Review : OPPO F11 Pro สมาร์ทโฟนดีไซน์สวยที่จะมาเปลี่ยนภาพจำของแค่เซลฟี่สวย ด้วย Portrait ชั้นยอดในราคาหมื่นนิด ๆ !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวมือถือรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของ OPPO ที่กำลังมาแรงมาก ๆ กับ OPPO F11 Pro นั่นเอง ! ถือว่าเป็นซีรีส์ F รุ่นต้นปีที่เปิดตัวมาได้ครบครันสุด ๆ ทั้งในเรื่องของหน้าจอ Panoramic Screen แบบใหม่เต็มตา, กล้องหน้า Rising Camera ซ่อนยกได้อย่างล้ำ, ระบบชาร์จไว VOOC 3.0 เวอร์ชั่นใหม่, บอดี้ไล่เฉดสีแบบสามมิติ Triple Color Gradient และที่สำคัญยังมีกล้องหลังคู่ความละเอียดสูง 48 ล้านพิกเซลถ่ายภาพคนสวยอลังการ ดั่งสโลแกน "Portrait สวย แม้แสงน้อย" โอ้โหฟีเจอร์เด่นจัดเต็มแบบนี้ อย่ารอช้ามาอ่านรีวิวฉบับเต็มของ OPPO F11 Pro กันเลยดีกว่าครับ :D
แกะกล่องกันก่อนแบบด่วน ๆ
เริ่มต้นด้วยการแกะกล่องเช็คของข้างในกันก่อน หน้ากล่องยังคงเป็นสไตล์เดิมกับ F Series ที่ผ่านมาครับ มีชื่อรุ่นเด่น ๆ พร้อมภาพประกอบตัวเครื่องโชว์อย่างครบครัน พร้อมรุ่นความจุที่มุมซ้ายบนสีทอง ๆ นั่นแหละครับ ซึ่งรุ่นที่วางจำหน่ายในไทยรอบนี้จะมี 2 ความจุคือ 6GB + 64GB และ 6GB + 128GB ครับผม
อุปกรณ์ภายในทั้งหมดเมื่อหยิบออกมากองรวมแล้วจะมีทั้งสิ้น 7 อย่างดังนี้ครับ
- ตัวเครื่อง F11 Pro
- คู่มือการใช้งาน
- เคสซิลิโคน
- สาย micro-USB
- อแดปเตอร์ VOOC 3.0
- หูฟัง (แจ็ค 3.5 มม.)
- เข็มจิ้มถาดซิม
ดีไซน์ใหม่ หน้าจอ Panoramic Screen เต็มตากว่าเคย !
มาเข้าเรื่องของเราเลยดีกว่า สำหรับ OPPO F11 Pro รอบนี้ OPPO มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ไปอีกครั้ง ให้ดูสวยและพรีเมี่ยมมากขึ้นไปอีก เริ่มต้นกันที่หน้าจอกันก่อนเลย F11 Pro มาพร้อมกับหน้าจอแบบใหม่ไม่มีติ่งมากวนใจอีกแล้ว โดยจะใช้ชื่อหน้าจอแบบนี้ว่า Panoramic Screen แสดงผลได้เต็มตามากขึ้นในขนาด 6.5 นิ้ว สะใจกันสุด ๆ
ด้วยการตัดเอาติ่งบนหน้าจอออกไป ทำให้การแสดงผลหน้าจอเมื่อเทียบกับสัดส่วนตัวเครื่องนั้นมากถึง 90.9% เลยทีเดียว ในส่วนของชนิดหน้าจอของรุ่นนี้จะใช้เป็น LTPS-TFT ที่อัตราส่วนแบบ 19.5:9 พร้อมความละเอียดหน้าจอแบบ FHD+ การแสดงผลทำได้ดี มุมมองกว้างใช้ได้เลย
เหนือหน้าจอจะเห็นได้เลยว่าไม่มีติ่งมากวนใจแล้วจริง ๆ ตัวลำโพงสนทนาก็เป็นแถบที่ยาวขึ้นมาอีก ช่วยให้ใช้งานคุยโทรศัพท์ได้ดียิ่งขึ้นไปอีกครับ
ส่วนกล้องหน้าที่หายไปจากหน้าจอตรงนี้ หายไปไนกันล่ะ อ๊ะ…ก็ถูกซ่อนอยู่ในเครื่องนี่ไง เวลาเปิดกล้องหน้าตัวกล้องก็จะยกขึ้นขึ้นมาแบบนี้เลยล่ะครับ ตรงนี้ทาง OPPO ใช้ชื่อเรียกว่า Rising Camera นั่นเองครับ ตัวกล้องหน้าจะมีการออกแบบตัดมุมให้ดูหรูหราเพิ่มขึ้นไปอีก ไม่ใช่แค่สี่เหลี่ยมทื่อ ๆ ยกขึ้นมานะจ๊ะ ตรงนี้เขาบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากอำพันด้วยจ้าา สวยนะ
ด้านล่างตัวเครื่องจะแอบเห็นว่ามีขอบหน้าจออยู่นิดหน่อย แต่ก็ถือว่าทำได้บางพอตัวแล้ว ล่ะครับ ปุ่มต่าง ๆ ก็เป็นบนจอหรือ On Screen Button เหมือนรุ่นก่อนหน้านี้นี่แหละเนาะ อ๊ะ…ลืมบอกไป ตัวเครื่องมีติดฟิล์มกันรอยมาให้แล้วตั้งแต่ในกล่องเลย ตัวฟิล์มชิดสุดขอบจอมาได้อย่างพอดี ไม่ต้องกังวลจ้า
บอดี้แน่นหนา จับกระชับมือ
ขนาดตัวเครื่องของ F11 Pro นั้นให้มาแบบเต็มไม้เต็มมือดีครับ ให้ความรู้สึกที่แน่นหนา จับกระชับมือได้เป็นอย่างดี ไม่ถึงกับใหญ่จนล้นเกินไป ด้วยขนาดตัวเครื่องที่ 161.3 x 76.1 x 8.8 มม. แต่น้ำหนักที่ได้แอบหนักไปนิดที่ราว ๆ 190 กรัม แต่ก็แลกมากับแบตเตอรี่ภายในที่เยอะขึ้นจุใจล่ะครับ น้ำหนักนี้
กรอบตัวเครื่องจะเป็นผิวสัมผัสแบบด้านให้ความรู้สึกที่ดีเวลาจับถือ เพราะไม่ลื่นมือจนเกินไป รวมถึงไม่เก็บคราบรอยนิ้วมือให้ดูเลอะง่ายด้วย
ตำแหน่งของปุ่มกดต่าง ๆ วางไว้ที่เดิมแบบที่ OPPO เคยใช้มา เริ่มด้วยปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงที่ด้านซ้ายมือ ปุ่ม Power อยู่ที่มุมขวาของตัวเครื่อง
รอบนี้ที่ปุ่ม Power มีการเพิ่มลูกเล่นด้วยการใส่สีเขียวตัดเข้าไปตรงกลางของปุ่มด้วย เพื่อให้ดูเด่นสะดุดตาขึ้นมากับกรอบเครื่องที่เป็นสีม่วงครับ
ช่องใส่ซิมก็จะอยู่ที่มุมขวามือนี้เช่นกัน โดยถาดซิมรอบนี้กลับมาใช้แบบไฮบริด คือต้องเลือกว่าจะใส่แบบ 2 ซิมหรือ 1 ซิม 1 เม็มแทน ไม่สามารถใส่พร้อมกัน 3 ตัวแบบรุ่นก่อนได้ครับ
พอร์ตการเชื่อมต่ออจะอยู่ที่ด้านล่างตัวเครื่อง ยังคงใช้เป็นพอร์ต micro-USB อยู่ ตรงนี้แอบน่าเสียดายอยู่หน่อย ๆ แต่พอร์ตนี้ก็รองรับระบบชาร์จไวอยู่นะ (ไว้อธิบายเพิ่มอีกทีจ้า) มีช่องหูฟัง 3.5 อยู่ที่มุมซ้ายนี้ และ…ลำโพงหลักของตัวเครื่องได้สลับมาอยู่ที่ฝั่งขวามือเรียบร้อย ตรงนี้ชอบมากเพราะรุ่นก่อน ๆ OPPO มักเลือกไว้ตรงมุมซ้าย บางครั้งเวลาใช้งานแนวนอนแล้วมักเอาอุ้งมือไปบังทำให้เสียงได้ออกมาไม่ชัดเจนนัก แต่รอบนี้แก้ไขแล้วนาจา
ด้านบนตัวเครื่องจะเห็นได้ชัดถึงตำแหน่งของกล้องหน้า Rising Camera ชัดเจน ดูจากทรงตรงนี้แล้วยิ่งชัดว่ามีการดีไซน์กล้องหน้าให้มีมิติมากขึ้นไม่ใช่ทื่อ ๆ อย่างที่บอกไป และมีเซ็นเซอร์อยู่ที่ด้านบนพร้อมไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนอยู่ด้วยที่ด้านบนนี้ครับ
ฝาหลังไล่เฉดสีแบบใหม่
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลังกันบ้าง รอบที่แล้วว่าสีสวยแล้ว รอบนี้จัดเต็มขึ้นมาอีกขั้นกับฝาหลังไล่เฉดสีแบบ 3 มิติหรือ Triple Color Gradient ไล่สีไป 3 สีเลย โดยเป็นการไล่สีแบบแนวทแยงประกอบด้วยสี ม่วง ดำ และน้ำเงิน ให้อารมณ์แบบนีออนหน่อย ๆ และยังมีการเคลือบ nano printing ที่ด้านหลังเพื่อให้มีการสะท้อนที่สวยงามยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
นอกจากนี้บน F11 Pro ยังมีการปรับเปลี่ยนโลโก้จากเดิมที่เป็นแนวตั้ง มาเป็นแนวนอนแล้วด้วย เวลาถือใช้งานก็จะเน้นให้เป็นแนวนอนมากขึ้น ฝาหลังออกแบบทุกอย่างได้อย่างสมมาตร เรียงกันไว้ตรงกลางทั้งหมด
จะเห็นว่าซ้ายขวานั้นเท่ากันเลย รวมไปถึงตัวกล้องหลังที่วางอยู่ตรงกลางไล่ลงมาอย่างสวยงาม ตัวกรอบเลนส์ก็มีการตัดขอบวงแหวนได้อย่างโดดเด่น ภายในมีไฟแฟลช LED และกล้องคู่ความละเอียด 48 + 5 ล้านพิกเซลอยู่ ถัดลงมาจะเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมครับ
ภาพรวมในเรื่องดีไซน์ของ OPPO F11 Pro นั้นต้องบอกเลยว่า สวยงามดูหรูหรามาก ๆ ด้านหน้าก็ได้หน้าจอเต็ม มีกล้องซ่อนได้ไปอีก หรือจะเป็นอย่างบอดี้ไล่เฉดสีอันหรูหราก็ชวนให้คิดไม่ได้ว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นเรือธงราคาสูง ๆ รึเปล่ากันนะ เรื่องดีไซน์ต้องยอมรับเลย ว่าสอบผ่านสุด ๆ ครับ
OPPO F11 Pro ที่วางจำหน่ายในบ้านเราจะมีด้วยกัน 2 สีคือ Thunder Black สีที่รีวิวอยู่นี้ กับสี Aurora Green ทั้ง 2 สีสวยเด่นกันคนละโทน แต่ก็มีการไล่เฉดสีที่สวยสะดุดตาไม่แพ้กันเลยครับ
สเปค OPPO F11 Pro
- หน้าจอ LTPS-TFT 6.5 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (อัตราส่วน 19.5:9)
- ซีพียู MediaTek Helio P70 Octa-core 2.1 GHz
- จีพียู Mali-G72 MP3
- แรม 6GB
- ความจุ 64GB/128GB
- รองรับ micro-SD สูงสุด 256GB
- แบตเตอรี่ 4,000 mAh
- รองรับระบบชาร์จไว VOOC 3.0
- กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล f/2.0
- กล้องหลังคู่ 48 + 5 ล้านพิกเซล f/1.79 + f/2.4
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง
- รองรับระบบสแกนใบหน้า
- รองรับ 2 ซิม
- ขนาดตัวเครื่อง 161.3 x 76.1 x 8.8 มม.
- น้ำหนัก 190 กรัม
- รัน Android 9.0 Pie ครอบด้วย ColorOS 6.0
ในส่วนของสเปคถือว่าอัปเกรดขึ้นมาจากรุ่นก่อนพอสมควร ทั้งหน้าจอที่ขนาดใหญ่ขึ้น เต็มตาไร้ติ่งขนาด 6.5 นิ้ว (จากเดิม 6.3 นิ้วบน F9), หน่วยประมวลผลเขยิบมาเป็น Helio P70, แรม 6GB, ความจุมีให้เลือก 64GB และ 128GB, แบตเตอรี่เยอะจุใจ 4000 mAh (ตอน F9 ให้มา 3,500 mAh) และที่สำคัญรองรับระบบชาร์จไวแบบใหม่ VOOC 3.0 อีกด้วย
คะแนนทดสอบเป็นไงบ้าง ?
ไหน ๆ ก็เข้าเรื่องสเปคแบบนี้แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงอยากทราบคะแนนทดสอบของ F11 Pro กันแล้วว่าจะออกมาอยู่ในระดับไหน แน่นอนว่าแอปที่เราใช้ทดสอบรอบนี้คือ AnTuTu Benchmark เหมือนเดิม โดยคะแนนทดสอบที่ได้ออกมาที่ 149504 คะแนนถือว่าสูงขึ้นกว่าเดิมพอควรเลยครับ
ระบบปฏิบัติการใหม่หมดจด
มาต่อในเรื่องของระบบปฏิบัติการและการใช้งานทั่ว ๆ ไป สำหรับ OPPO F11 Pro นั้นมาพร้อมกับ Android 9.0 Pie เวอร์ชั่นล่าสุด ณ ตอนนี้แล้ว แถมยังมีการครอบทับมาด้วย ColorOS 6.0 ก็ถือเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดของ OPPO เช่นกัน และบน F11 Pro นี้ก็ถือเป็นรุ่นแรกเลยที่ได้ใช้กัน
หน้าตามีการปรับเปลี่ยนไปจากเดิมพอควร มีความเรียบง่ายมากขึ้น ในส่วนของ UI UX ปรับให้ดูทันสมัยและน่าใช้ขึ้นไปอีก สังเกตได้จากพวกไอคอนต่าง ๆ มีความเรียบและ Flat เปลี่ยนไปจากเดิมพอควร ใช้ไอคอนในรูปแบบที่เหลี่ยมและกลมมากขึ้น
แถบการแจ้งเตือนด้านบนปรับโฉมไปเยอะเลย ไอคอนของ Toggle Switch หรือทางลัดต่าง ๆ แสดงผลได้ใหญ่มากขึ้น แบ่งสีสันได้อย่างสวยงามและเข้าใจง่ายทีเดียวครับ
หน้ารวมแอปมีมาให้เลือกใช้แล้วด้วย !
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาบน ColorOS 6.0 ก็คือหน้ารวมแอปหรือ App Drawer นั่นเอง อย่างที่ทราบกันว่าสมาร์ทโฟนของทาง OPPO นั้นปกติเวลาเราลงแอปต่าง ๆ ก็จะไปโผล่ที่หน้าแรกทั้งหมด ซึ่งมันอาจจะดูรกไปหน่อยสำหรับบางคน แต่รอบนี้ OPPO มีตัวเลือกหน้ารวมแอปสำหรับหน้าหลักมาให้แล้ว ในค่าเริ่มต้นจะยังไม่มีมาให้ แต่เราสามารถเข้าไปเลือกตั้งค่าเองได้ที่ Settings > Home Screen & Lock Screen Magazine > Homescreen Mode > Drawer Mode เลยครับ
โดยการเรียกหน้ารวมแอปนี้ก็ง่าย ๆ เพียงแค่เลื่อนจากแถบล่างสุดขึ้นมาก็จะเจอแอปทั้งหมดที่เรามีอยู่แล้วล่ะครับ สะดวกสำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่ชอบให้หน้าหลักนั้นรกไปด้วยแอปทั้งหมดน่ะนะ
ปุ่มควบคุมที่มีให้เลือกมากขึ้น
ในเรื่องของปุ่มกดบนหน้าจอหรือ Navigation Keys บน F11 Pro ก็มีทางเลือกมาให้เลือกปรับมากขึ้น จากเดิมเราสามารถสลับซ้าย-ขวาของปุ่มได้ รอบนี้มีปุ่มแบบใหม่แบบดั้งเดิมของ Android Pie มาให้ใช้ หรือจะเลือกใช้รูปแบบ Swipe-Up Gesture ปาด ๆ เลื่อน ๆ ก็ได้เช่นกันครับ
เข้าไปเลือกตั้งค่าได้ที่ Settings > Convenience Aid > Navigation Keys เลยครับ
หรือจะเป็นรูปแบบ Gesture & Motion แบบเดิมๆก็ยังใช้งานได้อยู่ อย่างการแตะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ, วาดรูป O เพื่อเปิดกล้อง หรือวาดรูป V เพื่อเปิดไฟฉาย, รับสายเมื่อเอาเครื่องแนบหู, ยกเครื่องแล้วปลุกหน้าจอ, เลื่อน 3 นิ้วลงเพื่อแคปหน้าจอ
เข้าไปตั้งค่าเปิดฟีเจอร์นี้ได้ที่ Settings > Smart & Convenient > Gesture & Motion ครับ
Smart SideBar ฟีเจอร์การใช้งานทางลัดเข้าแอปที่เคยมีอยู่บนรุ่นก่อน ก็ยังคงติดมาให้เราได้เลื่อนมาใช้งานได้อยู่ ตรงนี้จะเป็นแอปหลักๆที่ใช้บ่อย ๆ อย่าง กล้อง, Facebook, YouTube หรือทางลัดพวกการบันทึกหน้าจอก็เลือกตรงนี้ได้ หรืออยากตั้งค่าแอปอื่นๆเพิ่มเติมก็กด + ได้เลยครับ
หน้าจอใหญ่เต็มตา แบ่ง 2 หน้าจอสะใจ
ด้วยความที่หน้าจอใหญ่เต็มตาแบบไม่มีติ่งมากวนใจแบบนี้การจะแบ่งหน้าจอใช้งาน 2 แอปพร้อมกันก็ทำได้สบายๆ แถมบน ColorOS ยังมี Gesture อย่างการรูด 3 นิ้วขึ้นมาเพื่อแบ่งหน้าจอ (App Split-Screen) ได้ไม่ยากเย็น การสลับแอปต่างๆทำได้อย่างสมูทดีมากครับ
ประสิทธิภาพดีขึ้นด้วย Hyperboost
นอกจากเรื่องหน้าตาภายนอกที่เปลี่ยนไปหลายอย่างแล้ว ในส่วนของระบบภายในก็มีการอัปเกรดขึ้นมาพอสมควร ด้วยระบบ Hyperboost ที่ทาง OPPO ใส่เข้ามาบน ColorOS 6.0 นี้ ช่วยเร่งประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 31.91% โดยระบบ Hyperboost จะมาช่วยให้การทำงานทั้ง 3 อย่างทั้งระบบภายใน, เกม และแอปอื่น ๆ นั้นลื่นไหลมากขึ้นด้วยครับ
สแกนลายนิ้วมือที่หลังเครื่องง่ายและเร็ว
ในส่วนของระบบรักษาความปลอดภัย OPPO F11 Pro มีระบบสแกนลายนิ้วมือมาให้ที่ด้านหลังเครื่อง อยู่ในตำแหน่งมาตรฐาน ทำให้การเข้าถึง แตะสแกนทำงานสะดวกใช้ได้เลย แถมยังสแกนได้รวดเร็วเอามาก ๆ ด้วยเพียงแต่แตะปุ๊บก็ติดปั๊บไม่ต้องมากดปลุกจอก่อนแต่อย่างใด
สแกนใบหน้าก็ได้ กล้องจะยก
ถึงแม้กล้องหน้าจะไม่ได้มีโชว์อยู่ตลอดบนติ่ง แต่ระบบสแกนใบหน้าก็ยังมีติดมาให้บน F11 Pro นะจ๊ะ ซึ่งเมื่อเราตั้งค่าทุกอย่างพร้อม การสแกนใบหน้าตัวกล้อง Rising Camera ก็จะยกขึ้นมาเพื่อตรวจจับแบบทันทีแล้วพอสแกนปลดล็อคเสร็จก็จะเก็บเข้าไปเหมือนเดิมครับ ทำงานได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องรอนานครับ
Panoramic Screen จอเต็ม ขอบเขตกว้างที่สุดของ F Series !
เข้าสู่จุดอีกจุดเด่นหลักของรุ่นนี้อย่างหน้าจอ Panoramic Screen ที่รอบนี้ทาง OPPO จัดหนักมาให้กับซีรีส์ F เลยด้วยหน้าจอที่เต็มพื้นที่ด้านหน้า ขนาด 6.53 นิ้วแบบนี้ แถมยังใช้พื้นที่หน้าจอไปกว่า 90.9% กว้างที่สุดบนซีรีส์ F เลยก็ว่าได้ ขอบจอก็บางเฉียบเพียง 0.5 มม. ซ่อนพวกเซ็นเซอร์ไว้ในหน้าจอได้อย่างแนบเนียน แก้ปัญหาติ่งบนหน้าจอมาบดบังได้อย่างดีทีเดียว
จอเต็มไม่มีอะไรมากวนใจ ดูหนังนี่ฟินสุด ๆ
อย่างที่บอกไปครับ หน้าจอ Panoramic Screen เต็ม ๆ ตาแบบนี้ แสดงผลได้อย่างสวยงาม การจะเอามาดูคอนเทนต์หรือเล่นเกม ต้องบอกเลยว่าฟินสุด ๆ เพราะไม่มีอะไรมาบดบังหน้าจอแล้ว แถมหน้าจอที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ ใครที่ชอบดูหนังแบบเต็ม ๆ นี่ฟินสุด ๆ เลย อัตราส่วนหน้าจอแบบ 19.5:9 ก็แสดงผลได้กว้างกว่า
ตำแหน่งลำโพงใหม่แล้ว
ลำโพง ! รอบนี้มีการสลับตำแหน่งมาอยู่ที่ฝั่งขวาของมุมล่างเรียบร้อย ทำให้ดูเป็นตำแหน่งที่ดีสำหรับการใช้งาน เวลาถือแนวนอนไม่เผลอเอามือไปบังแล้ว เสียงที่ได้ก็ออกมาดังใช้ได้เลย ใช้ฟังเพลงหรือเล่นเกมได้อย่างดีทีเดียวครับ ส่วนการใช้งานผ่านหูฟังก็มีช่องหูฟัง 3.5 มม. มาให้ครับ เสียบใช้งานได้เลย
เล่นเกมกันต่อเลย !
ในเรื่องของการเล่นเกม อย่างที่บอกไป F11 Pro มาพร้อมกับระบบ Hyperboost ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพของระบบรวมถึงการเล่นเกมขึ้นกว่าเดิมถึง 31.91% เลยทีเดียว ซึ่งในการเล่นเกมตัวเครื่องจะมีแอป Game Assistant มาช่วยจัดการเคลียร์หน่วยความจำที่ไม่จำเป็น, จัดการระบบเน็ตเวิร์คให้เสถียรมากขึ้น, ปิดการแจ้งเตือน และที่สำคัญรีดประสิทธิภาพของตัวชิปเซ็ตให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นด้วย
ในส่วนของเกมที่ใช้ทดสอบในรอบนี้ก็ไม่พ้น PUBG Mobile เกมยอดฮิต ในค่าเริ่มต้นตัวเกมปรับคุณภาพกราฟิกมาที่ Medium หรือระดับกลางทั้งหมด แต่ด้วยความที่มี Hyberboost เราเลยลองของเปิดไปที่ระดับสูงสุด HD + High Framerate ไปเลย ผลก็ออกมาอย่างที่คิดครับ ตัวเกมสามารถรันได้อย่างลื่นไหล ไม่มีปัญหาติดขัดจริง ๆ ยิงกันมันสะใจมาก ๆ บนหน้าจอที่เต็มพื้นที่แบบนี้
ส่วนเกม ROV ก็สามารถปรับกราฟิกได้ที่ระดับสูงสุดทั้งหมดเช่นกัน เฟรมเรตในเกมนั้นอยู่ที่ระดับ 49 - 59fps ถือว่าทำได้ดีครับ อาจจะมีจังหวะที่เข้ากันหนัก ๆ แล้วเฟรมเรตตกลงมาบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับกระตุกจนเสียอาการครับ
ปิดท้ายที่เกมกราฟิกจัดเต็มอย่าง Asphalt 9 ตัวเกมเราปรับคุณภาพกราฟิกไว้สูงสุดไปเลย เฟรมเรตในเกมถือว่าค่อนข้างนิ่งทีเดียว ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนที่เจอจังหวะกระตุกอยู่บ้าง บน F11 Pro ถือว่าจัดการในเรื่องเล่นเกมค่อนข้างดีเลยล่ะ
กล้องหน้า Rising Camera เซลฟี่สวยเหมือนเคย
มาถึงเรื่องกล้องหน้าของรุ่นนี้ ถึงแม้จะเป็นกล้องซ่อนได้ตัวเล็ก ๆ แต่ความสามารถก็ไม่ธรรมดานะจ๊ะ ใช้งานได้ครบหมด ทั้งเรื่องของ AI Beauty, Portrait mode หน้าชัด-หลังเบลอ มี Auto HDR มาให้เลยด้วย
ตัวกล้องที่หลายคนเห็นอยู่นี่ไม่ต้องกลัวเรื่องความทนทานครับ เพราะเขาทดสอบมาแล้วว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 6 ปี (เฉลี่ยเปิดใช้งานวันละ 100 ครั้ง) หายห่วงได้เลย ตัวเครื่องยังมีระบบตรวจจับแรงโน้มถ่วง ถ้าเกิดเครื่องใกล้จะตกแล้วเปิดกล้องหน้าอยู่ ระบบจะทำการเก็บกล้องหน้าให้อัตโนมัติ ไม่ให้หล่นไปกระแทกได้ครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ OPPO F11 Pro
กล้องหลังคู่ความละเอียดเยอะ คุณสมบัติครบ !
เข้าสู่กล้องหลังกันบ้าง สำหรับ OPPO F11 Pro นี้ให้กล้องหลังคุณภาพสูงด้วยความละเอียดสูงสุดถึง 48 ล้านพิกเซล f/1.79 ในกล้องหลัก และมีกล้องวัดระยะสำหรับถ่ายหน้าชัด-หลังเบลอความละเอียด 5 ล้านพิกเซลอีกตัว เรื่องคุณภาพนี่หายห่วงได้เลยครับ
มาพร้อมกับระบบซอฟต์แวร์ AI Scene Recognition ช่วยในเรื่องการถ่ายภาพให้สวยงามยิ่งขึ้น มี AI คอยคำนวณฉากต่าง ๆ และปรับแต่งให้อย่างเหมาะสม โดยตัวซีนรอบนี้สามารถแยกแยะได้มากถึง 23 หมวดหมู่ จะถ่ายอาหาร, ถ่ายวิว, ถ่ายคนก็ปรับให้สวยงามยิ่งขึ้น รวมถึงมีระบบ Auto HDR มาให้ด้วย ถ่ายได้สวยทุกสภาพแสงกันเลย
มีระบบ Dazzle Colour ที่จะช่วยเร่งสีให้อิ่มมากขึ้น ปรับส่วนที่สว่างให้ได้ทั่วกว่าเดิม (คล้าย HDR) ช่วยให้ภาพที่ได้สวยในทุกสภาพแสงมากขึ้น และสีสันก็สดสวยอย่างที่หวังไว้ด้วยล่ะครับ
ภาพถ่ายเปรียบเทียบการเปิดและปิดของ Dazzle Colour
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ OPPO F11 Pro จะเห็นได้ว่าคุณภาพของกล้องหลังนั้นทำได้ดีทีเดียว รายละเอียดต่าง ๆ ของภาพเก็บได้ค่อนข้างครบถ้วน สีสันและรายละเอียดสวยงาม ได้ AI Scene Recognition ช่วยในการเลือกซีนได้อย่างดี
48 ล้านพิกเซลต้อง Ultra HD !
อย่างที่บอกไปว่ากล้องหลังความละเอียด 48 ล้านพิกเซลนั้นเป็นความละเอียดสูงสุด แต่ในค่าเริ่มต้นหรือค่าปกติจะตั้งมาที่ 12 ล้านพิกเซลเท่านั้น เพื่อให้ได้คุณสมบัติที่ครบที่สุด แต่เราสามารถเลือกความละเอียดสูงสุดได้ด้วยเช่นกัน โดยเลือกตั้งค่าที่ความละเอียดแล้วกดไปที่ 4:3 Ultra HD เลยครับ
แต่ความละเอียดสูงสุดนี้ฟีเจอร์บางอย่างจะใช้งานไม่ได้ด้วย ทั้งเรื่องการซูมที่ไม่สามารถทำได้ รวมถึง AI Scene Recognition หรือ Dazzle Colour ด้วย แต่คุณภาพโดยรวมจะคมขึันกว่าพอควรเลยในโหมดนี้
Ultra night mode กลางคืนสวยจริง รุ่นกลางก็ทำได้ !
ฟีเจอร์กล้องหลังอีกอย่างที่เพิ่มเข้ามาบน F11 Pro และน่าสนใจมาก ๆ ก็คือ Ultra night mode หรือที่มีให้เลือกว่า Nightscape นั่นเอง หลักการของโหมดนี้จะคล้ายกับตอน R17 Pro เลยคือ รวมภาพจากหลาย ๆ สภาพแสงแล้วมาประมวลผลให้เป็นภาพกลางคืนที่ยอดเยี่ยม
โดยกล้องของ F11 Pro นั้นจะประมวลผลเป็นเวลาราว ๆ 3 - 4 วินาทีก่อนที่จะรวมออกมาเป็นภาพกลางคืนสวย ๆ ครับ แต่จำเป็นต้องใช้กับภาพที่มีสภาพแสงน้อยจริง ๆ ถ้าเกิดมีแสงเพียงพอตัวโหมดนี้จะไม่ทำงานและเป็นแบบ Auto ปกติไปครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Ultra night mode
กล้องหลังคู่ "Portrait สวย แม้แสงน้อย"
มาถึงไฮไลท์ของรุ่นนี้อย่างกล้องหลังคู่ นอกจากการถ่ายวิวหรือภาพกลางคืนแล้วจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของรุ่นนี้ก็คือ การถ่ายภาพคนหรือ Portrait ที่ทาง OPPO ชูให้ว่าเป็นกล้องที่ถ่าย Portrait สวยในสภาพแสงน้อยเลยทีเดียว ปรับภาพลักษณ์ของกล้องจากเดิมที่เน้นเซลฟี่มาตลอดสู่ Portrait เหนือระดับไปอีก
ด้วยขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นเป็น 1/2.25" ค่ารูรับแสงกว้าง f/1.79 รวมถึงมีเทคโนโลยี Tetracell ที่เพิ่มขนาดพิกเซลให้ได้ 1.6 ไมครอน ช่วยให้ภาพในที่แสงน้อยนั้นทำได้ดียิ่งขึ้นไปอีก
โดยกล้องหลังคู่นี้จะใช้งานร่วมกันในการถ่าย Portrait มี AI ในการตรวจจับใบหน้าและโฟกัสที่ใบหน้าได้อย่างแม่นยำ ทำให้ภาพ Portrait ที่ออกมานั้นสวยงาม ในส่วนขอซอฟต์แวร์จะเพิ่มระบบ Multiframe Noise Reduction ลด Noise ได้ดีขึ้นและ Face Protection ที่นอกจากจะปรับฉากหลังให้ละลายแล้ว ตัวใบหน้าของแบบก็ยังสวยเนียนขึ้นในแบบธรรมดาอีกด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait ของ OPPO F11 Pro จะเห็นว่าภาพที่ได้นั้นสวยเนียนเป็นธรรมชาติมาก ๆ ในสภาพแสงน้อยก็ภาพยังคงคมชัด การละลายฉากหลังก็ทำได้ดีอีกต่างหาก ตัดขอบได้อย่างน่าประทับใจ แต่จุดที่น่าเสียดายบนรุ่นนี้ก็คือคราวนี้เราไม่สามารถเลือกพวก Portrait Lighting หรือเอฟเฟกต์แสงได้แล้ว ภาพที่ได้ก็จะมีเพียงเอฟเฟกต์ละลายฉากหลังอย่างเดียว
แบตเตอรี่จุใจ ใช้งานกันได้ยาว ๆ
ใช้งานกันมาอย่างต่อเนื่องแบบนี้แบตฯก็ควรจะใช้งานได้ยาวนานเช่นกัน สำหรับ OPPO F11 Pro ให้ความจุแบตเตอรี่มาเยอะถึง 4000mAh เรียกว่าเยอะสะใจเรา ๆ เลยจะเล่นเกม ถ่ายรูป ดูหนัง ใช้กันได้อย่างไม่ต้องกังวล เท่าที่ทดสอบมาสามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันเลย ด้วยหน่วยประมวลผลตัวใหม่อย่าง Helio P70 ที่ประหยัดพลังงานและทำงานร่วมกับ AI ได้เป็นอย่างดี ทำให้เรื่องแบตฯของ F11 Pro นั้นอึดมาก ๆ เลยล่ะครับ
ระบบชาร์จไว VOOC 3.0
เห็นแบตฯเยอะขนาดนี้ ถ้าชาร์จไม่เร็วนี่คงแย่เลยเนอะ แต่ก็ไม่ต้องห่วงอีกเช่นกันเพราะ OPPO เป็นผู้นำในเรื่องการชาร์จแบตมาแต่ไหนแต่ไรเหมือนกันครับ โดยบน F11 Pro นี้มาพร้อมกับระบบชาร์จตัวใหม่ VOOC 3.0 ที่อัปเกรดให้ชาร์จได้ไวกว่ารุ่นก่อนอีก 20% ด้วยการเพิ่มชิปตัวใหม่เข้าไปภายในและปรับเปลี่ยนวิธีการชาร์จอีกเล็กน้อย
โดยวิธีการชาร์จในรอบนี้จะเป็นการเพิ่มระยะเวลาชาร์จไวเข้าไปจากเดิม VOOC รุ่นก่อนจะลดความเร็วสูงสุดลงในช่วงที่แบตฯแตะ 75% แต่บน VOOC 3.0 นั้นจะลดความเร็วตอนที่แบตฯไปถึง 80% นั่นเอง ทำให้เราสามารถชาร์จได้เต็มในเวลาราว ๆ 80 นาทีเท่านั้นเองจ้าา (เทียบกับแบบเก่าจะใช้เวลาประมาณ 105 นาที)
นอกจากนี้เรื่องความปลอดภัย VOOC 3.0 ยังคงรักษาเรื่องนี้ได้อย่างดี เพราะมีระบบการรักษาความปลอดภัยถึง 5 ขั้นตอน สามารถใช้งานไปชาร์จไปก็ยังปลอดภัยไม่เกิดความร้อนสะสมที่ตัวเครื่อง แถม VOOC 3.0 นี้ยังได้รับมาตรฐานความปลอดภัยจาก TÜV SÜD การันตีอีกด้วย มั่นใจได้เลย
ราคาค่าตัว !
ปิดท้ายกันด้วยราคาค่าตัวของ OPPO F11 Pro สำหรับรุ่นนี้มีให้เลือก 2 ความจุคือ 6GB + 64GB และ 6GB + 128GB มีราคาค่าตัวดังนี้ครับ
OPPO F11 Pro (6GB + 64GB) = 9,990 บาท
(วางจำหน่าย 2 สี Thunder Black, Aurora Green)
OPPO F11 Pro (6GB + 128GB) = 10,490 บาท
(วางจำหน่าย 3 สี Thunder Black, Aurora Green, Waterfall Gray)
สรุปได้แล้วเนาะ !
สำหรับ OPPO F11 Pro ก็ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นกลางที่ออกมาครบเครื่องมาก ๆ ทั้งเรื่องดีไซน์ที่ OPPO โดดเด่นมาตลอด รุ่นนี้ก็สวยหรู ดูแพง ด้วยบอดี้ไล่เฉดสีสามมิติแบบ Triple Color Gradient, หน้าจอที่เต็มมากขึ้นไร้ปัญหาติ่งมากวนใจกับ Panoramic Screen, พร้อมซ่อนนวัตกรรมกล้องหน้า Rising Camera ที่ดูแตกต่าง ระบบภายในก็มีการยกเครื่องใหม่หมดเป็น ColorOS 6.0 พร้อม Android 9.0 Pie ทำงานได้อย่างลื่นไหล ไร้กังวลด้วยระบบ Hyperboost เรื่องแบตเตอรี่ก็ครบด้วยความจุแบตฯที่เยอะสะใจ 4000 mAh รวมถึงระบบชาร์จไว VOOC 3.0 ที่เร็วขึ้นกว่าเดิม 20% และยังคงความปลอดภัยไว้ได้ดี ส่วนจุดขายหลักอย่างกล้องหลัง Portrait สวย แม้แสงน้อย ก็ไม่ใช่แค่ราคาคุยเพราะทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของ F11 Pro นั้นช่วยให้ภาพลางคืนนั้นสวยมากขึ้นอย่างแท้จริง Portrait ที่อาจจะเป็นเรื่องยากในที่แสงน้อย รอบนี้สวยสมกับที่ตั้งใจเปลี่ยนภาพจาก Selfie Expert สู่ Brilliant Portrait จริง ๆ ครับ
รวม ๆ แล้ว OPPO F11 Pro เหมาะกับเพื่อน ๆ ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนหน้าตาสวยดูดี แบบที่ถือไปไหนก็โดดเด่นสะดุดตา และได้ฟีเจอร์ที่ครบครัน ทั้งหน้าจอที่เต็ม ระบบชาร์จที่ไวสุด ๆ และที่สำคัญกล้องที่สวยจนคุณจะต้องหลงรัก !!
จุดเด่น
- ดีไซน์ตัวเครื่องสวยหรูด้วย Triple Color Gradient
- หน้าจอ Panoramic Screen 6.5 นิ้ว ใหญ่แสดงผลเต็มตา
- ระบบปฏิบัติการภายในตัวใหม่ทำงานลื่นไหล มี Hyperboost
- กล้องหลังคู่ 48 ล้านพิกเซล Portrait สวย แม้แสงน้อยจริง ๆ
- แบตเตอรี่ความจุเยอะสะใจ ใช้งานได้ยาวนาน
- รองรับระบบ VOOC 3.0 ชาร์จไว ชาร์จปลอดภัย
จุดสังเกต
- ตัวเครื่องแอบหนักไปหน่อย (190 กรัม)
- ยังคงใช้พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ micro-USB
- ถาดซิมเป็นแบบไฮบริด
รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite