ดีไซน์
Review : Samsung Galaxy S20 Ultra 5G การพัฒนาที่ก้าวกระโดด
ที่มาพร้อมกับความ "มหึมา" อย่างแท้จริง !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับ Samsung Galaxy S20 Ultra 5G เรือธงตัวแรงรุ่นล่าสุดของ Samsung หลังจากที่ก่อนหน้านี้เรารีวิวเรื่องกล้องแบบจัดเต็มไปแล้ว วันนี้ก็จะมารีวิวการใช้งานจริงเต็ม ๆ หลังใช้งานมากกว่า 2 สัปดาห์ว่ามีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบอะไรบ้าง ! อะ...ถ้าพร้อมแล้ว เรามาอ่านรีวิวฉบับเต็มของ Galaxy S20 Ultra 5G กันเลยดีกว่าครับ :D
วางจำหน่ายแล้ววันนี้
เริ่มต้นกันที่ราคาค่าตัวกันก่อนเลยละกัน Galaxy S20 Ultra 5G วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ รุ่นที่ขายไทยมีความจุเดียวคือ 128GB ในราคาค่าตัว 39,900 บาทครับผม !
ใหญ่สะใจ เต็มตาเต็มมือไปหมด
มาพูดถึงเรื่องดีไซน์กันต่อเลย Galaxy S20 Ultra 5G รอบนี้โดดเด่นมาก ๆ ด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้น ใหญ่แบบสะใจ ด้วยขนาดหน้าจอ 6.9” ใหญ่ที่สุดแบบที่ Samsung เคยผลิตมา ทำให้ตัวเครื่องนั้นดูเต็มตา เต็มมือไปหมด ตัวหน้าจอออกแบบมาใหม่ด้วย Infinity-O แบบรูกล้องเดียวตรงกลาง ขอบหน้าจอนี่ชิดไปสุดแบบที่เรียกว่าแทบไม่เจอขอบใด ๆ แล้ว
ตัวหน้าจอเป็น Dynamic Amoled 2X ชื่อใหม่ที่ Samsung ใช้เรียก สีสันในการแสดงผลทำได้ดีมาก สีสวยและเต็มตาสุด ๆ เรื่องความคมความสวยงามไม่ต้องห่วงเลย ความละเอียดสูงสุดถึง WQHD+ (2K) ซึ่งเราสามารถเข้าไปปรับตั้งค่าเพิ่มเติมได้ทีหลังในการตั้งค่า (ค่าเริ่มต้นให้มาที่ FHD+)
รอบนี้เพิ่มค่า Refresh Rate ขึ้นมาสูงสุดที่ 120Hz ตรงนี้น่าจะเป็นที่มาของคำว่า 2X (ค่า Refresh rate มากขึ้น 2 เท่า) การแสดงผลนั้นลื่นไหลมาก ๆ ดูอะไรก็ลื่นติดตาไปหมด แต่ ! ในค่า Refresh Rate สูงสุดนี้จะปรับความละเอียดหน้าจอได้ที่ FHD+ เท่านั้น ไม่สามารถใช้ควบคู่กับความละเอียดสูงสุดได้ ตรงนี้ก็ต้องแลกกันเนอะ แต่ส่วนตัวเฮียเลือกเปิด Refresh Rate สูงนี่แหละ เห็นผลชัดกว่าและประสบการณ์การใช้งานสูงกว่าความละเอียดเต็ม ๆ นะ
จอไม่โค้ง 3D แล้ว แฟน ๆ ร้องเฮ
อีกจุดที่หน้าจอของ Galaxy S20 Ultra 5G เปลี่ยนไปก็คือกระจกหน้าจอที่รอบนี้ไม่ได้ใช้แบบ 3D แล้ว ใช้เป็นแบบ 2.5D ที่มีความโค้งนิดเดียวแทน ทำให้การมองหน้าจอแนวตรงเห็นได้เต็มตามากขึ้น แต่ก็ไม่เชิงเรียบแบนไปเลยนะครับ ยังมีความโค้งอยู่นิดหน่อย ซึ่งดีมาก ๆ เลยแบบนี้ ตัวเครื่องมีการติดฟิล์มกันรอยมาให้ตั้งแต่แกะกล่องเลย ถึงแม้ตัวกระจกด้านหน้าจะเป็น Gorilla Glass 6 อยู่แล้วก็ตามครับ
ขนาดตัวเครื่องใหญ่แบบจับต้องได้
แน่นอนว่าด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ระดับ 6.9” แบบนี้ ปฏิเสธได้ยากว่าตัวเครื่องจะต้องใหญ่ตามไปด้วย แต่ด้วยการออกแบบของจอที่ชิดขอบมากขึ้น รวมถึงอัตราส่วนหน้าจอแบบ 20:9 ทำให้การจับถือในมือเดียวนั้นทำได้แบบที่ไม่เทอะทะจนเกินไป แต่สำหรับการใช้งานก็คงเหมาะกับการถือ 2 มือมากกว่าไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์หรือเลื่อนหน้าจอจากมุมใดไปอีกมุมอะไรทำนองนี้ครับ
น้ำหนักตัวเครื่อง 220 กรัม อันนี้ดูจากสเปคก็ยอมรับเลยครับว่าแอบหนักไปนิด แต่ก็ด้วยขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่ขนาดนี้น่ะนะ บวกกับความบางเพียง 8.8 มม. การกระจายน้ำหนักถือว่าทำได้ดีครับ แน่นหนาตามสไตล์เรือธง
รูกล้องเล็กแบบไม่กวนสายตาดี ในส่วนของรูกล้องด้านบนจะเห็นว่ามีขนาดเล็กมาก มีลำโพงสนทนาแบบจริง ๆ อยู่ด้วยที่ด้านบนนี้ ย้ายพวกเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ออกไปไว้บนหน้าจอ ก็ไม่กวนสายตามีเพียงจอที่ชิดขอบไปซะทั้งหมด
ตัวขอบหน้าจอด้านล่างก็ชิดมาก ๆ แล้ว มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic อยู่ในหน้าจอเหมือนเดิม ตำแหน่งจะสูงขึ้นกว่าตอน S10 คล้ายกับตอน Note 10 ครับผม
ย้ายปุ่มมาที่ด้านขวาหมดแล้ว
ตำแหน่งการวางปุ่มรอบนี้สลับมาไว้ที่ด้านขวามือของตัวเครื่องทั้งหมด ตำแหน่งการกดทำได้ดีขึ้น Power อยู่ในระดับที่แตะได้แบบไม่ต้องเอื้อมนิ้วขึ้นไป ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงก็ปกติเลยครับ
พอร์ตการเชื่อมต่อจะอยู่ที่ด้านล่างทั้งหมด รอบนี้ตัดขาดจากช่องหูฟัง 3.5 มม. ไปแล้วเรียบร้อย มีเพียงพอร์ต USB Type-C, ไมโครโฟนและลำโพงหลักอยู่ที่ด้านล่างเท่านั้นครับ
ส่วนด้านบนมีไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน และช่องใส่ซิม ถาดซิมยังคงเป็นแบบพลาสติกง่าย ๆ ช่องซิมเป็นแบบไฮบริด จะใส่ 1 ซิม 1 micro-SD หรือ 2 ซิมอันนี้ก็ต้องเลือกเอาครับ
ฝาหลังใหม่พร้อมโมดูลกล้องใหญ่แบบจัดเต็ม
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลัง Galaxy S20 Ultra 5G จะมาพร้อมดีไซน์แบบใหม่ด้วยกระจก Gorilla Glass 6 โค้ง พร้อมโมดูลกล้องขนาดใหญ่ แบบใหญ่จริง ๆ วางตำแหน่งไว้ที่มุมซ้ายบนซึ่งเอาจริง ๆ มันก็กินมาเกือบครึ่งของฝาซ้ายบนเลย
ตรงนี้เป็นตำแหน่งของกล้องที่ให้มามากถึง 4 ตัว แบ่งเป็นกล้องทรงกลม ๆ กล้องหลัก + เลนส์ Ultra Wide + ToF และไฟแฟลชอยู่ด้านใน ส่วนอีกตัวที่แยกออกมาจะเป็นเลนส์ Periscope แบบใหม่ของ Samsung ที่มีระยะซูมสูงสุดถึง 100X มีคำว่า Space Zoom เครื่องหมายการค้าอยู่ตรงนี้ด้วย !
ตัวโมดูลกล้องด้วยความที่มีเลนส์แบบ Periscope เข้ามาทำให้ตัวเลนส์นั้นจะสูงขึ้นกว่าปกติหน่อย แต่ด้วยการทำกรอบให้มันอยู่ด้วยกันแบบนี้ ตัว Camera Bump เลยนูนขึ้นมาจากตัวเครื่องชัดเจน แต่ตรงนี้ Samsung เคลมว่าใช้กระจก Gorilla Glass 6 แล้ว ทนทานต่อรอยอะเนอะ ไม่ต้องกลัวเลนส์จะเป็นรอยง่าย ๆ ละ
ตัวเครื่องมาพร้อมความสามารถกันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 เหมือนเดิม ลงน้ำได้ระดับ 1.5 เมตรนาน 30 นาทีโดยไม่ตัองปิดพอร์ตใด ๆ แต่ตรงนี้ก็เผื่อกรณีฉุกเฉินเท่านั้นนะครับ ไม่ได้เน้นให้เอาลงไปเล่นในน้ำจริง ๆ
รวม ๆ แล้วในส่วนของดีไซน์ Galaxy S20 Ultra 5G ก็ถือว่า ปรับโฉมไปจากปีที่แล้วเยอะเลย เป็นรุ่น Ultra สมชื่อด้วยความใหญ่ที่มหึมาที่สุดเท่าที่ Samsung เคยทำมา ทั้งหน้าจอ ขนาดตัวเครื่อง รวมถึงโมดูลกล้องด้วย เรียกว่าใครชอบของใหญ่นี่ถูกใจแน่นอน !
สเปคและฟีเจอร์การใช้งาน
สเปค Galaxy S20 Ultra 5G
- หน้าจอ Dynamic Amoled 2X 6.9 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ (20:9)
- Refresh Rate 120Hz, รองรับการแสดงผล HDR10+
- ซีพียู Exynos 990 Octa-core (7nm)
- จีพียู Mali-G77MP11
- แรม 12GBGB LPDDR5
- ความจุ 128GB
- หน่วยความจำภายใน UFS 3.0 รองรับ micro-SD สูงสุด 1TB
- แบตเตอรี่ 5000mAh
- รองรับ Super Fast Charge 45W และ Wireless Charge
- กล้องหน้า 40 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้ารองรับวิดีโอ 4K 60fps
- กล้องหลัง 4 ตัว 108 + 48 + 12 ล้านพิกเซล + ToF
- กล้องหลังรองรับวิดีโอ 8K 24fps, Super Slow Motion
- รองระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- รองรับระบบสแกนใบหน้า
- กันน้ำกันฝุ่นด้วยมาตรฐาน IP68
- รัน Android 10 ครอบด้วย One UI 2.1
สเปคจัดเต็ม ให้มาสุดของ Samsung แล้ว
ในส่วนของสเปค Galaxy S20 Ultra 5G ก็จัดเต็มมาแบบสุด ๆ แล้ว รอบนี้อัปเกรดชิปเซ็ตมาเป็นตัวใหม่ Exynos 990 ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าเดิม ใช้สถาปัตยกรรมแบบใหม่ 7 นาโนเมตร CPU ดีขึ้น 15% และตัว GPU อัปเกรดขึ้นมาเป็น Mali-G77MP11 ที่สามารถประมวลผลกราฟิกได้ดีขึ้น 25.2% ส่วน NPU ทำงานได้ดีขึ้นถึง 4.3 เท่าเลย
หน่วยความจำภายในแบบใหม่
แรมของ S20 Ultra 5G นั้นให้มาที่ 12GB เป็น LPDDR5 ใหม่สุด และมีความจุอยู่ที่ 128GB แบบ UFS3.0 ด้วย รวดเร็วมันใจสุด ๆ แต่หลายคนอาจจะคิดว่าให้มาน้อยไปหน่อยที่ 128GB ซึ่งตรงนี้เราก็ยังสามารถเพิ่ม micro-SD ได้อีกถึง 1TB นะครับ ถ้าไม่พอก็เพิ่มเอาเนาะ
รองรับ 5G แล้วด้วย !
เห็นจากชื่อรุ่นชัดเจนแบบนี้ว่า S20 Ultra 5G แน่นอนครับรุ่นที่ขายในไทยจะรองรับคลื่น 2600MHz ของ AIS และ True แน่นอน ใช้งานกับ 2 คลื่นนี้ได้เมื่อมีการอัปเดตซอฟต์แวร์จากทาง Samsung ครับ เรียกว่าซื้อไว้ใช้งาน 5G ได้ชัวร์ ๆ รุ่นนี้
OneUI 2.1 ใหม่ขึ้นมาอีก
ในส่วนของซอฟต์แวร์ Galaxy S20 Ultra 5G มาพร้อมกับ Android 10 ที่ครอบทับมาด้วย OneUI 2.1 เป็นตัวล่าสุดของ Samsung เพิ่มความสามารถบางอย่างเข้ามาอีก
หน้าตา UI ยังคล้ายเดิม มีไอคอนที่หลากสี ความลื่นไหลเมื่ออยู่ในหน้าจอแบบ 120Hz นี่ดีมาก ๆ เลื่อนหน้าจอ ไถ ๆ หน้าจอลื่นไปหมด มีตัว App Drawer มาให้ใช้เหมือนเดิม ตัว UI สามารถปรับ ขนาด Grid ได้ว่าอยากได้เรียงไอคอนกี่มากน้อยให้เข้ากับการใช้งานครับ รวมถึงการปรับรูปแบบหน้าจอให้ใช้งานเป็นแนวนอนก็ทำได้ด้วยในการตั้งค่า Home Screen ครับ
เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Display > Home Screen
มีหน้า Dark Mode ให้เลือกปรับใช้งาน ช่วยถนอมสายตาในการทำงาน จะตั้งให้เปิด-ปิดตามช่วงเวลาก็ได้ หรือจะเปิดตลอดไปเลยก็ได้เช่นกัน
เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Display > Dark Mode
มี Dynamic Wallpaper คัดรูปสวย ๆ มาให้
Wallpaper ในหน้า Lock Screen จะมีบริการ Dynamic Lockscreen มาให้ด้วย ตรงนี้จะเป็นบริการคัดรูป Wallpaper สวย ๆ มาให้เราใช้งาน ซึ่งสามารถเลือกหมวดหมู่ได้ 5 หมวดคือ Landscape, Life, Food, Pets และ Art ตรงนี้ก็เลือกใช้กันได้ตามสะดวกเลย มีสวย ๆ มาให้เราชมตลอดครับ
ตั้งค่าได้ที่ Settings > Lock Screen > Wallpaper Services > Dynamic Lock Screen
ใช้ Gesture นี่แหละ ลื่นไหลสุด
รูปแบบ Navigation Gesture บน OneUI 2.1 นั้นสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นแล้ว ต้องขอบคุณ Android 10 ที่ให้มาตรฐานมาแบบเดียวกัน ซึ่งช่วยให้เราใช้งาน S20 Ultra 5G ได้อย่างลื่นไหลมากขึ้น เราสามารถใช้รูปแบบ Gesture แทนปุ่ม 3 ปุ่มด้านล่างได้ และรูปแบบก็จะเป็นการเลื่อนจากแถบล่างขึ้นมาเป็นโฮม เลื่อนจากฝั่งซ้ายหรือขวาเพื่อเป็นการย้อนกลับ ใช้งานได้สะดวก ส่วนตัวชอบการใช้งานมากกว่าแบบ 3 ปุ่มเดิมเยอะเลยครับ เลื่อน สไลด์ ปาด มันลื่นไปหมด :D
เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Display > Navigation Bar > Full Screen Gesture
หน้า Edge Screen ยังอยู่ดี
ตัวหน้า Edge Screen หรือไอคอนที่มุมจอนั้นก็ยังไม่หายไปไหน แม้ตัวขอบหน้าจอจะไม่โค้งแล้วก็ตาม ซึ่งฟีเจอร์นี้กลายเป็นฟีเจอร์พื้นฐานของ OneUI 2 ไปเรียบร้อย ไม่ได้มีแค่เฉพาะบนเรือธงแล้ว ซึ่งก็สะดวกดีต่อการใช้งานครับ บางครั้งเราอยากเข้าแอปแบบด่วน ๆ ก็เลื่อนเอาเลยจากมุมขวาของหน้าจอนี้ครับ
มีหน้า Always On Display เราสามารถแตะ 1 ครั้งตอนที่หน้าจอดับเพื่อดูเวลาหรือไอคอนการแจ้งเตือนต่าง ๆ ได้จากตรงนี้ หรือจะแตะ 2 ครั้งเพื่อปลุกหน้าจอทำได้เช่นกันครับ การทำงานทำได้รวดเร็วครับ เราไม่จำเป็นต้องกดปุ่ม Power เพื่อปลดล็อคเลยใช้เคาะหน้าจอสแกนนิ้วหรือเคาะหน้าจอแล้วสแกนหน้าเข้าไปเลยก็ได้เช่นกัน
ระบบสั่นใหม่ นุ่มนวลกว่าที่เคย
Galaxy S20 Ultra 5G มาพร้อมกับระบบสั่น Haptic Feedback แบบใหม่ เพิ่มความนุ่มนวลมากขึ้นในการสัมผัส ทั้งการพิมพ์, การถ่ายรูป เวลาเรากดชัตเตอร์หรือการเลื่อนหน้าจอแบบ Gesture เข้าหน้าโฮมต่าง ๆ ก็จะมีความสั่นแบบนุ่ม ๆ เพิ่มเข้ามา ตรงนี้ชอบมาก ช่วยให้ความรู้สึกในการใช้งานดีขึ้นเยอะ ไม่มีแข็งกระด้างน่ะเนาะ
ระบบสแกนนิ้ว Ultrasonic เร็วมาก!
ระบบสแกนลายนิ้วมือของ S20 Ultra 5G นั้นยังคงใช้เป็นแบบ Ultrasonic ซึ่งมีตำแหน่งในการวางที่เหมาะสมดี เวลาจับถือสแกนก็ติดได้ง่ายเลย ในเรื่องของความเร็วตอน S10 อาจจะมีบ่น ๆ กันว่าทำงานได้ช้าบ้าง ไม่ทันใจบ้าง แต่รอบนี้ปรับปรุงมาได้ดีขึ้นเยอะ ใช้งานได้ไวขึ้นเราใช้การแตะก็สามารถสแกนนิ้วเข้าหน้าจอได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องแตะแช่นาน ๆ หรือกดแรง ๆ ในการสแกนแล้ว เยี่ยม !
สแกนหน้าก็ได้เร็วเลย !
ในส่วนของระบบสแกนใบหน้าก็ยังมีให้ใช้งานอยู่ และทำงานได้รวดเร็วไม่แพ้กัน เราสามารถใช้งานเลือกได้ว่าจะให้ปลดล็อคทันทีที่สแกนหน้าติด หรือว่าสแกนหน้าแล้วเช็คข้อมูลก่อนแล้วค่อยสไลด์หน้าจอเพื่อปลดล็อคก็ได้เช่นกันครับ
เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Biometrics and Security > Face Recognition
หน้าจอ ระบบเสียง เล่นเกม
หน้าจอที่อัปเกรดขึ้นเยอะแบบเห็นได้ชัด
เช้าสู่เรื่องการใช้งานเพื่อความบันเทิงที่ Samsung ถนัดอยู่แล้ว Galaxy S20 Ultra 5G มาพร้อมหน้าจอ Dynamic Amoled 2X อย่างที่บอกไป ตัวหน้าจอในเรื่องความสวยงามนั้นไม่ต้องอธิบายเยอะครับ สวยงามมากอยู่แล้ว ความคมชัดดีมาก มีค่า Contrast มากถึง 2,000,000:1 เพราะฉะนั้นสีดำเป็นดำ รายละเอียดมาเต็ม แถมตัวหน้าจอยังรองรับการแสดงผล HDR10+ ที่แสดงค่าความสว่างสูงสุดที่ 1200nits ได้เลยด้วย
เหมาะกับการเอามาดูไฟล์วิดีโอความละเอียดสูงมาก ๆ ยิ่งคอนเทนต์ที่มีอัตราส่วนแบบโรงหนัง หรือหนัง ซีรีส์บน Netflix, YouTube ที่รองรับ HDR10 นี่ยิ่งแจ่ม จอที่ใหญ่และชิดขอบขนาดนี้ มันฟินดีจริง ๆ ความมหึมาที่มอบให้แบบนี้หาได้จาก Samsung เท่านั้นครับ !
ในเรื่องความละเอียดเมื่อเปิดใช้งาน Refresh Rate 120Hz แล้วอาจจะต้องลดลงมาที่ FHD+ แทน ซึ่งความละเอียดระดับนี้บนหน้าจอขนาด 6.9” ก็ยังสวยงามและคมชัดอยู่ แม้ถ้าเปิดเป็น WQHD+ จะชัดขึ้นไปอีก แต่ก็รับได้ในความละเอียดระดับนี้ที่แลกมากับความลื่นของหน้าจอแทนเนาะ ใช้งานดูฟีด ไถไปมาได้อย่างลื่นไหลมาก ๆ ชอบตรงนี้เลย ใช้นาน ๆ แล้วกลับไปใช้พวกหน้าจอ 60Hz ไม่ชินจริง ๆ ครับ
ลำโพงเสียงชัดเจน มี Dolby Atmos
ในส่วนของเสียง ลำโพงตัวเครื่องทำได้ดีมากใช้งานทั้งลำโพงสนทนาและลำโพงหลักร่วมกันเป็น Stereo ขับเสียงออกมาได้ยอดเยี่ยม มิติของเสียงดีมาก ๆ ส่วนระดับความดังก็อยู่ในเกณฑ์ดีครับ ใช้ฟังเพลงหรือเล่นเกมได้แบบไม่ต้องพึ่งหูฟังได้เลย
ส่วนช่องหูฟัง 3.5 มม. ที่ถูกตัดออกไปแล้วนั้น เชื่อว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเพราะหลาย ๆ รุ่นก็เอาออกไปหมดแล้ว ตรงนี้น่าจะปรับตัวกันได้แล้วล่ะเนอะ ซึ่งการใช้งานหูฟังแบบไร้สายเดี๋ยวนี้ก็มีตัวเลือกมากมาย ทั้งของ Samsung เองก็มี Galaxy Buds หรือ Buds+ ที่เชื่อมต่อกันได้ง่าย ๆ เพียงแค่เปิดฝาและแตะจับคู่ ใช้งานพวกหูฟังไร้สายด้วยก็ง่ายดีเหมือนกันครับ
ประสิทธิภาพแรงแค่ไหน Exynos ตัวใหม่ !
ก่อนจะไปเข้าเรื่องการเล่นเกม เรามาทดสอบประสิทธิภาพผ่านแอป Benchmark นอดนิยมกันก่อน โดยรอบนี้เราทดสอบกับทั้ง AnTuTu Benchmark และ GeekBench 5.0 เลย ซึ่งผลคะแนนก็ออกมาดังนี้ครับ
496747 คะแนนสำหรับ AnTuTu Benchmark ก็ถือว่าสูงมากแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงแบบนี้ ประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่า Exynos 9820 เดิมอยู่ราว ๆ 15% จริงเลยล่ะ
ส่วนคะแนนของ GeekBench 5.0 นั้นจะอยู่ที่ 434 คะแนนสำหรับ Single-Core และ 2633 คะแนนสำหรับ Multi-Core ครับ ในส่วนของ GeekBench
**หมายเหตุ** ในรีวิวนี้ตัวซอฟต์แวร์ของ S20 Ultra 5G ยังไม่ใช่ตัวไฟนอลนะครับ เพราะฉะนั้นคะแนนทดสอบอาจแตกต่างจากเวอร์ชั่นขายจริงอยู่ ใช้อ้างอิงได้ไม่ 100% ครับผม
เล่นเกมล่ะเป็นไง !?
ทดสอบหน้าจอ ระบบเสียงและ Benchmark ไปหมดแล้ว ก็มาถึงการทดสอบเล่นเกมจริงจังบ้าง S20 Ultra 5G มีระบบ Game Launcher เอาไว้รวมแอปเกมต่าง ๆ พร้อมปรับการตั้งค่าให้พร้อมเล่นเกมมากที่สุดด้วย ซึ่งจะจัดการทั้งระบบ การแจ้งเตือนรวมถึงการจัดการเกี่ยวกับเกมอย่างการบันทึกหน้าจอขณะเล่น หรือ Live Stream ก็ได้จากตัวนี้เลย
สำหรับเกมที่จะมาทดสอบในครั้งนี้ขอเป็นเกมฮิตอย่าง Call of Duty ก่อนละกันครับ ซึ่งเป็นเกมหลักที่เฮียใช้เล่นอยู่ตอนนี้ อยากรู้ว่าจะให้ประสบการณ์ที่สุดยอดแค่ไหน ตัวเครื่องให้เราปรับค่ากราฟิกได้ที่ระดับสูงสุด (Very High) และเฟรมเรตที่ Very High เช่นกัน เชื่อว่าคงเพราะตัวชิปเซ็ตที่ใหม่ไปหน่อย เลยยังไม่สามารถปรับเป็น Ultra ได้ เพราะประสิทธิภาพนั้นเหลือ ๆ อยู่แล้ว แต่เท่านี้ก็พอแล้วล่ะครับในการเล่นจริง !
เท่าที่ทดสอบตัวเกมทำได้ดีมาก ๆ เฟรมเรตนั้นสมูทต่อเนื่องเลย ไม่เจออาการเฟรมเรตตกให้เห็นเลย ทั้งในโหมด Multiplayer และ Battle Royale ถึงแม้ตัวเฟรมเรตตอนนี้จะยังปรับเป็น Ultra ไม่ได้แต่พออยู่บนจอ 120Hz ก็ให้ความสมูทกับสายตาได้ดีอยู่ครับ
ตัวขนาดหน้าจอที่ใหญ่มาก ๆ แบบนี้ก็ช่วยให้เล่นเกมได้ถึงใจดีจริง ๆ ตัวรูกล้องบนหน้าจอก็ไม่ใช่ปัญหาครับ ไม่ได้บดบังพวก UI ในการเล่นจนเป็นปัญหา อย่างที่เป็นในภาพด้านบน ตรงนี้ของเกม Call of Duty จะวางปุ่มยิงอีกปุ่มซึ่งใหญ่พอที่เราจะแตะโดนอยู่ครับ
ระบบเสียงแบบ Stereo ของตัวเครื่องก็ช่วยให้เราไอ้ยิงเสียงที่ชัดเจนเป็นอย่างดีครับ จังหวะในเกม FPS แบบนี้เสียงก็สำคัญ ให้เราทราบทิศทางของศัตรูได้ค่อนข้างชัดเลยล่ะครับ
นอกจากเกม Call of Duty แล้วจริง ๆ ยังมีเกมที่รองรับ 120fps แบบเต็มรูปแบบอีกเพียบ ซึ่งเราเคยแนะนำไว้แล้ว ไปลองดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้จากลิงก์ด้านล่างเลยครับ :)
กล้อง
กล้องจัดเต็ม ไฮไลท์หลักของรุ่นนี้ !
สำหรับกล้องนั้นถือว่าเป็นไฮไลท์หลักอีกอย่างของ Galaxy S20 Ultra 5G นี้เลย รุ่นนี้มาพร้อมกับกล้องหลังมากถึง 4 ตัว แบ่งเป็นกล้องที่ใช้เก็บภาพ 3 ตัว 3 ระยะการใช้งานและกล้อง ToF สำหรับวัดระยะตื้นลึกของภาพเพื่อการละลายฉากหลังในโหมดหน้าชัด-หลังเบลอนั้นเนียนขึ้นนั่นเอง ในส่วนของกล้อง 3 ตัวจะมีสเปคคร่าว ๆ ดังนี้ครับ
- กล้องหลัก: 108MP, f/1.8 เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.33", 0.8µm, PDAF, OIS (26 มม., มุมกว้าง 79 องศา)
- เลนส์ Ultra Wide: 12MP, f/2.2, 1.4µm, (13มม., มุมกว้าง 120 องศา)
- เลนส์ Periscope 4x: 48MP, f/3.5 เซ็นเซอร์ขนาด 1/2.0" 0.8µm, PDAF, OIS, รองรับ Optical Hybrid Zoom 10x (103 มม., มุมกว้าง 79 องศา)
- กล้อง Depth Vision: ToF 3D
อย่างที่เห็นว่าในเรื่องของสเปคกล้องนั้น S20 Ultra 5G นั้นจัดเต็มมากจริง ๆ มาพร้อมกล้องหลักความละเอียดสูงสุดถึง 108MP ถ่ายมากว้าง ๆ แล้วค่อยครอปเข้าไปยังคมชัดอยู่เลย มีกล้อง Ultra Wide ตัวใหม่ความละเอียด 12MP ลดมุมลงมาเหลือ 120 องศา (จากเดิม 123 องศา) แต่ยังไม่มีระบบ Autofocus มาให้เหมือนเดิมนะครับ ส่วนไฮไลท์อีกตัวก็คือเลนส์ Periscope ช่วงซูมใหม่ที่มาพร้อมระบบ Optical ที่ 4x และสามารถซูมได้สูงสุดถึง 100x เลยด้วย !
ความละเอียด 108MP เป็นไง มาพร้อมเทคโนโลยี Nona Binning 9 in 1
มาเริ่มดูกันทีละจุดเลยดีกว่า เริ่มต้นที่กล้องหลักเซ็นเซอร์ความละเอียด 108MP แต่ Galaxy S20 Ultra 5G มาพร้อมเทคโนโลยีการรวมภาพแบบใหม่ที่เรียกว่า Nona Binning เป็นการรวมเอาพิกเซลจาก 9 มาเป็น 1 เพื่อให้ได้คุณภาพที่คมชัดมาก ๆ ในความละเอียดพิกเซลที่กำลังพอเหมาะพอเจาะสำหรับการใช้งานครับ หมายความว่าในโหมด Auto ปกติที่เราเปิดกล้องมา ตัวความละเอียดของภาพจะถูกตั้งไว้ที่ 12MP แล้ว 12MP นี้มาจากไหน ก็อย่างที่บอกไปว่าเทคโนโลยี nona binning คือการรวมเอาพิกเซลจาก 9 มาเป็น 1 เพราะฉะนั้น 9 หาร 108 = 12 พอดี ในการใช้งานทั่วไปภาพที่เราได้จากกล้องของ S20 Ultra 5G ก็จะมีความคมชัดสูงแม้จะเหลือความละเอียดอยู่ที่ 12MP ก็ตามครับ
แต่ ! ถ้าอยากได้ความละเอียดแบบเต็มที่สุด ตัวแอปก็จะมีตัวเลือก 108MP มาให้เลือกปรับเช่นกัน ซึ่งเมื่อปรับมาใช้ความละเอียดนี้แล้วคุณภาพไฟล์ก็จะเต็มมากขึ้น แน่นอนว่าความละเอียดระดับนี้ใหญ่แบบสุด ๆ สามารถใช้ Wrap ตึกสูงได้ทั้งตึกเลย นำมาครอปไปใช้งานต่อก็ได้เลยด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลักความละเอียด 108MP เทียบกับ 12MP ปกติ จะเห็นว่าจากภาพตัวอย่างชุดนี้ ความละเอียดที่ 108MP นั้นใหญ่กว่าชัดเจนเวลาครอปภาพก็เห็นรายละเอียดได้มากกว่าโหมด Auto ที่ 12MP แต่ตรงนี้ก็ต้องแลกมากับขนาดไฟล์ที่ใหญ่กว่าเป็นเท่าตัวเลย ไฟล์ออกมาที่ระดับ 20 - 30MB ต่อภาพเลยล่ะครับ
เซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้นครั้งแรกในรอบหลายปี !
ใช่ครับอีกเรื่องที่กล้องของ S20 Ultra 5G ทำได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ ก็คือขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น Samsung ใช้เซ็นเซอร์ขนาด 1/2.55" มาเป็นเวลานานมากกกก ! ตั้งแต่สมัย S7 ตั้งแต่ปี 2016 นู่นแหละ ไม่ได้เปลี่ยนเลย จนมาถึงรุ่นนี้ก็มีการยกเครื่องใหม่หมด บนกล้อง 108MP นี้ทีขนาดเซ็นเซอร์ที่ 1/1.33" ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ๆ เรียกว่าคุณภาพดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนมากหลายโข
กล้อง Periscope ใหม่ ซูมสุดพลังกว่าที่เคย !
เข้าสู่กล้องซูมที่เป็นอีกจุดเด่นของ Galaxy S20 Ultra 5G โดยรอบนี้เพิ่มตัวเลนส์ Periscopoe เข้ามาสังเกตได้คือเลนส์สี่เหลี่ยมที่อยู่ล่าสุดนี่แหละ มาพร้อมความละเอียดสูงถึง 48MP ถือว่าเป็นครั้งแรกของกล้องซูมบนสมาร์ทโฟนที่ให้ความละเอียดมาสูงขนาดนี้เลย ปกติเราจะเห็นแค่ 8MP หรือ 13MP ซะส่วนใหญ่ และมีเทคโนโลยี Pixel Binning รวมพิกเซลจาก 4 ไปเป็น 1 ทำให้ผลลัพธ์ออกมาที่ 12MP ครับผม
โดยตัวเลนส์นี้จะใช้การวางตัวเลนส์เป็นแนวนอนแบบ 90 องศา วางชิ้นเลนส์ซ้อนกันถึง 4 ชิ้นเพื่อชิ่งแสงเข้าไปที่ตัวเซ็นเซอร์ลดระยะทางยาวของตัวเลนส์ ซึ่งตรงนี้ทาง Samsung ใช้ชื่อเรียกว่า Folded Lens การวางเลนส์แบบนี้จะช่วยให้เราสามารถซูมได้มากกว่าเดิมแต่ไม่เพิ่มขนาดของตัวชิ้นเลนส์จนหนาเตอะ
โดยช่วงจริงของเลนส์ Periscope บน S20 Ultra 5G แบบ Optical คือ 4x และจะสามารถซูมแบบ Optical Hybrid ได้มากสุดถึง 10x ซึ่งการทำงานของระบบ Optical Hybrid Zoom นี้คือการใช้เลนส์ Periscope ร่วมกับกล้องหลักความละเอียด 108MP ประมวลผลภาพออกมาจนได้ความคมชัดที่สูงที่สุด และซูมแบบ Digital แบบสุด ๆ จริง ๆ จะไปได้ไกลสุดถึง 100x เลยทีเดียว ตรงนี้ทาง Samsung ใช้ชื่อเครื่องหมายการค้าใหม่เลยว่า "SPACE ZOOM" ครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากการซูมของ S20 Ultra 5G จะเห็นว่าคุณภาพในการซูมทำได้ดีมาก ในระยะ 5x - 10x นี่หวังผลได้เลย ไฟล์คมชัดและช่วยให้เราได้ระยะที่มากกว่าบนสมาร์ทโฟนทั่วไป แถมการซูมมาก ๆ ระยะ Depth จะสวยงามมากขึ้นละลายฉากหลังได้คล้ายกับบนกล้อง Compact หรือ Mirrorless ระดับเบื้องต้นได้เลย ส่วนการซูมแบบ Digital 30x - 100x ระยะซูมตั้งแต่ 10x ขึ้นไปก็จะเป็นการซูมแบบ Digital แล้ว คุณภาพพอรับได้ครับ อย่างที่บอกว่าหวังผลอะไรไม่ได้มากนัก แต่ส่วนตัวชอบในเรื่องของระบบกันสั่นที่ให้มาเพราะ OIS ทำงานดีมาก แม้จะซูมเข้าไปที่ระดับ 30x หรือ 100x ตัวกล้องยังนิ่งอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้ไม่ได้ใช้งานขาตั้งกล้อง และมีระบบ AI คอยจัดการเกลี่ยภาพให้คมชัดมากขึ้นอีกหน่อยหลังจากถ่ายเสร็จแล้วด้วยครับ
มี AI Scene Optimizer เร็วขึ้น เก่งขึ้น
ในส่วนของการใช้งานทั่วไป Galaxy S20 Ultra 5G จะมาพร้อมกับระบบ AI Scene Optimizer รอบนี้ Samsung ยอมใช้คำว่า AI เข้ามาแล้วนะจ๊ะ การทำงานคล้ายกับรุ่นก่อน ๆ แต่ประมวลผลภาพได้เร็วขึ้นมาก เล็งหมาขึ้นหมา เล็งคนขึ้นคนเลย ไม่ต้องรอนาน มีระบบ Auto HDR ที่ประมวลผลภาพย้อนแสงได้ดีขึ้น "มาก" เล็ง ๆ แล้วถ่ายเถอะ ออกมาสวยแน่นอน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Auto (AI Scene Optimizer)
มีเลนส์ Ultra Wide ใหม่ด้วยนะ
ไปข้างหน้าได้เยอะถึง 100x แล้ว ย้อนหลังก็ทำได้อีก 0.5x แหนะ ตรงนี้อาจจะดูไม่หวือหวาเท่าไหร่สำหรับเลนส์ Ultra Wide เพราะ Samsung เริ่มใส่มาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว รอบนี้ลดความกว้างลงจากเดิมที่ 123 องศามาเป็น 120 แทนด้วย แต่เลนส์ Ultra Wide ของ Galaxy S20 Ultra 5G รอบนี้ก็มีการเปลี่ยนเซ็นเซอร์ไปด้วยเช่นกัน เพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นจากเดิม 1/3.1" มาเป็น 1/2.55" ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นการเก็บแสงก็จะดีขึ้นไปอีก
แต่น่าเสียดายที่ตัวเลนส์ไม่มีความสามารถ Autofocus มาให้ด้วย เพราะฉะนั้นลูกเล่นอย่าง Macro ระยะใกล้ก็ไม่มีติดมาเช่นกัน เป็นได้แต่เพียงเลนส์มุมกว้างเก็บภาพวิวสวย ๆ ไปเนาะ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากเลนส์ Ultra Wide ของ Galaxy S20 Ultra 5G ในเรื่องของคุณภาพทาง Samsung ยังคงทำได้ดีในเลนส์ตัวนี้ ถึงแม้มุมมองจะไม่กว้างเท่าเก่า แต่พวก Dynamic Range ต่าง ๆ ทำได้สมบูรณ์และเข้ากับตัวซอฟต์แวร์ได้เป็นอย่างดีเลยครับ
Single Take โหมดใหม่ฉลาดจริง ครบทุกอย่างในโหมดเดียว
โหมดใหม่ที่น่าสนใจมาก ๆ บน Galaxy S20 Series รอบนี้ก็คงหนีไม่พ้น Single Take ที่เรากดชัตเตอร์เพียงครั้งเดียว แล้วกล้องก็จะทำการบันทึกไปเรื่อย ๆ เป็นเวลา 3 - 10 วินาที (ขึ้นอยู่กับสถานการณ์) จากนั้น AI จะคำนวณให้เราและทำภาพรวมถึงวิดีโอรวมกันประมาณ 5 - 10 ภาพ ให้เราเลือกใช้งานได้ทีหลัง โดยจะคัดภาพ Best Shot มาให้ 1 ภาพก่อน
ตัวอย่างภาพถ่ายที่ถ่ายจากโหมด Single Take ของ Galaxy S20 Ultra 5G จะเห็นว่าตัวเลือกนั้นมีให้เลือกเพียบเลย ทั้งภาพนิ่งแบบปกติ ภาพนิ่งแบบหน้าชัด-หลังเบลอ ภาพนิ่งที่ใส่ฟิลเตอร์ให้แล้ว, วิดีโอแบบเร็ว ๆ, วิดีโอแบบปกติ และอีกอื่น ๆ ตรงนี้เหมาะสำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่รู้จะถ่ายในสถานการณ์นั้น ๆ ยังไง แต่อยากได้หลากหลายรูปแบบก็กดถ่ายโหมดนี้เลยครับ แล้วก็ค่อยมาเลือกผลลัพธ์เอาทีหลังอีกทีว่าอยากได้ภาพแนวไหน
Live Focus ฉลาดขึ้นมาก
โหมดหน้าชัด-หลังเบลอของ Galaxy S20 Ultra 5G หรือ Live Focus รอบนี้ฉลาดขึ้นมาก มีระยะให้เลือก 2 ช่วงคือ 1x หรือ 2x พร้อมเอฟเฟกต์ละลายฉากหลังได้มากถึง 5 รูปแบบด้วยกัน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Live Focus จาก Galaxy S20 Ultra 5G ถึงแม้ลูกเล่นต่าง ๆ จะเหมือนเดิม แต่การที่มีกล้อง ToF เข้ามาช่วยทำให้การตัดขอบต่าง ๆ เนียนมากขึ้น ตามช่องแขนที่ปกติมักจะโดนหลอกได้ง่าย ๆ และไม่ยอมเบลอให้ รอบนี้ก็เก็บได้ครบหมด แถมตัว Auto HDR ก็ยังใช้งานกับโหมด Live Focus นี้ได้ด้วย ทีนี้ถ่ายภาพย้อนแสงก็ย้อนแสงเถอะ หน้าชัดฉากหลังละลายพร้อมแสงครบถ้วนเลย
กลางคืนใหม่ Bright Night เก่งกว่าเดิมอีก
ส่วนโหมดกลางคืนรอบนี้ใช้ชื่อว่า Bright Night Mode เหมือนเดิม ทฤษฏีในการใช้งานเหมือนกันคือเก็บภาพจากหลาย ๆ สภาพแสงแล้วมาประมวลผลเป็นภาพกลางคืนที่สวยสุด ๆ รอบนี้สามารถลากไปได้ถึง 8 วินาทีเลยทีเดียว และรอบนี้ยังสามารถใช้งานร่วมกับเลนส์ได้ถึง 3 เลนส์เลย Ultra Wide, Wide และ Tele ได้หมด
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Bright Night ของ Galaxy S20 Ultra 5G คุณภาพทำได้ดีขึ้นจริง ๆ มีการทำงานร่วมกับ AI ที่บางจังหวะตอนกดถ่ายภาพเหมือนจะสั่นอยู่บ้าง แต่พอประมวลผลเสร็จตัวภาพที่ได้ สวยคมและจุดที่เราโฟกัสจริง ๆ ก็นิ่ง มีการเล่นเส้นไฟขยับอยู่บ้าง รวม ๆ ทำได้น่าประทับใจมากครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากฟีเจอร์ My Filter ถึงแม้โทนภาพจะไม่ได้เป๊ะแบบ 100% แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้คล้ายคลึงมาก น่าสนใจตรงที่มันทำงานง่ายมาก และปรับโทนออกมาได้สะดวกโดยเก็บไว้ใช้ในครั้งต่อ ๆ ไปได้อีกต่างหาก แต่ถ้าอยากจะเอามาปรับเพิ่มให้กับรูปที่เคยถ่ายไปแล้ว ตรงนี้จะยังทำไม่ได้นะครับ ไม่มีตัวเลือก My Filters ในเมนูตกแต่ง คงต้องรออัปเดตกันต่อไป
กล้องหน้าจัดเต็ม 40MP เลยนะ !
ในส่วนของกล้องหน้าก็จัดเต็มไม่แพ้กัน ให้ความละเอียดสูงสุดมาถึง 40MP จัดเต็มมาก ๆ แต่ในโหมด Auto ทั่วไปก็ใช้กันที่ 12MP ปกติได้ครับ ใช้ทฤษฏีการรวมภาพคล้ายกับกล้องหลังเพื่อความคมชัดในขนาดที่พอเหมาะเนาะ
มีระยะให้เลือกปรับ 2 ระยะเหมือนรุ่นก่อน รอบนี้ฉลาดขึ้นเมื่อมีการตรวจจับใบหน้าของแบบเพิ่มเป็น 2 คนก็จะขยายมุมมองขึ้นมาให้เองเลย มีโหมดใช้งานมาให้ครบครับทั้ง Live Focus, Night Mode รวมถึง Live Focus Video ก็ใช้งานได้ด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Galaxy S20 Ultra 5G
วิดีโอเก็สูงสุดถึง 8K เลยนะ !
จบภาพนิ่งไปแล้วเรียบร้อย มาเข้าสู่เรื่องของวิดีโอกันบ้าง Galaxy S20 Ultra 5G มาพร้อมกับความสามารถในการบันทึกวิดีโอสูงสุดถึง 8K (24fps) ถือว่าเป็นครั้งแรกบนสมาร์ทโฟนเลยที่บันทึกความละเอียดได้ระดับนี้ ซึ่งวิดีโอที่ใหญ่ขนาดนี้มองในมุมการใช้งานทั่วไปอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ทีวีที่รองรับความละเอียดระดับนี้ก็ยังน้อยอยู่ แต่ ! การที่มีมาให้แบบนี้ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ซะทีเดียว
เพราะถ้ามองในมุมการตัดต่อหรือใช้งานร่วมกับการปรับแต่งเพิ่มเติมการมีไฟล์ความละเอียดสูงขนาดนี้ก็ยังช่วยให้เราครอปภาพเข้าไปได้ เลือกเจาะจงในส่วนใดส่วนหนึ่งของวิดีโอเพิ่มเติมได้แบบที่จะไม่เสียรายละเอียดเยอะ ตรงนี้ก็คล้าย ๆ กับภาพนิ่งที่ 108MP ครับ ถ่ายมาเผื่อครอป วิดีโอก็เช่นกัน
ตัวอย่างวิดีโอความละเอียด 8K จาก Galaxy S20 Ultra 5G จะเห็นว่าคุณภาพความคมชัดนั้นดีมาก ๆ คือมันคมไปหมดด้วยความละเอียดที่สูงระดับ 7680 x 4320 พิกเซล ไฟล์ใหญ่ชนิดที่เรียกว่าซูมดูบนมือถือยังไงก็ไม่แตกเลยล่ะ แต่มุมมองจะถูกครอปลงไปกว่าในความละเอียดปกติเยอะ และเฟรมเรตที่ 24fps อาจจะไม่ลื่นไหลเท่าไหร่ ถ้าได้มาสัก 30fps น่าจะลื่นไหลกว่านี้เนาะ สำหรับขนาดไฟล์ก็ใหญ่อยู่นาทีละประมาณ 600MB ได้เลยครับ
Super Steady 2.0 แล้ว มันจะนิ่งอะไรขนาดน้าน
ความละเอียดสูงสุด ๆ แบบนั้นไม่อยากได้เลย อยากได้กันสั่นนิ่ง ๆ มากกว่า ไม่มีปัญหาครับ Galaxy S20 Ultrs 5G มาพร้อมกับฟีเจอร์กันสั่นวิดีโอขั้นเทพอย่าง Super Steady 2.0 อัปเกรดใหม่ที่นิ่งกว่าเดิม เพิ่มกันสั่นมาให้ในระดับ 60 องศา คือถือถ่ายได้นิ่ง ๆ เลยโดยไม่ต้องพึ่งไม้กันสั่น จะวิ่งจะเอียง บิด โยกต่าง ๆ ทำได้สมูทสุด ๆ ไปเลยล่ะ
ตัวอย่างวิดีโอที่ถ่ายด้วย Super Steady 2.0 อย่างที่เห็นว่าวิดีโอนั้นมีความนิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตัวกล้องที่ใช้ยังเป็นเลนส์ Ultra Wide และกล้องหลักทำงานร่วมกันกดสลับช่วงซูมได้ แต่น่าเสียดายที่ความละเอียดสูงสุดยังคงถูกล็อคไว้ที่ 1080p/30fps เท่านั้น ถ้ามากกว่านี้ได้ก็คงจะแจ่มไม่น้อยครับ
Pro Video มาแล้ว
ถ่ายวิดีโอแล้วไม่ถูกใจเลย อยากได้แบบปรับเองมีไหม ? (ไม่รู้ถามใคร 555) แต่มีครับ รอบนี้ Galaxy S20 Series มีเพิ่มโหมด Pro Video เข้ามาแล้ว ให้เราสามารถปรับค่าต่าง ๆ ได้เอง ทั้ง Shutter Speed, ISO, ระบบโฟกัส, โทนสี, รวมถึง White Balance ได้เองด้วย เหมาะสำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากปรับค่าตามสไตล์เราเองมาก ๆ เลย
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
แบตเตอรี่สะใจ เยอะสุดเท่าที่เคยมีมา
สเปคจัดเต็มแบบนี้ มีลูกเล่นให้ลองเพียบ ๆ แบตเป็นไงล่ะ ? เชื่อว่าหลายคนคงถามกันแน่ สำหรับ S20 Ultra 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุเยอะถึง 5000mAh เยอะที่สุดเท่าที่ Samsung เคยให้มาบนสมาร์ทโฟนแล้ว ซึ่งจากการใช้งานจริงก็ถือว่าทำได้ดีครับ อาจจะไม่ได้อึดจริงจังแบบที่คาดหวังไว้ แต่โดยรวมถือว่าทำได้ดีครับ ดึงสายชาร์จออกตั้งแต่ช่วง 8 โมงเช้า ใช้งานถ่ายรูปแบบจริงจัง พออยู่ได้ถึงช่วงเย็น แต่ถ้าใช้งานทั่ว ๆ ไป ก็พอลากได้ถึงช่วงดึกได้สบายครับ
ชาร์จไวดี ช่วยได้เยอะเลย !
แน่นอนว่าใช้งานจริงจังแบตฯก็มีหมดไปบ้าง แต่ระบบชาร์จไวแบบ Super Fast Charge ก็ช่วยได้ดีทีเดียว หัวชาร์จที่ให้มาในกล่องจะแถมเป็น 25W แต่จริง ๆ ตัวเครื่องรองรับสูงสุดถึง 45W เลยนะ อันนั้นต้องซื้อแยกเอาอีกที
ซึ่งจากการใช้งานจริง 25W ที่ให้มาก็เพียงพอแล้ว ชาร์จไวใช้ได้ ไม่ต้องรอนาน ช่วยให้การใช้งานต่อเนื่องนั้นทำได้ดีเลย หรือจะใช้พวกพาวเวอร์แบงค์หรือหุวชาร์จแบบ PD ที่ 30W มาใช้คู่กันก็ขึ้น Super Fast Charge เหมือนกีน อันนี้สะดวกดีไม่กั๊กเทคโนโลยีว่าต้องใช้ของอุปกรณ์ของ Samsung เท่านั้นเนาะ
และยังมีระบบ Wireless PowerShare อยู่เหมือนกันครับชาร์จให้อุปกรณ์ที่รองรับรวมถึงสมาร์ทโฟนที่รองรับชาร์จไร้สายได้ด้วย ก็ดูเป็นประโยชน์ในการชาร์จกับอุปกรณ์เสริมดีนะครับตรงนี้
สรุปให้เลยแล้วกัน !
อ่านมาถึงตรงนี้ก็น่าจะเห็นฟีเจอร์เด่น ๆ ของ S20 Ultra 5G มาอย่างเพียบ ๆ เลย ทั้งสเปคการใช้งานที่ยอดเยี่ยม รองรับ 5G เผื่ออนาคตได้เลย หน้าจอที่อัปเกรดใหม่แบบที่เรียกว่าถูกใจแฟน ๆ ทั้งความลื่นไหลและขอบหน้าจอ กล้องที่ไปไกลอย่างก้าวกระโดดเปลี่ยนทั้งเซ็นเซอร์ยกแผง ความละเอียดสูงสุดตั้ง 108MP มีเพิ่มเลนส์ซูมสุดพลังครั้งแรกของ Samsung ที่พลิกโฉมเรื่องกล้องไปจนหมด ดีจนน่าประทับใจ นอกนั้นก็คงมาตรฐานของ Samsung ไว้ได้ดีมาก จะมีจุดสังเกตที่ไม่ชอบอยู่บ้างก็คงเป็นเรื่องของขนาดโมดูลกล้องที่ใหญ่จนทำให้ดีไซน์มันแปลกตาไปหน่อย รวมถึงเรื่องของหน่วยความจำที่ให้มาน้อยไปนิดแค่ 128GB แต่ยังดีที่เพิ่ม micro-SD ได้อีกเนาะ นอกนั้นก็ครบหมดแบบที่เรือธงต้นปีควรจะมีครับ จอสวย กล้องดี สเปคแจ่ม และรองรับ 5G อีก ใครมองหาเรือธงที่ครบทุกด้านแบบนี้อยู่ Galaxy S20 Ultra 5G คือคำตอบครับ !!
จุดเด่น
- หน้าจอสวยมาก มหึหาจริง ๆ ลื่นไหลด้วย 120Hz
- สเปคตอบโจทย์การใช้งานมาก
- กล้องพัฒนาขึ้นมาก ถ่ายสนุกทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ดี
- รองรับชาร์จไวสูงสุดถึง 45W
- ระบบสแกนลายนิ้วมือเร็วขึ้นแล้ว
- รองรับ 5G
จุดสังเกต
- โมดูลกล้องหลังใหญ่มาก ความหนาขึ้นมาจากตัวเครื่องพอควร
- หน่วยความจำภายในให้มา 128GB แต่เพิ่ม micro-SD ได้สูงสุดถึง 1TB
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite