Unbox : พรีวิวแกะกล่อง OPPO F11 Pro หน้าจอเต็มสุด กล้องหลังคู่เด็ดจัด
พร้อมดีไซน์ไล่เฉดสีสามมิติสวยชวนตะลึง !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความพรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของ OPPO ที่เพิ่งจะประกาศเปิดราคาไปสด ๆ ร้อน ๆ นี่เอง บอกแบบนี้จะเป็นรุ่นใดไปไม่ได้เลยนอกจาก OPPO F11 Pro นั่นเองงงง !! เพิ่งจะเปิดตัวใหม่แบบนี้หลายคนคงอยากทราบข้อมูลกันอย่างแน่นอน วันนี้เราก็มีพรีวิวแกะกล่องมาให้อ่านกันสักหน่อย มาดูกันว่ารุ่นนี้มีจุดเด่นอะไรที่จะมัดใจเราได้อีก เนาะ ! :D
แกะกล่องกันเลย !
เริ่มแรกมาดูที่ตัวกล่องกันก่อนเลย ด้านหน้าของกล่องมาพร้อมรายละเอียดชื่อรุ่นและความจุครบถ้วนแบบที่ OPPO ถนัดอยู่แล้ว โดยมีภาพประกอบตัวเครื่องทั้งหน้าและหลังแบบคร่าว ๆ ให้ชม เอ้า ! เห็นแบบนี้แล้ว จบพรีวิวได้เลยเนอะ (เดี๋ยววววววว ! 555)
รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยก็จะเป็นความจุที่ 6GB + 64GB เป็นรุ่นมาตรฐานครับ มีบอกอยู่ที่มุมซ้ายบนนี้แล้ว เช็คชัด ๆ เนอะ 6GB + 64GB
ตัวกล่องมาในแบบปกติเราสามารถดึงกล่องขึ้นจากด้านบนได้เลย เปิดมาชั้นแรกจะเจอกับกล่องที่ใส่พวกคู่มือการใช้งานและอุปกรณ์เสริมอย่างเคสใสและเข็มจิ้มถาดซิมครับ
ลึกลงไปอีกหน่อยก็จะเจอตัวเครื่องที่เป็นพระเอกของเรานอนรออยู่นิ่ง ๆ แล้ว ระหว่างที่รอปลุกตื่น (เปิดเครื่อง) ก็มาดูอุปกรณ์ข้างในก่อนก่อนเนอะ
อุปกรณ์ภายในต่าง ๆ ก็ให้มาแบบมาตรฐานครบหมด วางกันอย่างเป็นระเบียบตามช่องที่จัดแจงไว้ ทั้งหูฟัง, สาย micro-USB, อแดปเตอร์ชาร์จที่รองรับ VOOC 3.0
เบ็ดเสร็จแล้วอุปกรณ์ทั้งหมดที่ให้มาจะมีด้วยกัน 7 อย่างดังนี้ครับ
- ตัวเครื่อง F11 Pro
- คู่มือการใช้งาน
- เคสซิลิโคน
- สาย micro-USB
- อแดปเตอร์ VOOC 3.0
- หูฟัง (แจ็ค 3.5 มม.)
- เข็มจิ้มถาดซิม
อ๊ะ…จริง ๆ มีฟิล์มกันรอยติดมาให้ที่ตัวเครื่องเลยด้วย เรียกว่าพร้อมใช้เช่นเคยตามสไตล์ค่ายนี้ล่ะ
อุปกรณ์ที่รอบนี้ดูอลังการไม่แพ้เรือธงเลยก็คืออแดปเตอร์ชาร์จตัวใหม่ที่รองรับ VOOC 3.0 เพราะมีขนาดที่ใหญ่พอ ๆ กับตอน SuperVOOC ของ R17 Pro เลย เทียบให้เห็นชัด ๆ กับอแดปเตอร์ VOOC ของรุ่นก่อนจะเห็นว่าใหญ่ขึ้นพอควรเลย
สำหรับกำลังไฟที่รองรับได้ของอแดปเตอร์ตัวนี้ยังอยู่ที่ 20W เท่าเดิม (5V 4A) แต่ทำไมอแดปเตอร์ต้องใหญ่ขึ้นและชาร์จได้เร็วกว่าเดิมได้ยังไง อันนี้เดี๋ยวอธิบายต่อด้านล่างนาจา :P
สายเชื่อมต่อยังเป็น micro-USB ก็เป็นแบบเดียวกับตอน F9 นั่นล่ะครับ มีแถบสีเขียวอยู่ด้านใน
ตัวเคสซิลิโคนที่ให้มารอบนี้ไม่ใสเท่าไหร่ ออกขุ่น ๆ หน่อย ประกบกับเครื่องแล้วจะมีหน้าตาประมาณในภาพนี่แหละครับ ช่วยป้องกันรอยขีดข่วนที่ตัวเครื่องได้ดีเลย และผิวสัมผัสทำได้นุ่มมือใช้ได้ครับ
จับตัวเครื่องเลยดีกว่า !
เอ้า ! มัวแต่ดูของในกล่องตั้งนานได้เวลามาจับตัวเครื่องจริงกันแล้วล่ะ สำหรับ OPPO F11 Pro รอบนี้ก็ถือว่ามีการอัปเกรดในเรื่องดีไซน์ขึ้นไออีกขั้น ดูภายนอกแล้วคิดว่าเป็นมือถือระดับเรือธงได้เลย เพราะดีไซน์หน้าจอที่เต็มตามาก ๆ แบบนี้ แก้ปัญหาติ่งไปได้อย่างดีทีเดียว โดยหน้าจอแบบนี้ของ F11 Pro ใช้ชื่อเรียกว่า Panoramic Screen มีขนาดใหญ่ถึง 6.5 นิ้ว
ตัวหน้าจอใช้ชนิด IPS LCD มาพร้อมอัตราส่วนแบบ 19.5:9 ยาวสวยและให้สีสันที่คมชัดใช้ได้บนความละเอียดแบบ FHD+ ด้วยความที่ไม่มีติ่งไปทั้งหมดแบบนี้ ทำให้การใช้พื้นที่ด้านหน้านั้นเต็มกว่า 90.9% เลยล่ะ เรียกว่าด้านหน้าทั้งหมดนี้แทบจะเป็นหน้าจอไปหมดแล้ว
พอไร้ติ่งแบบนี้ด้านบนสุดของหน้าจอก็เรียบเนียนไม่มีอะไรมากวนใจแล้ว แสดงผลได้อย่างไร้รอยต่อกันไปเลยล่ะ
ส่วนล่างหน้าจอจะแอบเห็นว่ามีขอบอยู่นิดหน่อย ไม่ถึงกับหนามากเมื่อเทียบกับอัตราส่วนของตัวเครื่องแบบเต็ม ๆ ครับ
กรอบเครื่องจะเป็นผิวสัมผัสแบบด้านจับได้สบายมือ ไม่ให้ความรู้สึกเหนียวมือเท่าไหร่ ปุ่มกดวางอยู่ที่มุมเดิมเหมือนกับรุ่นก่อน ๆ ของ OPPO ครับ โดยปุ่ม Power อยู่ที่มุมขวานี้มีการเพิ่มลูกเล่นสีเขียวเข้าไปที่ปุ่มเด่นขึ้นมาด้วย พร้อมกับช่องใส่ซิมที่อยู่เหนือปุ่มกด ถาดซิมจะเป็นแบบไฮบริดรองรับ micro-SD สูงสุด 256GB ครับ
ส่วนปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงจะอยู่ที่ด้านซ้ายมือ แบ่งเป็น 2 ปุ่ม ตำแหน่งการวางทำได้ดี แตะกดได้ง่ายไม่ต้องเอื้อมนิ้วมือเท่าไหร่
ด้านบนของตัวเครื่องจะมีช่องของกล้องหน้าที่สามารถยกขึ้นมาได้อยู่ตรงกลาง และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ วางไว้อยู่ครับ
ไหน ๆ ก็พูดถึงแล้วเปิดให้ดูกันสักหน่อย เมื่อเราเปิดกล้องหน้าขึ้นมา ตัวกล้องจะยกขึ้นมาแบบนี้เลย วางกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซลไว้เด่น ๆ ตรงกลางสวยเด่นใช้ได้เลย ทาง OPPO ใช้ชื่อเรียกกล้องยกได้แบบนี้ว่า Rising Camera นั่นเองครับ
พอร์ตการเชื่อมต่อยังอยู่ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง น่าเสียดายที่ยังคงใช้เป็นพอร์ต micro-USB อยู่ แจ็คหูฟัง 3.5 มม.ก็ยังมีอยู่ด้วย แต่ ! ที่น่าสนใจที่สุดของรอบนี้ก็คือทาง OPPO เลือกสลับตำแหน่งลำโพงหลักของตัวเครื่องมาไว้ที่ฝั่งขวามือเรียบร้อย หลังจากที่วางไว้ที่มุมซ้ายมาตลอด และเราก็บ่นทุกครั้งเพราะเวลาใช้งานอุ้งมือมักจะไปบังน่ะนะ ปรับแก้มาให้แล้วขอบพระคุณ -/\-
ฝาหลังไล่เฉดสีสวย 3 มิติไปเลย !
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ให้สีสันไล่เฉดสีสวยงามและแตกต่างอีกเช่นเคยครับ สำหรับ OPPO F11 Pro นั้นมีการไล่เฉดสีแบบ 3 มิติทำมุมแนวทแยงได้อย่างสวยงาม อย่างสีที่เราได้จับนี้เป็นสี Thunder Black เป็นการผสานสีกันระหว่าง น้ำเงิน ดำ และม่วงได้อย่างมีมิติ
สังเกตว่าตัวโลโก้ OPPO ด้านหลังก็ปรับให้วางแบบแนวนอนแล้วด้วย ตัวฝาหลังจะมีการเคลือบผิวสัมผัสแบบ Nano Printing ทำให้เวลาสะท้อนกับแสงนั้นดูแวววาวมากขึ้น ยังคงเด่นในเรื่องนี้ไม่เปลี่ยนจริง ๆ ครับ OPPO เนี่ย
กล้องหลังวางตำแหน่งเป็นแนวตั้งแล้ว เรียงลงมา 2 ตัวแบ่งเป็นกล้องความละเอียด 48 + 5 ล้านพิกเซลครับ ถัดลงมามีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้วยครับ
รวม ๆ ในเรื่องดีไซน์ต้องบอกเลยว่า OPPO ยังคงทำได้อย่างยอดเยี่ยมครับ ดูภายนอกบอกได้เลยว่าสวยประหนึ่งมือถือระดับเรือธงได้เลย สวยเนี้ยบดูดีมาก ๆ ทั้งหน้าจอที่เต็มตาแบบสุด ๆ ไม่มีติ่งมากวนใจ มี Rising Camera กล้องหน้ายกได้คอยยกคอยเก็บเมื่อต้องการใช้งาน ฝาหลังไล่เฉดสีสุดแวววาวไปอีกขั้นของการไล่เฉดสีเลยด้วยครับ แจ่ม ๆ
สเปค OPPO F11 Pro
- หน้าจอ IPS 6.5 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (อัตราส่วน 19.5:9)
- ซีพียู MediaTek Helio P70 Octa-core 2.1 GHz
- จีพียู Mali-G72 MP3
- แรม 6GB
- ความจุ 64GB
- รองรับ micro-SD สูงสุด 256GB
- แบตเตอรี่ 4,000 mAh
- รองรับระบบชาร์จไว VOOC 3.0
- กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล f/2.0
- กล้องหลังคู่ 48 + 5 ล้านพิกเซล f/1.79 + f/2.4
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง
- รองรับระบบสแกนใบหน้า
- รองรับ 2 ซิม
- รัน Android 9.0 Pie ครอบด้วย ColorOS 6.0
ในส่วนของสเปคถือว่าอัปเกรดขึ้นมาจากรุ่นก่อนพอสมควร ทั้งหน้าจอที่ขนาดใหญ่ขึ้น เต็มตาไร้ติ่ง, หน่วยประมวลผลเขยิบมาเป็น Helio P70, แรม 6GB, ความจุ 64GB, แบตเตอรี่เยอะจุใจ 4000 mAh พร้อมรองรับระบบชาร์จไว VOOC 3.0 อีกด้วย
ColorOS 6.0 แล้วนะ !
รุ่นใหม่ล่าสุดแบบนี้ซอฟต์แวร์ก็เป็นเวอร์ชั่นใหม่หมดเลยด้วยกับ ColorOS 6.0 ที่ครอบทับบน Android 9.0 Pie อีกที OPPO F11 Pro ถือว่าเป็นตัวแรกเลยที่ใช้ซอฟต์แวร์ตัวนี้ หน้าตา UI มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมพอสมควร สวยเรียบมากขึ้นไปอีกครับ
ไอคอนต่าง ๆ ดูสบายตากว่าเดิม Wallpaper ชุดใหม่เพียบ ความสามารถหลัก ๆ ของ ColorOS อย่าง Smart Bar ก็ติดมาให้อยู่เช่นเคยครับ
ColorOS 6.0 ใหม่สามารถให้เราเพิ่มหน้ารวมแอปหรือ App Drawer ได้แล้วด้วย หลายคนที่โหลดแอปเยอะ ๆ แล้วไม่ชอบให้มันรกในหน้าแรกก็เลือกเปิดตรงนี้ได้ น่าจะถูกใจกันเนอะ
มี Hyperboost เร็วขึ้นกว่าเดิม 30%
นอกจากหน้าตา UI จะเปลี่ยนไปแล้ว ตัวระบบการทำงานภายในของ ColorOS 6.0 ก็ยังปรับปรุงประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย โดยมีการเพิ่มระบบ Hyperboost เพิ่มเข้ามา ช่วยในเรื่องของการทำงานทั้งหมด ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 30% ไม่ใช่แค่เรื่องการเล่นเกม แต่รวมถึงการเปิดแอปและระบบภายในทั้งหมดด้วยนะ
กล้องหน้ายกได้ Rising Camera
อีกหนึ่งจุดเด่นของรุ่นนี้ก็คือกล้องหน้ายกได้หรือ Rising Camera นั่นเอง ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่อีกครั้ง หลังจากที่เคยทำตอน Find X ยกกล้องทั้งชุด รอบนี้ยกกล้องเพียงกล้องหน้าเท่านั้น เวลาไม่ใช้งานก็จะไม่มีติ่งหรือกล้องมากวนใจบนหน้าจอ มันดีตรงนี้แหละ :P
ตัวกล้องสามารถยกขึ้นลงได้กว่า 200,000 ครั้ง เรียกว่าใช้งานได้ยาวนานกว่า 6 ปี (เฉลี่ยวันละ 100 ครั้ง) เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นเรื่องความทนทานที่หลายคนอาจจะไม่มั่นใจ บอกเลยว่ารุ่นนี้ไม่มีปัญหาครับ รวมถึงตัวเครื่องยังมีกลไกซ่อนกล้องอัตโนมัติ เมื่อเครื่องจะตกหล่นอีกด้วย ไม่ต้องกลัวว่าเวลาเซลฟี่อยู่แล้วเผลอทำหลุดมือตัวกล้องจะไปกระแทกอะไรจนหักแล้วนะ
ตัวกล้องหน้ารอบนี้ให้ความละเอียดมาที่ 16 ล้านพิกเซล เซลฟี่ได้สวยทุกมุมมองกับโหมด AI Beauty ที่มีการปรับระดับความเนียนของใบหน้าได้อย่างสมดุล ไม่หลอกตาจนเกินไป รวมถึงโหมด Portrait หน้าชัด-หลังเบลอจากกล้องหน้าก็ทำได้เช่นกัน
กล้องหลังคู่ความละเอียดสูง 48 ล้านพิกเซล
ถึงแม้ว่า OPPO จะโดดเด่นด้านกล้องหน้าอย่างมาก แต่บนกล้องหลังรุ่นนี้ก็ไม่ได้ทิ้งเพราะจัดเต็มมาด้วยกล้องความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล บวกกับกล้องวัดระยะอีก 5 ล้านพิกเซล ใช้ในการถ่ายภาพ Portrait ได้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ตัวกล้องหลักมาพร้อมสเปค 48 ล้านพิกเซล f/1.79 + 5 ล้านพิกเซล f/2.4
มาพร้อมโหมดการใช้งานมากมาย ทั้ง Auto ที่มี AI Scene Recognition เช่นเคย, Night Scape หรือ Ultra Night mode ที่เราเคยเห็นมาแล้วบน R17 Pro หรือ Expert ที่ให้เราได้ปรับค่าการถ่ายภาพต่าง ๆ ได้เองประหนึ่งกล้องโปรฯ เรียกว่าค่อนข้างครบเลยทีเดียว
นอกจากนี้ตัวกล้องยังมี Dazzle Mode หรือ Chroma Boost ที่จะช่วยเร่งสีของภาพถ่ายให้สดยิ่งขึ้น ปรับสภาพแสงต่าง ๆ ในภาพให้สวยยิ่งขึ้นอีกด้วย แตะเปิดได้ที่ไอคอนด้านบนแบบนี้เลย
Portrait รอบนี้ก็ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น เพราะมาพร้อมฮาร์ดแวร์ที่ดีด้วยความละเอียดสูงสุดถึง 48 ล้านพิกเซล f/1.79 ตามสโลแกนเลยว่า Portrait สวย แม้แสงน้อย ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มรูปแบบจากเดิมที่เราคงคุ้นชินกับคำว่า Selfie Expert ของ OPPO คราวนี้ก็จะเน้นไปที่กล้องหลังด้วย Portrait Master ไปเลย
แบตฯเยอะจุใจพร้อมชาร์จไวอีกเช่นเคย
เรื่องแบตเตอรี่ของ F11 Pro รอบนี้จัดเต็มให้แบตมาเยอะถึง 4000mAh เรียกว่าเยอะมาก ๆ ใช้งานกันได้แบบเต็มที่ตลอดทั้งวันแน่นอน แถมตัวชิปเซ็ตภายในอย่าง Helio P70 นั้นยังทำงานร่วมกับ AI ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้ดีขึ้นไปอีก เชื่อว่ารุ่นนี้จะเป็นรุ่นที่แบตฯอึดมาก ๆ อย่างแน่นอน
แบตฯใหญ่ขึ้นแล้วชาร์จก็ต้องไวทันใจด้วยถูกไหมเอ่ย ? หลังจากที่รุ่นที่แล้ว F9 ทาง OPPO เลือกให้ระบบ VOOC Flash Charge เข้ามาเป็นรุ่นแรกของซีรีส์ F ไปแล้ว บน F11 Pro ก็มีการอัปเกรด VOOC ให้เป็นเวอร์ชั่น 3.0 อีก ทำความเร็วได้มากกว่ารุ่นก่อนถึง 20% ถึงแม้อแดปเตอร์จะยังคงจ่ายไฟได้ที่ 20W ก็ตาม เหตุที่ทำให้เร็วขึ้นได้เพราะรอบนี้ OPPO เลือกที่จะเพิ่มตัวชิปเซ็ตเข้าไปอีก เพื่อให้จ่ายไฟที่ความเร็วสูงสุดไปจนถึงช่วง 80% แล้วค่อยลดความเร็วลง ต่างจากรุ่นก่อนที่ 75% แล้วลดความเร็วนั่นเองครับ ทำให้เราสามารถชาร์จ F11 Pro ที่มีแบตเตอรี่ 4000mAh เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 80 นาทีเท่านั้นเอง (แบบเก่า 105 นาที) เร็วมาก ๆ *0*
สรุปหลังลองจับ !
ยังคงทำให้ประทับใจได้เสมอสำหรับซีรีส์ F ของ OPPO ที่ค่อย ๆ เพิ่มเทคโนโลยีระดับสูงของรุ่นใหญ่ ๆ มาให้ อย่างบน F11 Pro นี้ก็ถือว่าจัดมาให้ครบทีเดียว ทั้งหน้าจอเต็มจอแบบจริง ๆ กับ Panoramic Screen ใหญ่ถึง 6.5 นิ้วไร้ติ่งมากวนใจ, กล้องหน้า Rising Camera ที่ซ่อนได้อย่างแนบเนียน เรียกใช้งานได้อย่างทันใจ, ฝาหลังที่ไล่เฉดสีได้สวยงามประหนึ่งเรือธง, กล้องหลังคู่ความละเอียดสูงเน้น Portrait ในแสงน้อยได้อย่างดี, ระบบชาร์จ VOOC ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง รวมไปถึงระบบปฏิบัติการตัวใหม่ ColorOS 6.0 ที่ปรับโฉมใหม่หมดระบบต่าง ๆ เร็วขึ้น ลื่นไหลมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าความสดใหม่มาอยู่ที่รุ่นนี้แล้วจริง ๆ ครับ
ราคาและโปรโมชั่นการจอง
ปิดท้ายด้วยราคาและโปรโมชั่นการจองกันเลย สำหรับ OPPO F11 Pro รุ่นนี้ก็เปิดราคาค่าตัวมาที่ 10,990 บาท มีให้เลือก 2 สีคือ Thunder Black และ Aurora Green พร้อมเปิดให้จองอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 16 - 27 มี.ค.นี้ และสำหรับเพื่อนๆที่สั่งจองล่วงหน้าจะได้รับของพรีเมี่ยมเป็น OPPO Smart Bag และ VIP Card (ประกันจอแตกฟรีภายใน 1 ปี) มูลค่ารวมกว่า 6,590 บาทไปเลยครับ :D
พรีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite