แกะกล่อง
Review : OnePlus 7T Pro อัปเกรดครั้งนี้ โอ้ย…มันเร็วปรู๊ดปร๊าดไปหมด !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับ OnePlus 7T Pro รุ่นใหม่ล่าสุดที่ออกมาอัปเกรดรุ่นเดิมที่สร้างความฮือฮาให้กับเราตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งรุ่นนี้จะอัปเกรดในเรื่องของสเปคภายในขึ้นจากรุ่นก่อนอีกหน่อย รวมถึงปรับในเรื่องดีไซน์ขึ้นอีกนิดด้วย แต่ความน่าสนใจของรุ่นนี้ทั้งเรื่องหน้าจอสุดลื่นไหล, การใช้งานที่ยอดเยี่ยม และกล้องงาม ๆ ยังคงอยู่ครบหมด จะน่าสนใจแค่ไหน มาอ่านรีวิวฉบับเต็มของเจ้า OnePlus 7T Pro พร้อม ๆ กันเลยดีกว่าครับ !
ราคาเดิม 26,990 บาท !
ก่อนจะไปดูอะไรทั้งหลาย เรามาดูราคากันก่อนเลย OnePlus 7T Pro เปิดราคามาเท่ากับ OnePlus 7 Pro รุ่น 8GB + 256GB เดิมเมื่อต้นปีคือ 26,990 บาท โดยจะมีให้เลือกสีเดียวเลยคือ Haze Blue สีฟ้าผิวสัมผัสด้าน ต่างจากรุ่น 7 Pro เดิมที่รุ่นความจุนี้จะเป็นสี Mirror Grey ครับ
แกะกล่องกันได้แล้ว
มาเริ่มดูที่ตัวกล่องกันก่อนเลย OnePlus 7T Pro มาพร้อมกับกล่องทรงใหม่ เป็นทรงสูง ๆ ยาว ๆ แบบที่เห็นนี้เลย มาพร้อมสีแดงเด่น ๆ ทั้งกล่อง และด้านหน้าก็จะเน้นด้วยคำแนะนำรุ่นนี้แบบจัดเต็ม !
ตรงมุมกล่องจะมีชื่อรุ่นแบบชัด ๆ อีกทีว่า OnePlus 7T Pro อีกที เปิดกล่องมาชั้นแรกก็จะเจอกับชุดคู่มือและคำแนะนำรวมถึงสติกเกอร์ของ OnePlus ที่อยู่ในซองชั้นแรกนี้ด้วย
ยกขึ้นมาก็จะเจอกับตัวเครื่องที่นอนรอเราอยู่ในซองอย่างดี พร้อมกับคำว่า Never Settle ยกถาดชั้นนี้ขึ้นมาจะเจอกับเคสใสและชุดอุปกรณ์เสริมที่แถมมาให้ครับ
เริ่มด้วยเคสใสจะเป็นแบบซิลิโคนที่มีความยืดหยุ่นพอประมาณ ด้านหลังใสโชว์สีตัวเครื่องได้เต็ม ๆ เลย ตัวขอบของเคสจะเป็นสีทึบหน่อยยังโชว์สีตัวเครื่องได้ครบดีเมื่อสวมใส่และเว้นช่องต่าง ๆ ได้ดีทีเดียว
แผ่นสีแดง OnePlus ที่อยู่คู่กับเคสจะเป็นแผ่นที่ใส่ตัวเข็มจิ้มถาดซิมมาให้ด้วย สายชาร์จยังคงเป็น USB Type-C สีขาว-แดงตามสไตล์ของ OnePlus และมีอะแดปเตอร์ Warp Charge 30T ตัวใหม่ที่ภายนอกไม่ต่างจากของรุ่นเก่าเท่าไหร่นักครับ
เบ็ดเสร็จแล้วอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องนี้จะมีด้วยกัน 7 อย่างดังนี้ครับ
- ตัวเครื่อง OnePlus 7T Pro
- เคสใส
- สาย USB Type-C
- อะแดปเตอร์ชาร์จ Warp Charge 30T
- เข็มจิ้มถาดซิม
- คู่มือการใช้งาน
- สติกเกอร์ OnePlus
ดีไซน์
บอดี้หรูเหมือนเดิมะพร้อมสีใหม่ !
มาเริ่มดูตัวเครื่องกันเลย OnePlus 7T Pro จะมาพร้อมกับดีไซน์ทรงเดียวกับ 7 Pro เลย มองเผิน ๆ อาจจะคิดว่าเป็นรุ่นเดียวกันนะนั่น มาพร้อมกับฝาหลังแบบกระจกผิวด้านที่ให้ความรู้สึกเวลาจับถือได้ดี และไม่ค่อยเก็บรอยนิ้วมือด้วย
สีของ OnePlus 7T Pro จะเป็นสีใหม่ Haze Blue ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหมอกในยามเช้า เห็นสีน้ำเงิน ๆ คล้ายกัน แต่ถ้าเอามาเทียบจริง ๆ สีใหม่นี้จะออกโทนสว่างกว่า และมีการเพิ่มสีเขียวอ่อนเข้าไปที่ตัวเครื่องด้วย ทำให้เวลาไล่เฉดสีจะออกฟ้า ๆ มากกว่าน้ำเงินเข้มของ Nebula Blue บน 7 Pro ครับ
อีกจุดที่ทำให้แยกแยะ 7T Pro กับ 7 Pro ออกก็คือตำแหน่งของ Laser Autofocus ที่ย้ายมาอยู่ที่มุมซ้ายข้าง ๆ กรอบเลนส์แทนแล้ว (จากเดิมอยู่ในกรอบเลนส์) ส่วนตัวกล้องก็อยู่ในกรอบทั้งหมด 3 เลนส์เลย เรียงกันเป็นแนวตั้งแบบนี้ส่วนตัวเฮียว่าสวยมาก ๆ เลยล่ะ และตัวไฟแฟลชจะอยู่ถัดลงมาที่ล่างของกรอบเลนส์ครับ
ตรงท้ายเครื่องจะเห็นชัด ๆ ว่ามีสีเขียวอ่อนเพิ่มเข้ามามันดูโทนสว่างกว่าจริง และมีคำว่า OnePlus และเลขโมเดลสกรีนอยู่ตรงนี้ด้วยนะ
หน้าจอ Fluid Display 90Hz นี่มันลื่นจริง ๆ !
พลิกกลับมาดูด้านหน้ากันบ้าง OnePlus 7T Pro ยังคงมาพร้อมกับหน้าจอแบบเต็ม ๆ เช่นเดียวกับรุ่นก่อน มาพร้อมหน้าจอ Fluid Display ขนาดใหญ่ถึง 6.67 นิ้ว เรียกว่าด้านหน้านี่แทบจะเป็นหน้าจอไปหมดแล้ว ตัวจอจะเป็นจอโค้งแบบ 2 ด้าน ทำให้ตัวเครื่องดูมีมิติมากขึ้น
ตัวเครื่องมีหน้าจอใหญ่ถึง 6.67 นิ้วอย่างที่บอก แต่ตัวเครื่องนั้นไม่ถือว่าใหญ่จนเกินมือเลย เพราะด้วยการแสดงผลหน้าจอที่เต็มตาแบบสุด ๆ ชิดขอบทุกด้าน ตัวเครื่องสามารถจับถือในมือได้อย่างสะดวก แต่น้ำหนักที่ให้มาแอบหนักกว่าสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นอื่น ๆ นิดหน่อย อยู่ที่ 206 กรัมเลยล่ะ
ในเรื่องการแสดงผลก็ทำได้สวยงามแบบสุด ๆ ด้วยชนิดหน้าจอแบบ Super Amoled ความละเอียดระดับ QHD+ (2K) ที่ให้สีสันที่สวย คมชัดแบบสุด ๆ และยังคงคิดว่าเป็นหน้าจอที่สวยที่สุดในปีนี้เลยก็ว่าได้ มาพร้อม Refresh Rate 90Hz ลื่น ๆ เหมือนเคย
มาดูที่ตัวหน้าจอใกล้ ๆ จะเห็นว่าเหนือหน้าจอนั้นยิ่งชิดขอบเข้าไปอีก ไม่มีติ่งบนหน้าจอและรูมากวนใจด้วย ลำโพงสนทนาจะซ่อนอยู่ที่ด้านบนตรงนี้ มีความกว้างพอควร ไม่ต้องห่วงเรื่องเสียงเวลาคุณโทรศัพท์เลย ฟังชัดแน่นอน
ส่วนขอบจอด้านล่างจะมีขอบอยู่นิดหน่อย แต่นี่ก็เรียกว่าบางที่สุดแล้วล่ะ บนจอจะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือซ่อนอยู่ด้วย ถ้าเราตั้งค่าเรียบร้อยก็จะโชว์ไอคอนขึ้นมาแบบนี้ล่ะครับ
กล้องหน้า Pop Up เหมือนเดิม
ในส่วนของกล้องหน้าก็จะซ่อนอยู่ในตัวเครื่องเหมือนเดิม เวลาเปิดกล้องหน้าก็จะยกขึ้นมาพร้อมไฟเเอฟเฟกต์บนจอเล็ก ๆ วาบขึ้นมาด้วย ยังคงทนทานเหมือนเคยทาง OnePlus เคลมเองเลยว่าสามารถใช้งานได้กว่า 300,000 ครั้งเลยทีเดียว ใช้สแกนหน้า สลับกล้องก็ไม่ต้องกังวลครับ
ส่วนด้านบนนอกจากกล้องที่ยกขึ้นมาได้แล้ว ยังมีตัวไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนอยู่อีกตัวด้วย
บอดี้จับถือได้ดี เข้ากันทั้งตัว
ขอบเครื่องจะมีความโค้งมนนิด ๆ ให้ได้จับถือได้อย่างเนียนมือมากขึ้น และโค้งรับกับรูปมือเวลาจับถือและกระจกหน้า-หลังที่มาประกบกันได้อย่างดี ทำให้เวลาจับเครื่องแล้วไม่รู้สึกหนาเลย
ปุ่มกดยังอยู่ในมุมมาตรฐานเดิมคือปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงอยู่ด้านซ้ายมือเป็นปุ่มยาว ๆ ส่วนปุ่ม Power จะอยู่ที่ด้านขวามือพร้อมตัว Slider เอาไว้ใช้สลับโหมดเสียงได้ 3 แบบ
ด้านล่างตัวเครื่องจะมีพอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ช่องใส่ซิม, ไมโครโฟนสำหรับสนทนาและลำโพงหลักของตัวเครื่องครับ
ช่องใส่ซิมของ OnePlus 7T Pro จะเป็นแบบ Dual-Slot ใส่ได้ 2 ซิม หน้า-หลังรองรับ 4G ทั้งคู่ด้วย
โดยรวมในเรื่องดีไซน์บอกเลยว่า OnePlus 7T Pro นั้นยังคงทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนเคย ทั้งบอดี้หรูหรา ๆ ทั้งกรอบโลหะและฝาหลังกระจกแบบด้านนี้ เพิ่มเติมคือสีสันเป็นแบบใหม่ ซึ่งส่วนตัวเฮียชอบแบบนี้มากเลย ตอนรอบที่แล้วได้ลองรุ่นสี Mirror Grey แอบไม่ชอบความมันวาวของฝาหลังไปหน่อย พอมาได้ลองจับตัวผิวด้านแบบนี้แล้วรักเลยล่ะ หน้าจอที่เต็มก็เต็มเหมือนเคย นอกนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับรุ่นก่อนมากครับ สมบูรณ์แบบแล้วรุ่นนี้ !
สเปคและฟีเจอร์การใช้งาน
สเปคที่อัปเกรดขึ้นมาอีก
ในส่วนของสเปคจริง ๆ แล้วก็มีการอัปเกดรขึ้นมาจากรุ่นก่อนอยู่ 2 จุดหลัก ๆ คือหน่วยประมวลผลและแบตเตอรี่ครับ โดยรุ่นนี้จะเปลี่ยนมาใช้ Snapdragon 855+ ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อน 15% และแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยจาก 4000mAh มาเป็น 4085mAh พร้อมระบบชาร์จใหม่ Warp Charge 30T ที่เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 23% เลยทีเดียว นอกนั้นก็ยังคงเป็นระดับท็อปสุด ๆ อยู่
สเปค OnePlus 7T Pro
- หน้าจอ Fluid Display 6.67" 90Hz ความละเอียด QHD+
- ซีพียู Snapdragon 855+ Octa-core 2.2GHz
- จีพียู Adreno 640
- แรม 8GB
- ความจุ 256GB (UFS 3.0)
- แบตเตอรี่ 4085mAh
- รองรับระบบชาร์จไว Warp Charge 30T
- กล้องหน้าแบบ Pop Up ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/2.0
- กล้องหลัง 3 ตัว 48 + 16 + 8 ล้านพิกเซล
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- รองรับระบบสแกนใบหน้า
- รัน Android 10 ครอบด้วย OxygenOS 10
- ขนาดตัวเครื่อง 162.6 x 75.9 x 8.8 มม.
- น้ำหนัก 206 กรัม
- วางจำหน่ายสีเดียว Haze Blue
- ราคา 26,990 บาท
อีกอย่างที่ต่างจากรุ่น 7 Pro เดิมก็คือรุ่น 7T Pro นี้จะมีให้เลือกความจุเดียวคือ 8GB + 256GB เท่านั้น ไม่มีรุ่นความจุสูงกว่านี้ให้เลือกแล้ว เพราะตัวเลือกแรม 12GB นั้นจะถูกใส่ไว้กับรุ่นพิเศษ 7T Pro McLaren Edition เท่านั้นครับ แต่สเปคนี้ก็เรียกว่าท็อปสุด ๆ แล้วล่ะ
รัน Android 10 มาเลยจากในกล่อง !
มีฮาร์ดแวร์ที่ดีแล้ว ซอฟต์แวร์ภายในยังขับเคลื่อนได้ดีไม่แพ้กัน OnePlus 7T Pro นั้นถือเป็นรุ่นแรกในไทยที่มาพร้อมกับ Android 10 ตั้งแต่แกะกล่องเลย โดยจะครอบทับมาด้วย OxygenOS 10 ตัวใหม่ล่าสุดด้วยเช่นกัน ทำงานได้ลื่นไหลมาก ๆ ตอบสนองกับหน้าจอ Refresh Rate 90Hz ได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ
แน่นอนว่าเป็นรุ่นใหม่มาแบบนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ของมือถือยุคนี้ก็คือ Dark Mode หรือโหมดมืด บน OxygenOS 10 นี้ก็มีมาให้เลือกตั้งค่าด้วย และแน่นอนในรีวิวนี้เราเปิดเป็น Dark Tone ทั้งหมด ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมพวกไอคอนต่าง ๆ รวมถึง Widget Google ที่หน้าหลักถึงเป็นเปลี่ยนสีดำเนาะ
ตั้งค่า Dark Tone ได้ที่ Settings > Customisation > Tone > Dark Tone
หน้าตา UI ยังคงมาในสไตล์เรียบ ๆ แบบ OxygenOS มีตัวเลือกไอคอนให้ปรับแต่งนิดหน่อย ถ้าไม่ชอบความเรียบแบบเดิม ๆ ที่มีให้มา ค่าเริ่มต้นมีให้เลือก 3 แบบคือ OnePlus (ดั่งเดิม), Round และ Square ครับ แต่ถ้ายังไม่พอจริง ๆ ไปหาโหลดเพิ่มได้จาก Play Store เลยครับ
ตั้งค่าได้ใน Settings > Customisation > Icon Pack ครับ
มีหน้ารวมแอปนะ
ในค่าเริ่มต้นของ OnePlus 7T Pro นี้จะมาพร้อมกับหน้ารวมแอปหรือ App Drawer เลยตั้งแต่ต้น ทำให้ทุกแอปที่ลงมาจะโผล่ในนี้และไม่ไปกวนในหน้าจอหลัก ทำให้เราแบ่งแอปที่ใช้งานบ่อย ๆ กับแอปทั้งหมดได้ง่ายขึ้น ใช้งานโดยการรูดหน้าจอจากด้านล่างขึ้นไปแค่นั้นเอง
ควบคุมด้วย Gestures เต็มรูปแบบไปเลย
ในค่าเริ่มต้นของ OnePlus 7T Pro นั้นจะเลือกรูปแบบการควบคุมมาเป็นแบบ Navigation Gestures มาเลย ก็ตามสไตล์ Android 10 ล่ะเนอะ ตัวปุ่ม 3 ปุ่มด้านล่างจะหายไป ก็ประหยัดพื้นที่ดี เหลือเพียงแถบด้านล่างอยู่เส้นหนึ่งบาง ๆ เท่านั้น
ซึ่งเท่าที่ลองใช้มาจริงจัง ๆ ก็ใช้งานได้ง่ายดี แถมลื่นไหลมาก ๆ ด้วย จะย้อนกลับก็ใช้การเลื่อนจากมุมจอเอา ได้ทั้งซ้ายและขวา หรือจะสลับแอปก็ใช้การเลื่อนที่แถบด้านล่างโยกไปซ้าย-ขวาสะดวกดี แถมพอมาอยู่บนจอ 90Hz แบบนี้มันก็ยิ่งดู Flow ไปหมดอีก แต่ถ้าใครไม่ถนัดจริง ๆ ทาง OnePlus ก็ไม่ใจร้ายมีให้เลือกปรับเป็นแบบ 3 ปุ่มเหมือนเดิมอยู่นะ
ตั้งค่าได้ที่ Settings > Button & Gestures > Navigation Bar & Gestures
หน้าจอ Amoled แบบนี้ ก็ควรมี Always On Display ด้วยเนอะ เราสามารถแตะหน้าจอหนึ่งครั้งเพื่อดูนาฬิกาหรือไอคอนการแจ้งเตือนได้ทันที และเวลามีการแจ้งเตือนเข้ามาตัวจอจะมีไฟติดวาบอยู่ที่มุมจอด้วย สวยมาก ๆ
ปรับโหมดเสียงได้จากปุ่มด้านข้างเลย ง่ายดีนะ
Alert Slider ควบคุมโหมดเสียงได้จากมุมขวานี้เลย อีกจุดที่ทาง OnePlus ใส่มาให้ตลอดและดีด้วยก็คือปุ่มควบคุมโหมดเสียง ที่ด้านข้างนี้ ช่วยให้เราสลับโหมดเสียง, สั่น รวมไปถึงเงียบได้ง่ายเพียงแค่เลื่อนตรงนี้ ส่วนตัวคิดว่าสะดวกดีไม่ต้องมาคอยกดปุ่มลดเสียงค้าง หรือกดที่ Profile ด้านบนหน้าจอเนาะ
สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ เร็วอย่าบอกใครเลย !
มาต่อในเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย OnePlus 7T Pro ได้ระบบสแกนลายนิ้วมือและระบบสแกนใบหน้ามาให้แบบเดียวกันรุ่นก่อน มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่บนหน้าจอตามที่รุ่นเรือธงควรมี ซ่อนอยู่บนหน้าจอแบบนี้เลย เวลาแตะจอก็จะโชว์ขึ้นมาเด่น ๆ
ความเร็วในการสแกนนิ้วยังคงรวดเร็วเหมือนเคย ด้วยความเร็วเพียง 0.21 วินาทีเท่านั้น เรียกว่าแตะปุ๊บก็ติดปั๊บเลย พร้อมอนิเมชั่นสวย ๆ วาบขึ้นมาเวลาแตะ ซึ่งจริง ๆ มองได้แป๊บเดียวเพราะยังไม่ทันได้สังเกตก็เข้าหน้าหลักไปแล้วล่ะครับ
ส่วนระบบสแกนใบหน้าก็ทำได้เร็วไม่แพ้กัน เวลาสแกนใบหน้าก็จะยกกล้อง Pop Up ขึ้นมา ฟึ่บ ! แล้วสแกนเสร็จก็หุบลงทันที ทำงานได้เร็วมาก เรียกว่าแทบไม่ทันสังเกตเลยว่ากล้องยกขึ้นมาแล้ว แจ่ม ๆ
หน้าจอ ระบบเสียง เล่นเกม
จอ Fluid Display 90Hz ลื่นแบบที่คุณจะต้องทึ่ง !
มาเข้าสู่เรื่องไฮไลท์หลักของ OnePlus 7T Pro อย่างเรื่องหน้าจอในการใช้งานกันเลย ตามรอยรุ่นที่แล้วมาอย่างครบถ้วน หน้าจอ Fluid Display ที่นำเสนอในเรื่องของหน้าจอออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ นอกจากเรื่องความลื่นไหลของหน้าจอที่เรารู้กันดีว่า 90Hz นี่ปรื๊ด ๆ แค่ไหนแล้ว การที่จอนั้นแสดงผลได้ชิดขอบแบบนี้มันยิ่ง Amazing จริง ๆ ให้ตายเถอะ
ความลื่นไหลแบบ 90Hz นี้ต้องบอกเลยว่าเวลาสัมผัสหรือไถฟีดต่าง ๆ นั้นเห็นผลได้ชัดเจนเลยทีเดียวว่ามันลื่นกว่าจอ 60Hz ของรุ่นทั่ว ๆ ไปแบบเห็นได้ชัด ทั้งการตอบสนองที่ดีและความไวแบบติดนิ้วนี้หาได้ยากจริง ๆ เท่าที่ลองใช้งานมากกว่า 1 สัปดาห์จนชิน พอกลับไปใช้รุ่นที่เป็นจอ 60Hz นี่รู้สึกเลยว่าทำไมจอมันหน่วง ๆ ต้องใช้เวลาปรับตัวกันพอสมควรเลย
จอสวยดูคอนเทนต์ฟิน !
ยัง ยังไม่จบขอชมเรื่องหน้าจอกันอีกสักที ถึงแม้ว่าหน้าจอของ 7T Pro จะเหมือนกับตอน 7 Pro เลยก็จริง แต่ทุกครั้งที่ได้หยิบมาดูหนังหรือวิดีโอความละเอียดสูง ๆ นี่ต้องยอมรับทุกครั้งว่าตกตะลังในความงามของตัวจอจริง ๆ มันสวยงามและสีสันคมชัดจริง ๆ ด้วยความละเอียดที่สูงระดับ QHD+ นี่ด้วย หาได้ยากบนสมาร์ทโฟนยุคนี้ ส่วนใหญ่ก็จะสุดแค่ FHD+ กันน่ะเนาะ
นอกจากนี้ตัวหน้าจอยังรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ พร้อมความสว่างสูงสุดที่ 1000nits อีกด้วย เรียกว่าจอดีแล้วยังรองรับมาตรฐานความคมชัดและสีสันที่มากอีกด้วย อะไรมันจะครบขนาดนี้ เอามาดูไฟล์วิดีโอแบบ HDR นี่ฟินมาก ๆ สว่างกว่ารายละเอียดมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ระบบเสียงก็ Dolby Atmos อะไรจะครบขนาดนี้ !
นอกจากเรื่องของจอที่ดีแล้ว ในส่วนของระบบเสียงก็ไม่น้อยหน้า 7T Pro ให้ลำโพงคู่ Stereo เช่นเดียวกับรุ่นก่อน อย่างที่เคยชมไปว่าเสียงที่ได้จากลำโพงนั้น ดีมาก !! ความดังนี่ใช้ได้เลย รุ่นนี้ยังคงทำให้ประทับใจไม่เปลี่ยนเลย
และยังรองรับระบบเสียง Dolby Atmos เหมือนกัน เสียงที่ออกมานั้นต้องบอกว่ารอบทิศไปเลย เวลาใช้ดูหนังนี่ก็เหมือนมีโรงหนังส่วนตัวอยู่ในมือเลยล่ะ มิติของเสียงดีจริง ๆ แถมวางตำแหน่งของลำโพงให้เหมาะกับการจับถือได้ดีจริง ๆ
ส่วนการทำงานผ่านหูฟัง อันนี้ก็ต้องยอมใช้หูฟังที่เป็น USB Type-C หรือแบบไร้สายไปแทนเนาะ เพราะรุ่นนี้ไม่มีช่องหูฟังแบบ 3.5 มม.มาแล้ว แต่ก็นะ ยุคนี้ใคร ๆ ก็ไปใช้แบบดิจิทัลกันซะส่วนมากแล้ว คิดว่าไม่น่าใช้ปัญหาใหญ่อะไร
หน่วยประมวลผลที่อัปเกรดขึ้น คะแนนแรงขึ้นแค่ไหน
มาต่อในเรื่องของประสิทธิภาพการใช้งาน อย่างที่บอกไป 7T Pro มีจุดหลัก ๆ ที่อัปเกรดขึ้นกว่า 7 Pro ก็ตรงหน่วยประมวลผลนี่แหละ เปลี่ยนมาใช้เป็น Snapdragon 855+ แทนที่ 855 เดิม ประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิมอีก 15% ซึ่งจากผลการทดสอบผ่านแอป AnTuTu Bechmark V7 ก็สูงขึ้นจริง คะแนนไปถึง 392104 คะแนนเลยล่ะ
แรงขึ้นแล้ว มาลองเล่นเกมกันเลย
คะแนนก็ส่วนคะแนนเนอะ เล่นเกมนี่สิของจริง ในส่วนของประสิทธิภาพที่ให้มานั้นคงไม่ต้องแล้วเนอะ แค่ Snapdragon 855 เดิมก็เร็วจนหายห่วงแล้ว พอมาเป็น 855+ แบบนี้ยิ่งสบายใจเข้าไปใหญ่ แถมได้หน้าจอแบบ 90Hz มาอีกเล่นเกมนี่ฟินแน่นอน รอบนี้มีแอป Game Space เข้ามารวมแอปเกมที่อยู่ในเครื่องของเราพร้อมเก็บค่าการเล่นต่าง ๆ ไว้ในนั้นพร้อม
ยังคงมี Fnatic Mode สุดยอด Gaming Mode ที่เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมของเรา รวมทั้งระบบเน็ตเวิร์คให้เล่นเกมออนไลน์ได้อย่างเสถียรมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย ตรงนี้เปิดเกมมาก็จะรู้สึกถึงพลังที่เอ่อล้นออกมาจากโหมดนี้ได้เลย (ไม่ได้โม้นะ :P)
เกมที่เราจะมาทดสอบในรอบนี้ก็คือ 2 เกมฮิตตอนนี้กับ Asphalt 9 และ Call of Duty นั่นเอง
สำหรับ Asphalt 9 ก็รองรับการแสดงผลที่ 90Hz เรียบร้อย เราสามารถเล่นได้อย่างลื่น ๆ แบบที่ตัวหน้าจอแสดงผลได้เต็ม ๆ เลย กราฟิกในเกมก็เลือกได้ที่ระดับสูงสุดแล้ว เอฟเฟกต์ แสงต่าง ๆ ทำได้ครบถ้วนมาก ๆ
ได้หน้าจอเต็มแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งช่วยให้การเล่นเกมแข่งรถที่มีฉากกว้าง ๆ นั้นจัดเต็มเข้าไปใหญ่เลย เวลาเบียดเวลาแซงนี่มันเต็มตาซะไม่มีล่ะ ให้ตายสิ !
Call of Duty ก็เป็นอีกเกมที่รองรับหน้าจอแบบ 90Hz เพราะตัวเฟรมเรตที่มีให้เลือกนั้นปรับได้สูงสุดถึง Max เลยทีเดียว ส่วนกราฟิกก็สูงสุดที่ Very High เปิดได้ทุกตัวเลือกที่มี เรียกว่านี่แหละรุ่นที่รองรับทุกอย่างของ Call of Duty อย่างแท้ทรูครับ !
สเปคระดับนี้การโหลดเข้าฉากต่าง ๆ ก็ทำได้รวดเร็ว เฟรมเรตในเกมนั้นต้องยอมเลยครับ ทำได้นิ่งมาก ๆ แถมเล่นบนจอแบบ 90Hz นี้อีก คือมันเรียกว่าลื่นไหล ตอบสนองได้ดีมาก ๆ ยิ่งเป็นเกมแนว FPS ที่ต้องการการหันไปมาที่รวดเร็วแบบนี้ OnePlus 7T Pro ก็เอาอยู่ครับ
แถมได้ระบบลำโพงคู่แบบ Stereo มาอีก ช่วยให้ได้ยิงเสียงของกระสุนหรือระเบิดได้อย่างรอบทิศทาง รู้เลยว่าศัตรูกำลังเข้ามาประชิดรึเปล่าหรือสาดกระสุนกันอยู่ทางไหน ยอดเยี่ยมมาก ๆ ครับ
กล้อง
กล้องหลัง 3 ตัวช่วงดีมุมกว้างไปจนถึงซูม 3x
กล้องของ OnePlus 7 Pro เดิมถือว่าทำมาตรฐานไว้ได้ดีมาก ทั้งระยะเลนส์ที่มีตั้งแต่กว้างไปจนถึงซูม 3x ทำให้รอบนี้ไม่จำเป็นต้องอัปเกรดอะไรเพิ่มเลย แค่ย้ายตำแหน่งของ Laser Autofocus มาไว้นอกกรอบเลนส์เท่านั้น สำหรับสเปคกล้อง 3 ตัวของ OnePlus 7T Pro ก็จะมีดังนี้ครั
- กล้อง Ultra Wide Angle - 16 ล้านพิกเซล f/2.2 มุมกว้าง 117 องศา
- กล้องหลัก - 48 ล้านพิกเซล f / 1.6 OIS
- กล้อง Tele 3x - 8 ล้านพิกเซล f / 2.4 OIS
เรียกว่าเหมาะสำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากได้ภาพมุมกว้างออกมาหน่อย หรือเข้าไปใกล้อีกนิดจริง ๆ เพราะช่วงตั้งแต่ 0.6x ไปจนถึง 3x นี่คือครอบคลุมการใช้งานทั่วไปได้อย่างดีเลยล่ะ
UI การใช้งานสลับกล้องทำได้ง่ายเหมือนเคย มีไอคอนรูปต้นไม้ 3 แบบอยู่ก็แค่กดเลือกหรือเลื่อนตรงไอคอนนั่นก็ได้ ตัวเลนส์จะสลับกันได้ทันที
มีโหมด Super Macro ใหม่เพิ่มเข้ามา เราสามารถใช้ได้หลายช่วงเลยตั้งแต่ 2x ไปจนถึง 0.6x ซึ่งจริง ๆ ตัวกล้องหลักที่ใช้ถ่ายโหมดนี้จะเป็น Ultra Wide Angle ทั้งหมด แต่มีการครอปและประมวลผลเพิ่มถ้าใช้ในช่วงอื่น ๆ เราสามารถเข้าใกล้วัตถุได้มากถึง 2.5 ซม. ช่วยให้ถ่ายอะไรในมุมใกล้ ๆ ได้อย่างดีเลยทีเดียว จะซูมเข้าไปก็ได้ถ้าไม่อยากเข้าไปใกล้จริง ๆ แต่อยากเก็บรายละเอียดแบบชัด ๆ น่ะเนาะ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ OnePlus 7T Pro เห็นได้ชัดเลยว่าช่วงที่มีให้เลือกเยอะ ๆ นี่ช่วยให้ได้มุมมองหลายแบบดีจริง ๆ และจบในเครื่องเดียว เพราะสามารถสลับได้ทันที สะดวกดีทีเดียว สวยไฟล์ภาพที่ได้ก็ถือว่าทำได้ดีครับ โทนของภาพจะติดอมเหลืองหน่อย ๆ และมีคอนทราสที่จัดภาพค่อนข้างออกคมเข้มครับ
โหมด Portrait ถ่ายดีมี 2 ระยะให้เลือก
ในส่วนของโหมดภาพบุคคลหรือ Portrait บน OnePlus 7T Pro นั้น เราสามารถเลือกใช้ได้ 2 ระยะคือระยะปกติแบบ 1x และระยะซูม (ประมาณ 2.3x) ซึ่งช่วยให้ภาพดูมิติมากขึ้นในช่วงที่ใช้ด้วย เพราะปกติถ้าใช้ช่วง 1x ถ่ายแบบครึ่งตัวภาพที่ได้อาจจะผิดเพี้ยนไปหน่อยด้วยช่วงเลนส์ แต่ถ้าใช้ซูมก็จะเข้าใกล้ไปอีกหน่อย แต่ได้สัดส่วนที่แม่นยำเหมาะสำหรับ Portrait มากกว่า
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait ของ OnePlus 7T Pro จะเห็นว่าในโหมด Portrait นั้นทำได้ดีทีเดียว ด้วยช่วงเลนส์ที่ซูมเข้าไปในมุมที่พอดี แถมตัวสกินโทนก็สวยและดูผ่องดี เนียนตาแม้ไม่ได้เปิด Beauty Effect การตัดขอบต่าง ๆ ก็ทำได้เนียนกำลังดีครับ มีโบเก้แถมมาให้เบา ๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถปรับระดับความเบลอได้เอง
Nightscape กลางคืนกว้างกว่าที่เคย !
โหมดถ่ายภาพกลางคืนหรือ Nightscape ก็มีการอัปเกรดขึ้นมาอีกขั้น ด้วยตัวซอฟต์แวร์ที่ให่เราใช้งานเลนส์ Ultra Wide Angle ได้แล้ว เก็บแสงน้อยได้ดีอยู่แล้วในช่วงปกติ พอได้มุมกว้างมาเพิ่มอีก ยิ่งเพิ่มความสวยงามของเวลากลางคืนได้อีก ตัวโหมดใหม่นี้ยังทำงานได้รวดเร็วขึ้น และใช้เทคนิคการรวมภาพในเวลาราว ๆ 3 - 4 วินาที หลักการเดิมเพิ่มเติมคือช่วงเลนส์ที่ใช้ได้นี่แหละครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Nightscape จะเห็นว่าคุณภาพยังยอดเยี่ยมเหมือนเคย เราไม่จำเป็นต้องมีขาตั้งกล้อง แค่ถือมือถือไว้นิ่ง ๆ จากนั้นปล่อยให้กล้องจับภาพและประมวลผลก็ได้ภาพกลางคืนสวย ๆ แบบนี้แล้ว ความ Ultra Wide Angle ที่เพิ่มเข้ามาก็ช่วยให้ได้มุมกลางคืนที่ดียิ่งขึ้นด้วย โดยรวมชอบมาก ๆ เลย
บันทึกวิดีโอได้สูงสุดระดับ 4K/60fps เลยนะ
ในส่วนของการบันทึกวิดีโอรุ่นนี้ก็ทำได้สูงสุดที่ 4K/60fps เช่นเคย คุณภาพดีมาก ๆ ถ่ายมาดูบนหน้าจอ 90Hz นี่เนียนตาสุด ๆ ตัวเลนส์ที่ให้มา 3 ตัวนั้นเราสามารถใช้กับวิดีโอได้ด้วย ทั้ง Ultra Wide Angle และ Tele 3x แต่น่าเสียดายที่ใช้ได้กับบนความละเอียด 1080p/30fps เท่านั้น แบบ 4K หรือ 60fps จะใช้ได้แค่เลนส์ตัวหลักเท่านั้นครับ
มีกันสั่นขั้นเทพด้วยเหมือนกัน
นอกจากนี้ตัว 7T Pro ยังมีโหมด Super Steady ที่จะมาช่วยให้การถ่ายวิดีโอระดับกันสั่นเทพติดมาด้วย โดยโหมดนี้ก็จะใช้ตัวเลนส์ Ultra Wide Angle ร่วมกับ OIS และ EIS ในเครื่องช่วยกันทำงานให้ได้ภาพที่นิ่งแบบสุด ๆ แต่น่าเสียดายจำกัดความละเอียดอยู่ที่ 1080p/30fps อีกแล้ว
กล้องหน้า Pop Up เซลฟี่สวย
กล้องหน้าที่ถูกซ่อนอยู่ในเครื่องเวลาจะใช้งานก็จะมีการยกขึ้นมาอีกที ความละเอียดอยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล เรียกว่าเพียงพอต่อการเซลฟี่ได้เป็นอย่างดี กลไกกล้องแบบนี้ก็ดูล้ำไปอีกแบบ แถมการทำงานก็รวดเร็วดีครับ มีโหมด Portrait เพิ่มความเนียนและหลังละลายได้ด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ OnePlus 7T Pro
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
แบตเตอรี่อึดมากนะรุ่นนี้
มาต่อกันในเรื่องของแบตเตอรี่ OnePlus 7T Pro มีการเพิ่มความจุแบตฯขึ้นมาจากรุ่นเดิมอีกหน่อย จากเดิม 4000mAh มาเป็น 4085mAh (หน่อยจริง ๆ) แต่จากที่ทดลองใช้งานมากว่า 1 สัปดาห์แอบรู้สึกว่าแบตฯมันอึดขึ้นกว่าตอน 7 Pro อยู่ประมาณหนึ่งเลยทีเดียว ใช้งานได้ตลอดทั้งวันสบาย ๆ และถ้าใช้งานไม่หนักก็ไปถึงวันครั้ง - 2 วันได้เลย ตรงนี้น่าจะมาจากตัว Oxygen OS 10 ด้วยที่ช่วยจัดการแบตฯได้ดีขั้นน่ะเนอะ
รองรับชาร์จไว Warp Charge 30T นะ เร็วขึ้น !
นอกจากแบตฯจะเพิ่มขึ้นมาแล้ว (ถึงจะนิดเดียวก็เถอะ) ยังมีเรื่องของระบบชาร์จที่อัปเกรดขึ้นมาใหม่เป็น Warp Charge 30T อีกต่างหาก ภายนอกเราไม่รู้เลยว่ามันต่างจากของเก่ายังไง เพราะเสียบชาร์จไปก็ขึ้นว่า Warp Charge เหมือนกัน ตัวอะแดปเตอร์ที่ให้มาก็สกรีนว่า Warp Charge 30 แต่ทาง OnePlus เขาก็เคลมว่าชาร์จได้เร็วกว่าเดิม 23% เลยนะ
เท่าที่ลองใช้มาก็รู้สึกว่าเร็วขึ้นอยู่ แต่แบบเดิมมันก็เร็วอยู่แล้วอะเนอะ ก็ช่วยให้การชาร์จนั้นไวขึ้นและไม่ต้องมานั่งเสียเวลารอการชาร์จนาน ๆ แล้ว เหมาะสำหรับเพื่อน ๆ ที่รีบใช้งานแล้วมีเวลาจำกัดตัวนี้ก็เสียบไปปรู๊ดเดียวก็ได้กลับมาเยอะแล้วล่ะ
สรุปแล้วน่าใช้แค่ไหน !?
ก็ยังคงมาตรฐานไว้ได้ดีมาก ๆ สำหรับ OnePlus 7T Pro ตัวนี้ ด้วยจุดเด่นในเรื่องความเร็วทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอที่เร็วลื่นไหล ปรู๊ดปร๊าด ชิปเซ็ตเร็วแรงสุด ๆ รวมถึงแบตเตอรี่ที่อึดและชาร์จเข้าได้เร็วไม่แพ้คู่แข่งเลย เอาจริง ๆ แค่นี้ก็น่าจะตอบโจทย์เพื่อน ๆ ที่กำลังหามือถือเรือธงสุดครบเครื่องสักเครื่องได้แล้วนะ แต่นี่ยังมีเรื่องของกล้องที่ใช้งานได้ดีมาก ๆ อีก ได้หลายมุมมองในเครื่องเดียวเลย อะไรมันจะครบขนาดนั้นเนอะ เอาเป็นว่าถ้าให้สรุปก็คงต้องยกให้เป็นมือถืออีกรุ่นที่น่าใช้มาก ด้วยราคาค่าตัวที่เปิดมา 26,990 นี้ด้วยแล้ว หาคู่แข่งใกล้เคียงได้ยากเลยล่ะ
ส่วนถ้าใช้ 7 Pro อยู่ควรอัปเกรดมาตัวนี้ไหม ในมุมเฮียคิดว่าไม่ควรอัปเกรดเท่าไหร่ เพราะส่วนที่อัปเกรดขึ้นมานั้นยังพอที่จะใช้งานต่อได้ในรุ่นเดิม เพราะหลัก ๆ เป็นที่ตัวซอฟต์แวร์มากกว่า เชื่อว่าพอได้อัปเป็น OxygenOS 10 เหมือนกันความสามารถก็จะตามกันทัน นอกเสียจากจะใช้รุ่นความจุ 8GB + 256GB อยู่แล้วอยากได้บอดี้แบบผิวด้านและสี Haze Blue นี้ เพราะถ้าใช้ตัวสี Nebula Blue เดิมอยู่ ไม่ควรเปลี่ยนมาใช้ตัวนี้อย่างยิ่งเพราะรุ่นนั้นได้แรม 12GB ในขณะที่ 7T Pro จะมีแรมเพียง 8GB เท่านั้น ถ้าอยากอัปเกรดจริง ๆ แนะนำไปที่ตัว McLaren Edition เลยน่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงแบบจริงจัง ๆ เนอะ :D
จุดเด่น
- หน้าจอ Fluid Display 90Hz นี่ัมันลื่นจริง ๆ
- ฝาหลังผิวสัมผัสด้านสวยและน่าสัมผัส
- ลำโพงคู่เสียงดีและมีมิติมาก
- สเปคเร็วแรงจัดเต็ม
- กล้องหลังยังคงยอดเยี่ยม
- แบตเตอรี่อึดขึ้น พร้อมระบบชาร์จใหม่ที่เร็วกว่าเดิม
- Oxygen OS 10 ทำงานได้ลื่นไหลมาก ๆ อัปเดตไว
จุดสังเกต
- ไม่สามารถเพิ่ม micro-SD ได้ (แต่ในเครื่องให้มาถึง 256GB แล้ว)
- แตกต่างจากรุ่น 7 Pro น้อยไปหน่อย
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite