ดีไซน์
Review : Samsung Galaxy A80 มือถือ Galaxy ที่สวยที่สุด
พร้อมนวัตกรรมกลไกกล้องหมุนได้ 3 ตัวครั้งแรกของโลก !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับสมาร์ทโฟนสุดยอดนวัตกรรมรุ่นล่าสุดของ Samsung กับ Galaxy A80 นั่นเอง อย่างที่ทราบกันดีว่ารุ่นนี้มาพร้อมจุดเด่นในเรื่องของกล้องหมุนได้ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของ Samsung ที่เลือกใส่เทคโนโลยีแบบนี้เข้ามาบนรุ่นกลางอย่างตระกูล A เลยก็ว่าได้ แต่นอกจากเรื่องกล้องแล้ว ก็ยังมีอีกหลายจุดที่น่าสนใจมาก ๆ บนรุ่นนี้ ในรีวิวจะมาสรุปให้อ่านกันว่าตรงไหนบ้างที่เราชอบและยังไม่ค่อยถูกใจกับ Galaxy A80 นี้ มามะ มาเริ่มกันเลย ! :D
แกะกล่องกันต่อเลยดีกว่า !
มาเริ่มกันที่อุปกรณ์ภายในกล่องกันก่อนเนอะว่าให้อะไรมาบ้าง ตัวกล่องรอบนี้ยังคงสไตล์ของ Galaxy A ไว้ได้อย่างดี ด้านหน้ามีชื่อรุ่นเด่น ๆ พร้อมภาพประกอบตัวเครื่องที่สีตรงกับเครื่องด้านในมาให้เลย ไม่ต้องกลัวซื้อผิดสีผิดรุ่นแน่นอน ซึ่งสีที่เราได้มารีวิวนี้ก็แน่นอน Angel Gold เนาะ
อุปกรณ์ภายในกล่องก็ให้มาแบบพอดีและพร้อมใช้งานเลย มีด้วยกัน 7 อย่างดังนี้ครับ
- ตัวเครื่อง Galaxy A80
- เคส
- คู่มือการใช้งาน
- เข็มจิ้มถาดซิม
- สาย USB Type-C to C
- อแดปเตอร์ชาร์จ (25W)
- หูฟัง (Type-C)
ตัวเคสที่ให้มาก็จะมีสีสันตรงกับตัวเครื่องที่ได้มาในที่นี้ก็จะเป็นสีชมพูนั่นเองครับ เวลาประกบเข้ากับตัวเครื่องก็จะเว้นช่องพอร์ตและด้านบนไว้พอดีครับ ไม่ต้องกลัวเรื่องกลไกการยกว่าจะติดขัดเนาะ
สายชาร์จรอบนี้รองรับ PD (25W) แล้ว เลยใช้เป็นแบบ USB Type-C to C แทน ตัวอแดปเตอร์ก็เป็นแบบ Type-C เช่นกัน ตรงนี้ทาง Samsung ใช้ชื่อเรียกว่า Super Fast Charge กันไปเลย
ดีไซน์โฉมใหม่หมด สวยสุดของ Samsung !
มาเข้าเรื่องของเราได้แล้ว ตัวเครื่อง Galaxy A80 นี้ต้องบอกเลยว่าปรับโฉมใหม่หมด เป็นหน้าตาที่เราไม่เคยเห็นบน Galaxy รุ่นไหนมาก่อนเลยก็ว่าได้ ทั้งหน้าจอแบบใหม่ New Infinity Display จอเต็มที่สุดเท่าที่ Samsung เคยทำมาพร้อมขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว ไร้ติ่ง ไร้รูบนหน้าจอเลย ด้านหน้านี้เป็นหน้าจอทั้งหมด
ขอบหน้าจอก็บางเฉียบจนแทบจะเรียกว่าชิดขอบไปเลยก็ว่าได้ ชนิดหน้าจอของรุ่นนี้ยังคงเป็น Super Amoled ที่ทาง Samsung ถนัด ในความละเอียดระดับ FHD+ แสดงผลได้สวยงาม สีสันจัดจ้านใช้ได้เลย แถมตัวหน้าจอยังเป็นแบบ 2.5D หรือจอแบนไม่โค้ง ตรงนี้หลายคนอาจจะชอบมากกว่าด้วย ตรงนี้เด็ดมาก ๆ
อัตราส่วนหน้าจอของรุ่นนี้จะยาวขึ้นกว่ารุ่นก่อนอีกหน่อยเป็น 20:9 ทำให้ตัวเครื่องดูไม่ได้ใหญ่ออกข้างจนเกินไป เพราะเน้นยาวมากกว่า ด้วยหน้าจอระดับนี้ แต่พอจับถือในมือก็ไม่ได้รู้สึกว่าใหญ่เทอะทะเกินไปนะ คงอัตราส่วนไว้ได้ดีเลย
อย่างที่บอกว่าหน้าจอรุ่นนี้เต็มมาก เหนือหน้าจอก็เลยไม่มีอะไรโผล่ออกมาเป็นส่วนเกินเลย แม้กระทั่งช่องลำโพงสนทนา (Earpiece) รุ่นนี้ก็ไม่มีด้วย เวลาคุยโทรศัพท์ก็จะใช้ระบบ On Screen Sound หรือใช้การสั่นสะเทือนของตัวหน้าจอเพื่อสร้างเสียงแทน
ขอบหน้าจอด้านล่างก็เหลือไว้นิดเดียวจริง ๆ เรียกว่าบางสุด ๆ เท่าที่เคยเห็นมาเลยล่ะ
วัสดุงานประกอบของรุ่นนี้จะใช้เป็นกระจกและกรอบโลหะที่ช่วยเพิ่มความหรูหราในงานประกอบได้อย่างดี ตัวกระจกด้านหลังจะเป็นกระจกโค้งแบบ 3D ช่วยรับรูปมือเราเวลาจับถือได้ดีเลยล่ะ แถมยังใช้กระจกแบบ Gorilla Glass 6 เข้ามาช่วยเพิ่มความแข็งแรงทั้งการตกกระแทกหรือรอยขีดข่วนด้วย หลายคนที่กลัวว่าฝาหลังแบบนี้จะเป็นรอยง่าย รุ่นนี้หายห่วงได้นะจ๊ะ
ขนาดตัวเครื่องของรุ่นนี้จะอยู่ที่ 165.2 x 76.5 x 9.3 มม. และหนักที่ 220 กรัม แอบหนาและหนักไปหน่อยถ้าดูจากตัวเลขเนาะ ตรงนี้ก็คงเพราะกลไกภายในของกล้องยกได้นี่แหละ แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ดูแน่นหนาดีถ้ามันเบาไปก็คงจะแปลก ๆ เนอะ
กล้องหมุนได้ด้วยกลไกสุดเจ๋ง !
ตัวกล้องจะวางตำแหน่งไว้ที่ด้านบนสุดเลยพร้อมแบ่งส่วนไว้ชัดเจนว่าตรงมุมบนนี่แหละที่จะมีการยกหมุนได้ตามกลไกนะ กล้องที่ให้มาจะมี 3 ตัวคือกล้อง ToF, ไฟแฟลช LED, กล้อง Ultra Wide และกล้องหลังที่เป็นเลนส์ใหญ่ ๆ เรียงจากซ้ายไปขวาแบบนี้เลย
เวลากดสลับกล้องมาด้านหน้าตัวกล้องก็จะยกขึ้นมาพร้อมกับฟลิบตัวกล้องให้หมุนมาด้านหน้าแบบอัตโนมัติ จังหวะยกขึ้นมาจะมีเสียงของกลไกอยู่นิดหน่อย "แอดดดด ฟลึบ" ซึ่งส่วนตัวชอบที่มันมีเสียงนะ ดูไฮเทคดี :P
ตัวกล้องก็จะเรียงสลับกันนิดหน่อยเวลาสลับมาที่แล้วเนาะ เวลาใช้งานกล้องก็จะดูยื่นขึ้นมาจากตัวเครื่องอยู่พอควร แต่แลกกับการที่ตัวหน้าจอไม่มีติ่งหรือรูบนจอได้แบบนี้ถือว่าแก้ปัญหาได้ดีทีเดียวเลยล่ะ แถมคุณภาพของกล้องหน้าและหลังยังทำได้ใกล้เคียงกันอีกด้วย (ไว้อธิบายต่อในส่วนของกล้องเนาะ)
เวลาตัวกล้องยกขึ้นมาแล้วด้านหลังก็จะกลายเป็นแบบทึบ ๆ ไปแบบที่เห็นนี่แหละครับ เวลาในการสลับกล้องไปมาทำได้เร็วทีเดียว แต่ก็ไม่ถึงขึ้นที่สลับปุบปับแบบกล้องปกติ เพราะยังต้องมีการหมุนของตัวมอเตอร์ภายในด้วย ถึงไม่เร็วมาก แต่เท่มากนะบอกเลย :P
กรอบเครื่องก็จะใช้สีที่ตัดกับสีของฝาหลังได้เป็นอย่างดี อย่างสี Angel Gold ที่ได้มานี้ตัวเครื่องจะเป็นสีออกชมพูนิด ๆ พอมาอยู่คู่กับสีทองที่กรอบแบบนี้ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ ส่วนตัวชอบสีนี้ที่สุดดูหรูเลอค่าดี
ตอนกล้องยกขึ้นมาจะเห็นจากมุมข้างเลยว่าตัวกลไกช่วยยกในส่วนของกล้องขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มีช่องอยู่ในส่วนนี้นิดหน่อย พวกเรื่องฝุ่นดูไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ เพราะเวลาเก็บลงไปทำได้แนบสนิทดีครับ เท่าที่ลองใช้มายกขึ้นลงหลายครั้งก็ยังไม่เจอฝุ่นสะสมในตรงนี้เท่าไหร่นะ
ปุ่มกดของรุ่นนี้จะวางในตำแหน่งที่เหมาะสมดี ถึงแม้ตัวเครื่องจะยาวมาก ๆ แต่วางปุ่มไว้ในตำแหน่งที่ไม่ต้องเอื้อมนิ้วขึ้นไปเยอะมากนัก (แบบ S10 Series) ทำให้จับถือและกดปุ่มได้อย่างดีทีเดียว
ปุ่ม Bixby ที่หลายคนอาจจะอยากกดใช้ บนรุ่นนี้น่าเสียดายที่เอาออกไปเรียบร้อยแล้ว :P ด้านซ้ายมือเลยมีเพียงปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงเท่านั้นเอง
พอร์ตการเชื่อมต่อต่าง ๆ วางอยู่ที่ด้านล่างของตัวเครื่องทั้งหมด เอาจริง ๆ ก็เหลือเพียงพอร์ตเชื่อมต่ออย่าง USB Type-C เท่านั้นเอง ตัวช่องหูฟัง 3.5 มม.รุ่นนี้ตัดออกไปเรียบร้อย ข้าง ๆ มีไมโครโฟนสำหรับสนทนาและลำโพงหลักของตัวเครื่องอยู่ครับ
นอกจากช่องหูฟัง 3.5 มม.แล้ว ช่องใส่ micro-SD ก็เอาออกไปด้วยบนรุ่นนี้ ในถาดซิมของ Galaxy A80 นั้นจะเป็นแบบ Dual SIM (nano-SIM) หน้า-หลังนั่นเอง
รวม ๆ แล้วในเรื่องดีไซน์ของ Galaxy A80 ต้องยอมรับเลยว่าออกแบบมาได้ฉีกแนวจาก Galaxy รุ่นไหน ๆ ที่เคยเปิดตัวมาเลย ที่ชอบมาก ๆ ก็คงเป็นหน้าจอ New Infinity Display ที่เต็มตาเอามาก ๆ และแสดงผลได้สวยงามสุด ๆ เป็นครั้งแรกของ Samsung ที่เราได้เห็นหน้าจอเต็มแบบที่ไม่มีอะไรมากวนใจเลย กล้องที่ยกขึ้นมาได้ก็เป็นลูกเล่นใหม่ของ Samsung เช่นกัน ดีไซน์รอบนี้จัดว่าแจ่ม ส่วนตัวคิดว่า Galaxy A80 นี้ออกแบบมาได้สวยที่สุดในบรรดา Galaxy ตอนนี้เลยล่ะ
แต่ถ้าจะมีจุดที่ยังติดขัดอยู่เล็ก ๆ ก็คือเรื่องน้ำหนักนี่แหละ ด้วยกลไกด้านในเลยทำให้เครื่องแอบหนักไปสักนิดน่ะนะ
สเปคและประสิทธิภาพ
สเปคใหม่ ไฉไลกว่าเดิม !
เข้าสู่เรื่องสเปคกันเลยเนอะ นอกจากเรื่องดีไซน์ที่เราเห็นได้ชัดแล้วว่าสวยเด่นจริง ๆ สเปคของ Galaxy A80 ก็ให้ชิปเซ็ตตัวใหม่ล่าสุด Snapdragon 730G และหน่วยความจำภายในก็ครบครันพร้อมใช้งานมาก ๆ ที่ 8GB + 128GB เรียกว่าเป็นรุ่นกลางค่อนสูงที่ดูดีทีเดียวเชียวล่ะ
สเปค Samsung Galaxy A80
- หน้าจอ Super Amoled ขนาด 6.7" FHD+ อัตราส่วน 20:9
- ชิปเซ็ต Snapdragon 730G Octa-core (Dual Core 2.2GHz + Hexa Core 1.7GHz)
- แรม 8GB
- ความจุ 128GB
- ไม่สามารถเพิ่ม micro-SD ได้
- แบตเตอรี่ 3700 mAh
- รองรับระบบชาร์จไว Super Fast Charge 25W
- กล้องหลัง 3 ตัว
- (กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล + กล้อง Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล + กล้อง ToF)
- กล้องหน้าใช้ตัวเดียวกับกล้องหลัง
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- ไม่รองรับการสแกนใบหน้า
- ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม.
- รองรับ 2 ซิม
- ขนาดตัวเครื่อง 165.2 x 76.5 x 9.3 มม.
- น้ำหนัก 220 กรัม
- รัน Android 9.0 Pie ครอบด้วย OneUI
สเปคโดยรวมก็อย่างที่บอกไปครับว่าให้มาครบมาก ๆ ทั้งหน่วยประมวลผลตัวใหม่เร็วแรงใช้ได้เลย, แรมรอมก็เหลือ ๆ ที่ 8GB + 128GB แบบนี้ แบตเตอรี่ถ้าดูจากสเปคโดยรวมดูจะเป็นจุดอ่อนที่สุด เพราะให้มาไม่ถึงระดับ 4000mAh แต่ก็มีระบบชาร์จเร็วใหม่ที่ 25W เข้ามาช่วย พอรับได้เนอะตรงนี้ รวม ๆ แล้วสเปคไม่ได้มีอะไรน่าห่วงเลย น่าเล่นมาก ๆ ตัวนี้
คะแนนเป็นไงชิปเซ็ตใหม่ !?
ชิปเซ็ตตัวใหม่แบบนี้อยากรู้คะแนนกันแล้วใช่ไหมล่ะว่าจะจัดเต็มแค่ไหน เจ้า Snapdrago 730 นี้ถือว่าเป็นรุ่นสูงสุดของซีรีส์ Snapdragon 700 แล้ว ในเรื่องประสิทธิภาพถือว่าทำได้ดีนะครับ เขยิบขึ้นจาก Snapdragon 710 ได้ดีเลย ผลคะแนนทดสอบจาก AnTuTu Benchmark เลยได้สูงถึง 203677 คะแนนเลยทีเดียวล่ะ
แล้วมันเล่นเกมเป็นยังไงตัวนี้ !?
คะแนนได้เยอะแล้ว เล่นเกมล่ะไหวไหม แน่นอนว่าสเปคสูงระดับนี้แล้ว การเล่นเกมก็ต้องทำได้อย่างลื่นไหลตามไปด้วยเนาะ เอาเกมกราฟิกเต็ม ๆ มาลองกันอีกเหมือนเคยกับ PUBG Mobile กับ Asphalt 9 ลองดูซิว่าจะรันได้ไหวแค่ไหน ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าบน Galaxy A80 นี้ก็มี Game Mode มาให้ใช้เหมือนกันนะแต่ทาง Samsung จะใช้ชื่อเรียกว่า Game Launcher นั่นเอง
มีแยกออกมาเป็นแอปเลยด้วย กดเข้ามาตั้งค่าเกมที่เราจะเล่นได้เลยเพื่อเร่งประสิทธิภาพของตัวเครื่องให้เหมาะกับตัวเกมมากขึ้น รวมถึงจัดการพวกการแจ้งเตือนต่าง ๆ ด้วยเนาะ
เล่น PUBG Mobile บน Galaxy A80 สามารถปรับตั้งค่ากราฟิกได้ที่ระดับ HD ส่วนเฟรมเรตนั้นได้สูงสุดที่ High ก่อน ตรงนี้น่าจะเป็นที่ตัวชิปเซ็ตยังใหม่อยู่เลยเลือกสุดแบบ Ultra ไม่ได้เนอะ แต่เชื่อว่าคงมีอัปเดตจากเกมตามมาที่หลังแน่ ๆ เพราะสเปคไปไหวอยู่แล้ว
ปรับได้แค่ High ก็เล่นแค่ High นี่แหละเนอะ Galaxy A80 ทำได้อย่างลื่นไหล ตัวเฟรมเรตถือว่านิ่งมาก ๆ เลยทีเดียว ไม่มีตกหรือจังหวะกระตุกให้เห็น เล่นอย่างลื่นไหล ตัวหน้าจอที่ใหญ่เต็มตาแบบนี้ช่วยให้การสัมผัสหน้าจอนั้นได้อารมณ์มากขึ้น กวาดนิ้วไปทางไหนก็ไม่ไปติดกล้องหน้าหรือรูบนหน้าจอแล้ว
ส่วน Asphalt 9 เกมหลัก (ของเฮีย) ก็สามารถปรับกราฟิกได้ที่ระดับ Default เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรครับ ภาพสวยอยู่แล้วเกมนี้ การแสดงผลบนหน้าจอ 20:9 ก็ไม่เจอปัญหายังทำได้เต็มจอแบบสุด ๆ มีพื้นที่ให้เราแตะปุ่มต่าง ๆ ได้แบบไม่บังภาพในเกม
เฟรมเรตในเกมทำได้นิ่งใช้ได้เลย น่าจะมีการปรับแต่งมาให้เข้ากันได้อย่างดีแล้ว ถือว่าเล่นเกมนี้ได้ลื่นดีมาก ๆ Galaxy A80 เนี้ย
รวม ๆ ในเรื่องการเล่นเกมกับ 2 เกมดังต้องบอกว่าทำได้ดีเลยล่ะ ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่สะใจแบบนี้มีพื้นที่ให้การแสดงผลครบ ๆ ไม่ต้องมีขอบดำหรืออะไรมาบังบนหน้าจอ อัตราส่วนแบบใหม่ก็ทำให้ได้จอที่ยาวขึ้น ประสิทธิภาพของตัวชิปเซ็ตก็ช่วยส่งให้เกมที่เล่นนั้นทำงานได้เป็นอย่างดีเลย
ซอฟต์แวร์ และฟีเจอร์การใช้งาน
รันด้วย OneUI ทำงานลื่นไหล
ในส่วนของซอฟต์แวร์ Galaxy A80 นั้นมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ที่มีการครอบทับมาด้วย OneUI ตัวล่าสุดอีกที การทำงานก็ลื่นไหลดีทีเดียว หน้าตาไอคอนจะดูสดใสใช้ได้เลย
ถึงแม้หน้าจอจะยาวขึ้นมากว่าเดิม แต่ OneUI นั้นถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายแบ่งสัดส่วนของการเข้าถึงต่าง ๆ ไว้ที่ครึ่งด้านล่างของหน้าจอ ทำให้ใช้งานมือเดียวได้อยู่ ถึงแม้จะแค่ในแอปหลักอย่างเดียวก็เถอะ ตัว App Drawer ก็มีให้เลือกใช้งานแค่เลื่อนหน้าจอขึ้นมาก็จะเจอหน้ารวมแอปทั้งหมดไว้แล้ว
ด้วยหน้าจอแบบ Super Amoled เลยมีหน้า Always On Display มาให้ด้วย เราสามารถแตะ 1 ครั้งตอนที่หน้าจอดับเพื่อดูเวลาหรือไอคอนการแจ้งเตือนต่าง ๆ ได้จากตรงนี้ หรือจะแตะ 2 ครั้งเพื่อปลุกหน้าจอทำได้เช่นกันครับ
แบ่ง 2 หน้าจอทำงานได้อย่างเต็มตา
หน้าจอที่ยาวขึ้นแบบนี้การใช้งานแบบแบ่งจอหรือ Multi Window ก็ใช้งานได้ดีทีเดียว บน OneUI เราอาจจะแบ่งหน้าจอแบบเดิม ๆ ที่เคยชินด้วยการกดปุ่ม Recent ค้างไว้ไม่ได้แล้ว แต่ฟีเจอร์นี้ยังมีอยู่นะ โดยให้เรากดที่ไอคอนของแอปเวลาเปิดหน้า Recent แล้วเลือกไปที่ Split Screen Apps แทนครับ
คุยโทรศัพท์ได้ถึงแม้ไม่มีลำโพงสนทนา
อย่างที่บอกไปว่า Galaxy A80 นั้นไม่มีลำโพงสนทนาที่เหนือหน้าจอแล้ว แต่ในการคุยโทรศัพท์รุ่นนี้สามารถใช้งานได้อย่างชัดเจนอยู่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ On Screen Sound แทน โดยตัวเครื่องจะใช้การสั่นสะเทือนของกระจกเพื่อสร้างเสียงออกมาที่ตัวด้านบนของหน้าจอแทน
ซึ่งเท่าที่ลองใช้งานจริงก็เปล่งเสียงออกมาได้ดังและชัดเจนดี เหมือนคุยได้ทุกส่วนบริเวณเหนือหน้าจอได้เลย สะดวกดีเพราะเราไม่จำเป็นต้องหาตัวลำโพงสนนทนาไปแนบเนอะ ส่วนพวก Proximity Sensor, Light Sensor ก็ซ่อนไว้บนหน้าจอเช่นกัน เราเลยไม่เห็นพวกเซ็นเซอร์อะไรเหนือหน้าจอแล้วเนาะ หน้าจอเน้น ๆ
สแกนนิ้วบนหน้าจอทำงานเร็วอยู่นะ
ในส่วนของระบบรักษาความปลดภัยรุ่นนี้มาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (On Screen Fingerprint) เช่นเดียวกับ Galaxy A รุ่นก่อน ๆ ที่ผ่านมา วางตำแหน่งไว้ในตำแหน่งที่แตะสแกนได้สะดวกดี เราสามารถแตะหน้าจอเพื่อให้ไอคอนสแกนติดขึ้นมาบนหน้า Always On Display
ในเรื่องความเร็วรอบนี้ทำได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนพอควร แตะสแกนได้แบบไม่ต้องแช่นิ้วนาน แต่ก็ยังไม่ถึงกับเร็วปรู๊ดปร๊าด แบบแตะปุ๊บติดปั๊บอะเนาะ ภาพรวมถือว่าทำได้ดีขึ้นเยอะครับสำหรับระบบสแกนลายนิ้วมือ แต่ที่น่าเสียดายก็คือบน A80 นั้นไม่มีระบบสแกนใบหน้ามาให้ด้วย คงเพราะใช้เวลาในการยกตัวกล้องขึ้นลงด้วยรึเปล่าเลยทำให้ทาง Samsung เลือกไม่ใส่ตัวฟีเจอร์นี้มา
หน้าจอ ระบบเสียง
จอสวย จอเต็ม อัดแน่นสุด ๆ !
มาดูอีกหนึ่งไฮไลท์ของ Galaxy A80 กับเรื่องหน้าจอ New Infinity Display นี้ที่แสดงผลได้เต็มตา เต็มอารมณ์สุด ๆ ด้วยความไม่มีตื่ง ไม่มีรูบนหน้าจอมากวนใจเลย ทำให้เวลาเอามาดูหนังหรือ MV ต่าง ๆ นี่สะใจสุด ๆ ชนิดหน้าจอแบบ Super Amoled นี่ก็ขึ้นชื่อเรื่องสีสันอยู่แล้ว แจ่มสุด ๆ
อัตราส่วนหน้าจอแบบ 20:9 เวลาดูไฟล์หนังหรือวิดีโอที่มีอัตราส่วนแบบ 21:9 หรือสเกลโรงหนังนี่ก็บอกเลยว่าเต็มตาขึ้น พวกขอบดำก็จะลดน้อยลงด้วย ส่วนความคมชัดในระดับ FHD+ ก็คมชัดกำลังดีเลยในหน้าจอระดับนี้
ระบบเสียงก็ดังชัดเจน
ในเรื่องเสียง Galaxy A80 ได้ลำโพงหลักอยู่ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมดี เสียงที่ได้ก็ดังใช้ได้ และมิติของเสียงทำได้ดีทีเดียว แต่น่าเสียดายที่รุ่นนี้ไม่มีลำโพงสนทนาที่ด้านบนมาด้วย เพราะใช้เทคโนโลยีแบบ On Screen Sound แทน (อย่างที่อธิบายไปด้านบน) เวลาใช้งานก็เลยไม่ได้ลำโพงคู่ Stereo เลย
ส่วนการใช้งานหูฟัง รุ่นนี้ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม. มาแล้ว ก็ใช้งานผ่านช่อง USB Type-C แทนเลย หูฟังที่แถมมาในกล่องก็เป็นแบบ Type-C นะจ๊ะ ใช้ได้เลยไม่ต้องไปหาอุปกรณ์เสริมอื่นมาใช้ควบคู่กัน ตรงนี้อาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าไหร่แล้ว เพราะหลายรุ่นก็ปรับมาใช้พอร์ต Type-C เสียบหูฟังอยู่แล้วนี่เนอะ
กล้อง
กล้องหลัง 3 ตัว ชุดเดียวกันทั้งหน้าและหลัง
มาถึงไฮไลท์สำคัญของ Galaxy A80 อย่างเรื่องกล้อง รุ่นนี้ได้กล้อง 3 ตัวที่เป็นชุดเดียว ใช้ทั้งหน้า-หลังหมดเลย เพราะฉะนั้นในเรื่องความละเอียดและความคมชัดต้องบอกเลยว่าจัดเต็มมาจริง ๆ ในส่วนของสเปคกล้องรุ่นนี้ให้ 3 ตัวมาแบ่งการใช้งานดังนี้เลย
- กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/2.0, ช่วง 26 มม., PDAF
- กล้อง Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล f/2.2, ช่วง 12 มม. (123 องศา), Fixed Focus
- กล้อง ToF (3D Depth)
ถึงแม้จะไม่มีช่วงซูมแบบ Optical มาให้ แต่ก็มีการเพิ่มตัวกล้อง 3D Depth เข้ามา จะช่วยให้การถ่ายภาพในโหมดหน้าชัด-หลังเบลอหรือ Live Focus ได้ดีขึ้น ซึ่งบน Galaxy A80 นี้ก็จะสามารถใช้ Live Focus ได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอเลยด้วย แจ่มสุด ๆ
Live Focus โหมดหน้าชัด-หลังเบลอที่เนียนตามากขึ้น !
ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ขอแวะมาดูโหมด Live Focus ก่อนเลยละกัน อย่างที่บอกว่าการเพิ่มกล้องตัว 3D Depth ใหม่นี้เข้ามาจะช่วยในเรื่องของการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ระยะที่ใช้ก็ใช้จากตัวกล้องหลักเลยทำให้เล็งได้ง่าย แต่ระยะอาจจะไม่ได้เป๊ะเท่ากับการถ่าย Portrait เท่าระยะ 2x นักเนาะ เราสามารถปรับความเบลอของฉากหลังได้จากหน้าพรีวิวเลย พร้อมเอฟเฟกต์ฉากหลังได้อีกด้วย น่าสนใจ ๆ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Live Focus จะเห็นว่าตัวกล้อง 3D Depth นี้ช่วยในการตัดขอบภาพได้อย่างเนียนตามากขึ้นจริง ๆ ระยะของการละลายดูมีมิติมากกว่าแบบปกติ เอฟเฟกต์ของการละลายฉากหลังที่มีให้เลือกก็ถือว่าทำได้ดีเลย ชอบตรงที่เราสามารถมาปรับความเบลอและเอฟเฟกต์ทีหลังหลังถ่ายได้ด้วย ตอนถ่ายก็แค่จับโฟกัสให้แม่นพอ ถ้าไม่ชอบเอฟเฟกต์หรือความเบลอก็ค่อยมาปรับทีหลัง อันนี้เด็ด
Live Focus Video ก็ทำได้ด้วยนะ !
นอกจากโหมดหน้าชัด-หลังเบลอแบบเนียน ๆ แบบภาพนิ่งแล้ว แบบวิดีโอ Galaxy A80 ก็ทำได้เช่นกัน ซึ่งตรงนี้ต้องยกความดีให้กล้อง 3D Depth เลยล่ะ การละลายฉากนั้นจะโชว์ให้เราเห็นตั้งแต่ในหน้าพรีวิวก่อนถ่ายเลย เล็งแล้วรู้เลยว่ามันละลายหลังให้จริง ๆ
ตัวอย่างวิดีโอจากโหมด Live Focus Video เห็นได้ชัดเลยว่าวิดีโอแบบละลายฉากหลังนี้ทำได้เนียนตาใช้ได้เลย ถึงแม้จะไม่ได้ละลายจริง ๆ จากตัวกล้องเองแบบกล้องใหญ่ ๆ แต่กล้อง 3D Depth ที่เข้ามาจับระยะของแบบและฉากหลังได้แบบเรียลไทม์แบบนี้ก็ดูเท่ดีไม่หยอก ซึ่งโหมดนี้ก็ใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและหลังเลย ถือเป็นครั้งแรกเลยที่ทำแบบนี้บนกล้องหน้าได้เนอะ
Auto ก็มี Scene Optimizer ช่วยเลือกซีนให้สวยครบ
กล้องหลักนั้นให้ความละเอียดมามากถึง 48 ล้านพิกเซลพร้อมมีระบบ Scene Optimizer หรือโหมดอัจฉริยะที่คอยเลือกซีนมาปรับแต่งภาพให้สวยงามยิ่งขึ้นในโหมด Auto เลย ตรงนี้ก็ง่ายสำหรับการถ่ายภาพทั่ว ๆ ไปอย่างมาก เพราะแค่เราเล็งแล้วรอตัวระบบประมวลผลต่อเลือกซีนให้เรา เรามีหน้าที่กดถ่ายอย่างเดียว แล้วมาดูผลลัพธ์ภาพที่ได้ก็สวยแบบไม่ต้องแต่งเพิ่มเลยล่ะ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Auto (พร้อม Scene Optimizer)
มี Ultra Wide ด้วยนะ มุมกว้างเก็บได้หมด
ต่อกันที่กล้อง Ultra Wide ที่เป็นจุดเด่นของ Galaxy A Series ในปีนี้ไปแล้ว ทุกรุ่นให้มาแทบหมด และรุ่นใหญ่สุดแบบนี้จะไม่ได้ให้ด้วยก็คงแปลกเนอะ A80 ได้กล้อง Ultra Wide มุมกว้างสุด ๆ ถึง 123 องศา เก็บภาพวิวหรือที่ที่มีจำกัดได้เป็นอย่างดีทีเดียว หรือจะเอามาถ่ายคนก็ได้มุมที่ว้างยืดขาเพิ่มความสูงต่าง ๆ ก็ได้อีก
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Ultra Wide
Night Mode มีมาให้แล้วนะ !
ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่สมาร์ทโฟนยุคนี้ควรมีติดเครื่องไว้เลยกับ Night Mode ที่ทาง Samsung เริ่มหันมาสนใจโหมดนี้มากขึ้น หลังจากที่อัปเดตเพิ่มเติมให้กับ Galaxy S10 รวมถึง Galaxy A รุ่นก่อนหน้านี้ด้วย ซึ่งบน A80 ก็มีติดมาเลย การทำงานจะใช้การถ่ายภาพในหลาย ๆ สภาพแสงและมาประมวลผลรวมกันนี่แหละ ซึ่งตัวภาพที่ได้จะมีการลบ Noise และจัดการในส่วนที่สว่างจ้าเกินไปในภาพให้ได้แสงที่สมดุลมากขึ้นนั่นเอง
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Night mode
Pro Mode ที่แอบไม่โปรเท่าไหร่ !?
อีกหนึ่งจุดที่ยังเป็นจุดสังเกตใหญ่ของ Galaxy A Series ก็คงเป็นโหมด Pro นี่แหละครับ เพราะถึงแม้จะมีฮาร์ดแวร์คุณภาพเยี่ยมมาแล้ว แต่ในเรื่องของโหมดปรับแต่งเองในกล้องหรือ Pro นี่ให้มาแบบกั๊ก ๆ อยู่ เราไม่สามารถปรับค่าอะไรได้มากมายนอกจาก ISO, White Balance, และค่า EV เท่านั้น อย่างน้อย ๆ ก็ควรให้เราได้เลือกระยะโฟกัสได้หน่อยก็คงจะดีเนอะ ><
กล้องชุดเดียวกันทำงานคล้ายกัน !
ย้ำอีกครั้งว่าตัวกล้องที่ให้มาถึงแม้จะใช้งานตัวเดียวกันจริง แต่ตัวซอฟต์แวร์ที่ทาง Samsung เขียนมานั้น จะมีบางจุดที่แตกต่างกันอยู่ของกล้องหน้าและหลัง ถึงได้บอกว่าแค่ทำงานคล้ายกัน ในเรื่องความละเอียดอันนี้ใช้ได้แบบเท่ากันเลยคือสูงสุดที่ 48 ล้านพิกเซล แต่ฟีเจอร์บางอย่างที่กล้องหลังมีกล้องหน้าก็ไม่ได้ติดมาทั้งหมด อาทิ ระบบ Auto Focus ที่พอเราสลับมาที่กล้องหน้าแล้ว จะไม่สามารถแตะโฟกัสได้ถูกตั้งเป็น Fixed Focus ไปเลยทันที หรืออย่าง Night Mode ที่มีอยู่บนกล้องหลัง พอสลับมาแล้วก็ใช้ไม่ได้เช่นกันครับ
กล้องหน้าเลือกได้ 3 ระยะนะ
พอพลิกกลับมาที่กล้องหน้า ตัว UI จะมีให้เราเลือกระยะของภาพได้ 3 ระยะ คือช่วงครอปเฉพาะเซลฟี่คนเดียว, ช่วงปกติของตัวเลนส์ และแบบ Ultra Wide ซึ่งตรงนี้ไม่สามารถใช้ระบบ Auto Focus ได้แบบที่บอกไปนะ ตัวกล้องมีการตรวจจับใบหน้าได้อย่างแม่นยำ มีระบบ Palm Selfie ยกมือพร้อมถ่ายได้เลยง่าย ๆ
พอสลับมากล้องหน้าจะมีโหมด Beauty ที่เพิ่มเข้ามาแบบอัตโนมัติ เราสามารถเลือกระดับความสวยของใบหน้าได้ด้วยนะ ไม่ใช่แค่ความเนียนของผิว, ตาโต, คางเรียว ก็จัดได้หมดเลย หรือถ้าไม่อยากปรับเยอะ ค่าเริ่มต้นก็จะเป็น Auto แบบ Smart Beauty ที่คอยช่วยปรับความเนียนให้แบบอัตโนมัติอยู่แล้ว
โหมด Live Focus ที่มีใช้บนกล้องหลัง กล้องหน้าก็ใช้งานได้ไม่แพ้กันตรงนี้ก็ถือว่าเพิ่มความเนียนของการละลายฉากหลังได้ดีขึ้น กว่ามือถือรุ่นทั่ว ๆ ไปแน่นอน แถมความคมชัดที่ระดับ 48 ล้านพิกเซลเพราะใช้กล้องตัวเดียวกับกล้องหลังแบบนี้ ไม่ต้องห่วงเลยแจ่มจริง ๆ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Galaxy A80
วิดีโอสูงสุด 4K ทั้งหน้า-หลัง !
วิดีโอก็ดูจะเป็นจุดเด่นของซีรีส์ A ในปีนี้ไปแล้ว เพราะชูจุดเด่นในเรื่อง "ยุคของคนชอบไลฟ์" มาแล้วนี่หน่า ตัว Galaxy A80 นั้นสามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K UHD แน่นอนว่าใช้ได้ทั้งหน้า - หลังเลย
นอกจากนี้ยังมีโหมด Super Steady ที่ช่วยให้ภาพที่ได้นั้นนิ่ง ๆ แบบเดียวกับที่เราเห็นบน Galaxy S10 เลย คือตัวกล้องจะใช้เลนส์ Ultra Wide และครอปส่วนรอบข้างออกนิดหน่อย ร่วมกับระบบกันสั่น EIS ช่วยให้ภาพที่ได้นั้นนิ่งขึ้นมาก ๆ ที่สำคัญฟีเจอร์นี้ใช้ได้บนกล้องหน้าด้วย กันสั่นนิ่ง ๆ ใครที่ชอบ Vlog นี่ถูกใจแน่นอน
ตัวอย่างวิดีโอ Super Steady จาก Galaxy A80
แบตเตอรี่และสรุปการใช้งาน
แบตเตอรี่ 3700 mAh ใช้ได้อยู่
ถึงแม้แบตเตอรี่จะดูเป็นจุดอ่อนของรุ่นนี้ที่สุด เพราะให้แบตฯมาไม่ถึงระดับ 4000mAh เมื่อเทียบกับขนาดหน้าจอระดับนี้แล้ว แต่เท่าที่ลองใช้งานจริงมาก็ไม่ถึงกับเลวร้ายครับ สามารถใช้งานได้อย่างดีตลอดทั้งวัน ไม่ถึงกับไหลจนเกินไป ตรงนี้คงเป็นเพราะระบบภายในรวมถึงตัวชิปเซ็ตใหม่ Snapdragon 730 ด้วยที่ช่วยให้แบตเตอรี่นั้นใช้งานได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
ชาร์จเร็ว Super Fast Charge แล้วไม่ต้องห่วง !
ใครที่กำลังบ่น ๆ ว่ามือถือ Samsung ชาร์จช้าอยู่ มารุ่นนี้แล้วห้ามบ่นแล้วนะ เพราะว่า Galaxy A80 นั้นให้ระบบชาร์จไวใหม่อย่าง Super Fast Charge ที่มีความเร็วถึง 25W มาแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องชาร์จช้าแล้วนะจ๊ะ
ตัวอแดปเตอร์ที่แถมมาในกล่องก็ไซส์กำลังดี พกติดตัวไปชาร์จนอกสถานที่ได้อย่างดีเลย ความเร็วใหม่นี้ก็ช่วยได้เยอะครับ จากแต่ก่อนที่ 15W พอเพิ่มขึ้นมาแบบนี้ชาร์จไวขึ้น มีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นมากขึ้นจริง ๆ
ราคาค่าตัว 21,990 บาท
ปิดท้ายกันที่ราคาค่าตัว Galaxy A80 เคาะราคาค่าตัวมาที่ 21,990 บาท มีให้เลือก 3 สีคือ Ghost White, Angel Gold และ Phantom Black เริ่มเปิดให้จองล่วงหน้าตั้งแต่วันนี้จนถึง 14 ก.ค.นี้ โดยจะได้รับของแถมมูลค่า 3,990 บาท เป็นชุด Galaxy Friends Blackpink Limited Edition (แท่นชาร์จ, เคสพร้อมลายเซ็น, Theme พิเศษ และ Photoset สาว ๆ Blackpink) หรือหูฟัง AKG Y500 ครับ เฉพาะที่ Samsung Brand Shop เท่านั้น
หรือถ้าอยากได้เครื่องราคาพิเศษก็ยังมีโปรโมชั่นลดสูงสุด 60% เมื่อสั่งจองและสมัครแพ็กเกจกับทางโอเปอเรเตอร์ทั้ง 3 เครือข่ายอีกด้วย และยังแถมฟรีประกันจอแตกนาน 1 ปีด้วย แต่โปรโมชั่นพิเศษนี้จะไม่ได้รับของแถมชุด Blackpink หรือหูฟัง AKG นะจ๊ะ
มีรุ่นพิเศษ Blackpink Edition ด้วย
นอกจากรุ่นปกติที่รีวิวไปแล้ว ก็ยังมีรุ่นพิเศษ Blackpink Limited Edition ด้วยซึ่งบนเซ็ตนี้ทางจะมีอุปกรณ์มาด้วยกัน 3 อย่างที่เป็นชุดพิเศษจาก Blackpink คือตัวเครื่อง Galaxy A80, Galaxy Buds และ Galaxy Watch Active ทั้ง 3 ชิ้นมีความพิเศษตรงที่จะได้ Exclusive Design พร้อมโลโก้ของ Blackpink อยู่ด้วยนั่นเอง ราคาค่าตัวอยู่ที่ 32,990 บาท เริ่มเปิดจองเฉพาะวันที่ 12 - 14 ก.ค.นี้ และจำกัดจำนวนเพียง 900 เครื่องเท่านั้น !
อ่านพรีวิว Galaxy A80 Blackpink Limited Edition ได้ที่นี่
สรุป !
จัดว่าเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นพรีเมี่ยมอีกรุ่นจาก Samsung ที่น่าสนใจมาก ๆ อย่างแรกที่โดดเด่นมาก ๆ ของรุ่นนี้คงหนีไม้พ้นเรื่องของดีไซน์ที่ชมแล้วชมอีกว่ามันคือมือถือ Galaxy ที่สวยและหรูหราที่สุดรุ่นหนึ่งที่ทาง Samsung เคยทำมาเลย ทั้งหน้าจอที่เต็มแบบสุด ๆ และแสดงผลได้สวยมากกกกก ! รวมถึงวัสดุงานประกอบที่แน่นหนาและดูแพงจริง ๆ แถมยังได้นวัตกรรมกล้องหมุนได้แบบล้ำ ๆ นี้อีก ถ้านับแค่เรื่องนวัตกรรมและดีไซน์เทียบกับราคา 20,000 ต้น ๆ แบบนี้ถือว่าไม่ได้แพงจนเกินเหตุเลย
อีกทั้งยังมีในเรื่องของสเปคภายในทั้งหน่วยประมวลผลตัวใหม่ที่เร็วแรงพร้อมใช้งานแล้ว อาจจะไม่ใช่ซีรีส์ท็อปสุด แต่ Snapdragon 730 ตัวใหม่ร่วมกับแรม 8GB ที่ให้มานี้ก็เพียงพอต่อการใช้งานประมวลผลแรง ๆ แล้วล่ะ อีกทั้งยังได้กล้องคุณภาพเยี่ยมที่ใช้ได้ดีทั้งหน้า-หลัง (เพราะใช้กล้องชุดเดียวกัน) อีก เบ็ดเสร็จแล้วถ้าใครที่กำลังมองหามือถือทรงสวย ดีไซน์เป็นเด่น เน้นใช้งานด้านภาพถ่าย วิดีโอทั้งหน้าและหลังเป็นหลัก Galaxy A80 รุ่นนี้คงเป็นคำตอบที่ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย ถูกใจแน่นอน !!
จุดเด่น
- หน้าจอ New Infinity Display แสดงผลได้สวยงามมาก จอเต็มไร้สิ่งกวนใจ
- บอดี้งานประกอบสวยหรู
- คุณภาพกล้องโดดเด่นพร้อมกล้องชุดเดียวกันทั้งหน้า-หลัง
- ชิปเซ็ตตัวใหม่ตอบโจทย์การใช้งาน
- รองรับระบบชาร์จไว Super Fast Charge
จุดสังเกต
- ไม่มีระบบสแกนใบหน้า
- ตัวเครื่องแอบหนักไปหน่อย (220 กรัม)
- โหมด Pro มีตัวเลือกให้ปรับน้อยไปหน่อย
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite