ๆ
มีกล้องหลัก 108MP เลยนะ
กล้องหลักของ Note20 Ultra เป็นตัวเดียวกับ S20 Ultra ความละเอียด 108MP ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการประมวลผลภาพแบบ Nona Binning ให้เป็น 12MP ทำให้ภาพที่ได้นั้นสวยคมชัดและรายละเอียดที่ดี แต่ถ้าอยากได้ความละเอียดแบบเต็ม 108MP ก็มีตัวเลือกให้เปิดใช้งานด้วย
มี AI Scene Optimizer ปรับภาพสวยโดนใจ
ในส่วนของการใช้งานทั่วไป Note20 Ultra จะมาพร้อมกับระบบ AI Scene Optimizer ด้วย การทำงานคล้ายกับรุ่นก่อน ๆ แต่ประมวลผลภาพได้เร็วขึ้นมาก เล็งหมาขึ้นหมา เล็งคนขึ้นคนเลย ไม่ต้องรอนาน มีระบบ Auto HDR ด้วยนะ ถ่ายสวยโดยไม่ต้องพึ่งเทคนิคเยอะเลย
ตัวอย่างภาพถ่ายตัวอย่างจากโหมด Auto ของกล้องหลักจะเห็นว่าภาพที่ได้นั้นสวยงามใช้ได้เลย สีสันสดกำลังดีและติดโทนอมเหลืองนิด ๆ ด้วยขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่มากทำให้ภาพที่ได้นั้นละลายหลังสวยสุด ๆ ถ่ายพวกอาหารหรือดอกไม้ก็ละลายเป็นธรรมชาติมาก แถมระบบโฟกัสใหม่ก็เร็วมาก คือเล็งถ่ายได้แบบทันทีไม่มีวืดวาดแน่นอน
ตัว AI Scene Optimizer เก่งขึ้นปรับภาพให้สวยแบบที่คิดไว้จริง แต่ยังมีปัญหาในเรื่องการประมวลผลอยู่นิดหน่อย คือถ้าถ่ายเร็ว ๆ แล้วกดดูรูปจะมีการประมวลผลหรือ หมุน ๆ ให้เห็นอยู่บ้าง แต่พอประมวลผลเสร็จแล้ว ภาพนี่สวยขึ้นเยอะเลยล่ะครับ
ซูมได้สูงสุด 50X เพียงพอและคมชัดขึ้น
อย่างที่เห็นจากสเปคด้านบน Galaxy Note20 Ultra มาพร้อมเลนส์ซูมแบบ Periscope ตัวใหม่ แม้ความละเอียดจะลดลงเหลือ 12MP แต่เซ็นเซอร์ใหม่นี้ได้ช่วงซูมแบบ Optical ที่ไกลกว่าเป็น 5X ค่ารูรับแสง f/3.0 กว้างขึ้นเมื่อเทียบกับของ S20 Ultra (Optical Zoom 4X, f/3.5)
และช่วงซูมสูงสุดก็ไปได้ถึง 50X ลดลงมาจาก 100X แต่เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปรวมถึงซูมเข้าใกล้แล้วล่ะ ตัว UI กล้องยังออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายเหมือนเดิม มีตัวเลือกให้กดตั้งแต่ 2X ไปจนถึง 50X เลยไม่ต้องมาคอยเลื่อนเป็นจังหวะ ๆ แค่กดตามปุ่มระบบก็จะซูมเข้าไปเองแบบสมูท ๆ ครับ แถมถ้ามีการซูมมากกว่า 20X ขึ้นไปก็จะตัวไกด์ขึ้นมาให้ดูด้วยว่านี่เราซูมตรงไหนอยู่
ตัวอย่างภาพถ่ายจากการซูมของ Note20 Ultra จะเห็นว่าคุณภาพในการซูมทำได้ดีมาก ในระยะ 5X - 10X นี่หวังผลได้เลย ไฟล์คมชัดและช่วยให้เราได้ระยะที่มากกว่าบนสมาร์ทโฟนทั่วไป มี AI คอยปรับภาพให้คมชัดขึ้นอีกนิดหลังถ่ายเสร็จ ส่วนการซูมระยะ 20X - 50X จะเป็นการซูมแบบ Digital แล้ว คุณภาพพอรับได้ครับ อาจจะไม่ได้หวังผลชัดเจนแบบ 5X หรือ 10X แต่ก็พอเห็นรายละเอียดอยู่ จะซูมดูตัวหนังสือคร่าว ๆ ก็ยังได้ ระบบกันสั่นในระยะไกล ๆ ทำได้ดีมาก สามารถถือมือเปล่าถ่ายได้เลย
เลนส์ Ultra Wide มุมกว้างก็เก่งนะ
ในภาพมุมกว้าง Note20 Ultra มาเลนส์ Ultra Wide Angle มุมกว้าง 120 องศา มาตรฐานของเลนส์แนวนี้ มี AI คอยจัดการ Distortion ความเว้าของมุมภาพให้กลับมาตรงแบบไม่น่าเกลียด
ตัวอย่างภาพถ่ายจากเลนส์ Ultra Wide ของ Note20 Ultra ในเรื่องของคุณภาพทาง Samsung ยังคงทำได้ดีในเลนส์ตัวนี้ สีสันสวย ความคมชัดก็ใช้ได้เลย พวก Dynamic Range ต่าง ๆ ทำได้สมบูรณ์ใกล้เคียงกับกล้องหลักเลยด้วย
Night mode เก็บแสงได้มากขึ้น
โหมดกลางคืนที่ใคร ๆ ก็มักจะมีกัน บน Note20 Ultra ก็มีมาให้เลือกเหมือนกัน ช่วยเก็บภาพกลางคืนให้สวยงามยิ่งขึ้น ด้วยเทคนิคการเก็บภาพหลาย ๆ สภาพแสงมารวมกันอีกนั่นแหละ โดยภาพที่ได้จะสวยกว่าในโหมด Auto ทั่วไป ตรงนี้ใช้ได้กับทั้ง 3 ช่วงเลนส์เลยจะถ่ายช่วงปกติหรือ Ultra Wide ก็ได้ครับ สามารถเก็บภาพได้สูงสุดถึง 8 วินาทีเลย
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Night mode ของ Note20 Ultra ภาพที่ได้ออกมาถือว่าจัดการกับ Noise ได้ดีทีเดียว เก็บรายละเอียดพวกแสงไม่ให้ฟุ้งจนเกินไป และสมดุลของภาพก็ดีเลย การเก็บภาพทำได้ดีไม่จำเป็นต้องมีขาตั้งก็ได้ภาพที่นิ่งออกมาสวย แต่ในเรื่องการประมวลผลภาพหลังถ่ายยังมีให้เห็นอยู่บ้าง ทำให้ถ่ายเสร็จแล้วเรายังไม่สามารถเห็นผลลัพธ์จริง ๆ ได้ทันที อันนี้ก็คงต้องรอซอฟต์แวร์อัปเดตกันต่อไปเนาะ
Live Focus หน้าชัด-หลังเบลอสกินโทนดีมาก
โหมด Portrait ของ Samsung ใช้ชื่อว่า Live Focus รอบนี้ยังคงเลือกระยะได้ 2 ระยะเหมือนเดิมคือ 1X กับ 2X ทั้ง 2 ระยะนี้ใช้เลนส์หลักในการถ่าย พร้อมลูกเล่นเอฟเฟกต์ของฉากหลังอีก 5 รูปแบบ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Live Focus ของ Note20 Ultra คุณภาพโดยรวมถือว่าทำได้ดีตามสไตล์ Samsung ครับสกินโทนดีมาก มีความใสเคลียร์ การละลายฉากหลังทำได้ดีแม้ไม่มีกล้อง ToF แล้ว 2 ระยะที่มีให้เลือกก็ทำได้ดีทั้งคู่ ถ่ายในที่แสงน้อยก็ยังสวย
อีกเรื่องที่ชอบก็คือเอฟเฟกต์ละลายฉากหลังนั้นเรายังสามารถกลับมาแก้ไขทีหลังได้ด้วย ไม่ใช่ถ่ายมาแบบไหนก็เป็นแบบนั้นมาเลยปรับไม่ได้เนาะ ตรงนี้จะมีเอฟเฟกต์พวก Artistic Bokeh เข้ามาเพิ่มด้วยถ้าฉากหลังมีดวงไฟเยอะ ๆ ทีนี้อยากได้โบเก้รูปหัวใจหรือเป็นเกล็ดหิมะก็ได้ เจ๋งดี !
Single Take ครบทุกอย่างในโหมดเดียว
Single Take โหมดเจ๋ง ๆ ที่เปิดตัวมาตอน S20 Ultra บน Note20 Ultra ก็ยังติดมาอยู่ด้วย รอบนี้สามารถเลือกระยะเวลาในการบันทึกได้แล้วตั้งแต่ 5 - 15 วินาทีเลย การใช้งานยังง่ายเหมือนเดิม กดถ่ายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น AI จะคำนวณให้เราและทำภาพรวมถึงวิดีโอรวมกันประมาณ 5 - 10 ภาพ ให้เราเลือกใช้งานได้ทีหลัง โดยจะคัดภาพ Best Shot มาให้ 1 ภาพก่อนด้วย
ตัวอย่างชุดภาพถ่ายจากโหมด Single Take ของ Note20 Ultra จะเห็นว่าตัวเลือกนั้นมีให้เลือกเพียบเลย ทั้งภาพนิ่งแบบปกติ ภาพนิ่งแบบหน้าชัด-หลังเบลอ ภาพนิ่งที่ใส่ฟิลเตอร์ให้แล้ว, วิดีโอแบบเร็ว ๆ, วิดีโอแบบปกติ และอีกอื่น ๆ ตรงนี้เหมาะสำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่รู้จะถ่ายในสถานการณ์นั้น ๆ ยังไง แต่อยากได้หลากหลายรูปแบบก็กดถ่ายโหมดนี้เลยครับ แล้วก็ค่อยมาเลือกผลลัพธ์เอาทีหลังอีกทีว่าอยากได้ภาพแนวไหน
ใส่ลายน้ำได้เองด้วยนะ
ในยุคนี้สมาร์ทโฟนหลาย ๆ แบรนด์มักมาพร้อมลายน้ำชื่อรุ่นเวลาถ่ายรูปให้เลือกเปิด ของ Samsung เองก็มีเหมือนกัน แต่เราจะต้องเข้าไปเลือกวางเอาเอง ไม่สามารถตั้งค่าแบบให้เปิดอัตโนมัติในทุกรูปเนาะ ซึ่งวิธีการก็ให้เข้าไปกด Edit ในแอป Gallery แล้วเลือกสติกเกอร์รูป Samsung Galaxy นั่นเองครับ โดยลายน้ำของ Note20 Ultra ก็จะเพียบ ๆ แบบนี้เลย
วิดีโอสูงสุด 8K ยังอยู่
จบภาพนิ่งไปแล้วเรียบร้อย มาเข้าสู่เรื่องของวิดีโอกันบ้าง Galaxy Note20 Ultra มาพร้อมกับความสามารถในการบันทึกวิดีโอสูงสุดถึง 8K (24fps) ต่อเนื่องมาจากตอน S20 Ultra นั่นแหละ ยังคงเน้นไฟล์ขนาดใหญ่เพื่อใช้งานครอปภาพบางส่วนไปใช้หรือ 8K VDO Snap แคปภาพจากวิดีโอได้ความละเอียดระดับ 33MP เหมือนเคย
Pro Video ใหม่ปรับได้เยอะมาก
ตอน S20 Ultra โหมด Pro Video นั้นเราสามารถปรับค่าต่าง ๆ เองได้ แต่บน Note20 Ultra นั้นเก่งขึ้นไปอีก ตัวเลือกมากขึ้น สามารถเลือกรูปแบบการบันทึกเสียงจากไมโครโฟนได้มากขึ้นจะเลือกเสียงโดยรวมทั้งหมด, ไมค์ตัวหน้า, ไมค์ตัวหลัง รวมถึงไมค์ผ่านหูฟังแบบสายหรือ Bluetooth ก็ได้ด้วย เจ๋งมาก ๆ
นอกจากนี้ยังมีโหมดซูมแบบลื่น ๆ ให้เลือกด้วย เราสามารถเลื่อนจากแถบด้านข้างเพื่อซูมได้เนียน ๆ แต่น่าเสียดายที่ในโหมดนี้ไม่สามารถใช้กับเลนส์อื่นได้ใช้ได้แค่เลนส์หลักเท่านั้นครับ
Live Focus Video ยังคงเจ๋งเหมือนเดิม เราสามารถถ่ายวิดีโอหน้าชัด-หลังเบลอได้ รวมถึงเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ก็สามารถปรับค่าได้ขณะที่บันทึกด้วย ก็จะได้ลูกเล่นเจ๋ง ๆ แบบตัวอย่างด้านบนนี้เลยครับ
กล้องหน้า 10MP มี Autofocus ด้วย
ในส่วนของกล้องหน้า Note20 Ultra นั้นได้ความละเอียดมาที่ 10MP มีระบบ Autofocus ด้วย มีโหมดมาให้เลือกครบทั้ง Live Focus, Night mode, Live Focus Video พร้อมรองรับวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ 4K 60fps ด้วยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Galaxy Note20 Ultra
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
แบตเตอรี่ดีแต่ยังไม่เยี่ยม
ปิดท้ายด้วยเรื่องแบตเตอรี่ Galaxy Note20 Ultra ให้แบตฯมาที่ 4500mAh เท่าที่ลองใช้งานมาจริง ๆ ช่วงสัปดาห์แรกนี่บอกเลยว่าไหลพอสมควร แต่พอผ่านไปสักพักเหมือนระบบค่อย ๆ จัดการได้ดีขึ้นและใช้งานได้เป็นอย่างดี แต่ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ ความจุระดับนี้ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีแต่ยังไม่ถึงกับเยี่ยมที่ใช้งานได้อย่างไม่ต้องกังวลนัก แต่ถ้าใช้งานทั่วไปก็ยังพออยู่ได้ตลอดทั้งวันครับ
ชาร์จไวที่ 25W เท่านั้น
สำหรับระบบชาร์จไวของ Galaxy Note20 Ultra รอบนี้เหลือชาร์จไวที่ 25W เท่านั้น แต่เท่านี้ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว Samsung เคลมว่าชาร์จเพียง 30 นาทีก็ได้แบตฯมา 50% แล้วล่ะ
สรุปให้เลยละกัน
ก็สำหรับ Galaxy Note20 Ultra จัดว่าเป็นเรือธงที่ครบทุกด้านจริง ๆ ฟีเจอร์และความสามารถเด่น ๆ เยอะมาก ยกระดับขึ้นมาจากรุ่นก่อนอยู่หลายอย่าง ทั้งดีไซน์ที่สวยหรูขึ้นด้วยกระจกแบบด้านทนทานด้วย Gorilla Glass Victus, หน้าจอ 120Hz ที่ลื่นไหลคู่กับ OneUI ใหม่ที่มอบประสบการณ์การทำงานได้อย่างน่าทึ่ง, สเปคที่จัดหนักจัดเต็มจะเล่นอะไรก็ลื่นไหล, กล้องที่ตอบโจทย์ทุกโหมดการใช้งานไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่งหรือวิดีโอ และสุดท้าย S Pen ยังคงโดดเด่นแบบหาใครเทียบไม่ได้เลย ใครที่กำลังมองหาเรือธงรุ่นท็อปสุดแบบที่เน้นทำงานก็ได้เล่นอะไรก็ครบ Galaxy Note20 Ultra นี่แหละเหมาะที่สุดแล้วครับ รอบนี้ก็มีให้เลือกหลากหลายโมเดลความจุรวมถึงการรองรับ 4G หรือ 5G ด้วย เลือกให้ตรงงบ ตรงความต้องการ รับรองไม่ผิดหวังครับ !!
จุดเด่น
- หน้าจอ 6.9” ใหญ่เต็มตาแถมยังลื่นไหลระดับ 120Hz
- ดีไซน์สวย สี Mystic Bronze ดีงามมาก
- สเปคตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
- กล้องดีเยี่ยมทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ
- S Pen คือที่สุด ลื่นขึ้น ฟีเจอร์เยอะขึ้น
- เพิ่ม micro-SD ได้สูงสุด 1TB
จุดสังเกต
- โมดูลกล้องใหญ่มาก
- ตำแหน่งลำโพงหลักวางไว้ไม่ดีเท่าไหร่มีโอกาสไปบังง่าย
- เครื่องร้อนไวเมื่อเล่นแบบจริงจัง
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite