Preview : Samsung Galaxy Note 8 การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของ
สมาร์ทโฟนคู่ปากกาที่จัดเต็มทุกอณูแบบที่สาวกรอคอย !!
สวัสดีเพื่อนๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับพรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆกับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะเปิดตัวไปสดๆร้อนๆอีกแล้ว จะเป็นรุ่นไหนไปไม่ได้นอกจาก Samsung Galaxy Note 8 นั่นเอง เอง เอง ! หลังจากที่อั้นมานานจากตอน Note 7 รอบนี้ก็เปิดตัวมาได้อย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว ขนเทคโนโลยีดั่งเดิมจาก Galaxy Note ร่วมกับ Galaxy S8 Series ได้อย่างลงตัวทีเดียว เดี๋ยวเรามาดูกันดีกว่าว่าการกลับมาครั้งนี้จะสมการรอคอยสักแค่ไหน :D
แรกสัมผัส Galaxy Note 8
สัมผัสแรกของ Note 8 ในรอบนี้ต้องบอกเลยว่ามาพร้อมความพรีเมี่ยมแบบจัดเต็มจริงๆ ถึงแม้ว่ารวมๆจะดูคล้ายกับ Galaxy S8+ มากๆก็เถอะ แต่ความรู้สึกจะต่างกันออกไปนิดหน่อย ด้วยการดีไซน์ของตัวเครื่องที่มีความเหลี่ยมกว่าเล็กน้อย เลยทำให้พอจะแยกออกว่ารุ่นนี้ไม่เหมือนก้บ S8 ซะทีเดียวน่ะนะ
Galaxy Note 8 มาพร้อมหน้าจอ Super Amoled ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด Quad-HD+ (2960x1440 พิกเซล) จอยาวๆแบบ infinity Display อัตราส่วน 18.5:9 ใช้พื้นที่ของหน้าจอแบบเต็มที่เช่นเคย ขนาดหน้าจอถ้าเทียบกับของ S8+ ที่ใหญ่ขึ้นมา 0.1 นิ้ว ก็ไม่เชิงว่าใหญ่ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเท่าที่ลองสัมผัสก็ไม่ได้ต่างกันมากครับ
กระจกหน้าจอยังเป็นแบบโค้ง 2 ด้านเหมือนกัน แต่ด้วยความเหลี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์ของ Note Series เลยทำให้ขอบหน้าจอมีความชันมากกว่า ไม่โค้งเท่ากับตอน S8 แต่ก็นิดหน่อยล่ะครับ ไม่ได้แบนราบเหมือนตอน Note 5 แล้ว ด้วยขอบหน้าจอที่บางชิดขอบขนาดนี้และการใช้พื้นที่หน้าจอแบบเต็มๆนี้ เลยทำให้ตัวเครื่องมีขนาดที่พอดีมือมากๆ ไม่ใหญ่จนเกินไป เหมาะมือไม่แพ้กับตอน S8+ เลยล่ะครับ
เซ็นเซอร์ต่างๆที่ใส่มาด้านบนของหน้าจอก็มีครบหมดเช่นกันเริ่มจาก ไฟ LED แจ้งเตือน , ไฟ Infrared , เซ็นเซอร์วัดแสงเซ็นเซอร์จับระยะ , ลำโพงสนทนา , กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และสุดท้ายเป็น Iris Scanner หรือเซ็นเซอร์สแกนม่านตาเช่นเดียวกับตอน S8 ด้วยความที่เซ็นเซอร์มากมายแบบนี้ตัวกระจกหน้าจอด้านหน้าเลยจำเป็นต้องใช้สีดำในทุกสี (ไม่งั้นเห็นเซ็นเซอร์เยอะๆแบบนี้บนจอสีขาวคงขัดตาน่าดู)
ปุ่มกดต่างๆยังคงเป็นแบบ On Screen Button เช่นเคย ตรงด้านล่างนี้ก็จะมีฝังปุ่มโฮมแบบ Pressure Touch ที่รับแรงกดหนักๆประหนึ่งเป็นปุ่มโฮมจริงๆอยู่ด้วย ซึ่งหากเรากดตรงนี้ลงไปแรงๆจะมี Habtic Feedback หรือแรงสั่นให้รู้ว่ากดโดนปุ่มโฮมด้วยเช่นกันครับ
พลิกกลับมาด้านหลังจะเห็นความต่างกับ Galaxy S8 เดิมอย่างชัดเจน ด้วยเลนส์กล้องคู่ขนาดใหญ่วางอยู่ตรงด้านบนของแผ่นหลังนี้ ตัว Heart Rate Monitor ถูกย้ายกลับมาที่ด้านขวาติดกับเลนส์กล้องเพื่อกันการเอานิ้วไปแตะโดนเลนส์กล้องเมื่อสแกนลายนิ้วมือ แน่นอนอย่างที่เห็นครับตัวสแกนลายนิ้วมือนั้นก็ยังคงตั้งอยู่ที่มุมขวาสุดนี้เหมือนกัน การวางนิ้วในการสแกนสำหรับผู้ใช้ใหม่ๆก็อาจจะไม่ชินเหมือนเดิม เพราะตำแหน่งมันออกจะฝืนไปหน่อย แต่ส่วนตัวผมที่ใช้ S8+ มาอยู่แล้วไม่ถึงกับฝืนมากมายอะไร แต่ก็ยังคิดว่าถ้าวางตำแหน่งไว้ตรงกลางเลยน่าจะง่ายกว่านี้น่ะนะ
ด้านหลังยังคงใช้กระจกโค้งเช่นเดียวกับด้านหน้า ให้ความรู้สึกเวลาจับถือได้อย่างเนียนมือ แต่แน่นอนรอยนิ้วมือก็ยังคงติดมาง่ายเช่นเคยกับวัสดุสวยๆแบบนี้ (ใช้งานจริงก็คงใส่เคสกันอยู่แล้วไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอกเนาะเรื่องนี้)
ด้านบนมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบไฮบริดเลือกเอาว่าจะใส่แบบซิมเดียว หนึ่งเม็ม หรือ 2 ซิมก็ตามสะดวก
ด้านขวามือมีเพียงปุ่ม Power ไว้ใช้เปิด-ปิด หรือล็อกเครื่อง
ด้านซ้ายมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่ม Bixby มาให้เช่นเดียวกับ Galaxy S8
กรอบตัวเครื่องรอบนี้ยังคงเป็นอลูมิเนียมเกรด 7000 เช่นเดียวกับตอน Note 5 เพียงแต่รอบนี้สามารถขัดเงาให้วัสดุดูเนียนตาขึ้นไปอีกได้ด้วย แต่ตรงนี้ต้องบอกหน่อยว่าด้วยความเหลี่ยมถึงแม้จะเล็กๆ แต่ความรู้สึกเวลาจับถือของ Note 8 แอบมีจุดตัดหรือความไม่เนียนไปทั้งตัวแบบตอน S8 นิดหน่อย เวลาจับอาจมีขัดๆหน่อย แต่เชื่อว่าสุดท้ายพอได้ใส่เคสก็คงไม่เจอปัญหาตรงนี้แล้วล่ะ ><
การวางตำแหน่งของพอร์ทการเชื่อมต่อเหมือนเดิมเลย ด้านล่างไล่ไปจากด้านซ้ายมีแจ็คหูฟัง 3.5 มม. , พอร์ท USB Type-C , ลำโพงหลักของตัวเครื่อง และช่องเสียบปากกา S Pen
รวมๆแล้วจะบอกว่าดีไซน์ของ Galaxy Note 8 นั้นเหมือนกับ S8+ เอามาตีให้มันเหลี่ยมและเพิ่มกล้องคู่กับปากกาเข้าไปก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนจากรอบที่แล้วติดมาหมด ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ Infinity Display แสดงผลได้เต็มตาจริงจัง รวมถึงตัวบอดี้ที่มีความเนียนของกระจกและกรอบโลหะได้อย่างสวยงามดีทีเดียว
สีสันของ Galaxy Note 8 รอบนี้เปิดตัวมาด้วยกัน 4 สีคือ Midnight Black (ดำเงา) , Maple Gold (ทอง) Orchid Gray (เทาม่วง) และ DeepSea-Blue (น้ำเงิน) ทั้ง 4 สีจะมีด้านหน้าเป็นสีดำเหมือนกันหมด สีหลักๆจะอยู่ที่กรอบและฝาหลังเช่นเดียวกับตอน Galaxy S8 นั่นแหละครับ
สเปค Samsung Galaxy Note 8
- รัน Android 7.1 Nougat ครอบด้วย Touchwiz UI เวอร์ชั่นใหม่
- หน้าจอ Super Amoled โค้ง 6.3 นิ้ว ความละเอียด QHD+ 2960x1440 พิกเซล อัตราส่วน 18.5:9
- ชิปเซ็ต Exynos 8895 Octa-core 2.3GHz
- ชิปกราฟิก Mali-G71MP20
- แรม 6GB
- รอม 64GB
- รองรับ Micro-SD สูงสุด 256GB
- แบตเตอรี่ 3300 mAh
- รองรับระบบ Fast Charge
- กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล รองรับ Auto-Focus f/1.7
- กล้องหลังคู่ 12 ล้านพิกเซล + 12 ล้านพิกเซล f/1.7
- รองรับ 2 ซิมผ่านถาดซิมไฮบริด
- รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง
- รองรับระบบสแกนม่านตา
- รองรับปากกา S Pen
- กันน้ำกันฝุ่นได้ตามมาตรฐาน IP68
- มี 4 สี ดำ , ทอง , เทาม่วง และ น้ำเงิน
ถ้าดูจากสเปคที่เห็นด้านบนต้องบอกเลยว่า อัพเกรดจาก S8 ขึ้นมาไม่เยอะมากนัก หลักๆเลยก็คือหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นจาก 6.2 ไปเป็น 6.3 (เทียบกับ S8+)ความจุแรมจาก 4GB มาเป็น 6GB แล้ว (สักทีนะ) แบตเตอรี่แอบน้อยลงหน่อยเหลือเพียง 3300 mAh จากเดิม 3500 mAh (เทียบกับ S8+)แต่จุดที่เด่นจริงๆเลยคือ Galaxy Note 8 นี้มาพร้อมกับกล้องหลังคู่ความละเอียด 12 + 12 ล้านพิกเซลด้วย โดยเลนส์ตัวหลักนั้นก็ยังเป็นตัวเดียวกับของ S8 นั่นแหละ แต่อีกตัวที่เพิ่มเข้ามาเป็นเลนส์ซูมที่มีความสามารถในการซูม 2X ได้แบบ Optical นี่แหละที่น่าจะเห็นเด่นชัดจริงๆของเรื่องสเปค
ซอฟต์แวร์บน Galaxy Note 8
Note 8 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 7.1.1 Nougat (ใหม่กว่า S8)มาการครอบทับด้วย Touchwiz UI ตัวใหม่ แต่หน้าตารวมๆก็ไม่ต่างจากรอบที่แล้วมากนัก เน้นสีสันเรียบๆที่บ่งบอกกลุ่มของแอปนั้นๆได้เป็นอย่างดี
ระบบ Multi Window ใหม่เรียก 2 แอปง่ายๆด้วย App Pair
มีจุดที่เพิ่มขึ้นมาจากตอน S8 นิดหน่อย อย่างที่ทราบว่าตอน S8 นั้นมีการปรับหน้าจอเป็นอัตราส่วน 18.5:9 เพื่ิอให้การทำงานแบ่งหน้าจอนั้นสะวดกยิ่งขึ้น พอมาบน Note 8 ก็ปรับให้ใช้งานง่ายขึ้น เราสามารถเลือกเปิด 2 หน้าต่างได้ในคลิกเดียว ด้วยฟีเจอร์ที่เรียกว่า App Pair อย่างปกติเราชอบเปิดแอป YouTube คู่กับ Chrome อยู่แล้ว ก็ตั้งไว้เลยว่าจะใช้ 2 แอปนี้คู่กัน พอเลือกเสร็จตัว App Pair ก็จะโผล่บน App Edge เลือกเข้าได้อย่างรวดเร็วทีเดียวล่ะ
ระบบความปลอดภัยทั้ง Iris Scanner , Face Recognition
เซ็นเซอร์ก็ให้มาครบครันอย่างที่บอกไปครับ มีทั้ง Iris Scanner , Face Recognition หรือ Fingerprint Scanner ก็ด้วยเช่นกัน ตรงนี้คงไม่ใหม่อะไรมากมายจากตอน S8 ใช้งานได้รวดเร็วเช่นเคยครับ
จุดที่สแกนลายนิ้วเดิมแต่นิ้วไม่แตะไปโดนเลนส์กล้องแล้ว !? ตรงนี้เหมือนว่าจะเป็นการรับ Feedback จากลูกค้าไปได้ดีทีเดียว หลังจากที่ตอน S8 บ่นๆกันว่าวางตำแหน่งไว้ใกล้กับเลนส์กล้องเกินไป เวลาสแกนบางทีจะไปแตะโดนกล้องทำให้หน้าเลนส์มัวไปได้อีก รอบนี้เลยแก้โดยการเขยิบเอา Heart Rate Monitor มาขั้นกลางแทน แต่ตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าใช้งานจริงบ่อยๆจะเผลอไปโดนบ้างไหม แต่เชื่อว่าตัว HRM ต้องไปรอยนิ้วมือแทนแน่นอนล่ะครับ ><
ปากกา S Pen ใหม่ไฉไลน่าใช้กว่าเดิม
ถ้าพูดถึงรุ่น Galaxy Note จะไม่พูดถึงเรื่องปากกาคู่ใจหรือ S Pen ก็กระไรอยู่เนาะ รอบนี้มีการปรับปรุงมาใหม่อย่างดีทีเดียว ไซส์ยังคงเท่ากับตอน Note 7 เดิม รูปทรงก็ด้วยเช่นกัน ความสามารถต่างๆก็ยกจากตอน Note 7 มาครบ (อั้นไว้นานจริงๆ :P)ตัว S Pen จะสามารถรองรับแรงกดได้สูงสุดถึง 4096 ระดับ มาพร้อมความสามารถกันน้ำกันฝุ่น IP68 แบบเดียวกับตัวเครื่อง
หัวปากการอบนี้มีขนาดเล็กลงมากเพียง 0.7 มม. ทำให้การขีดๆเขียนๆนั้นใกล้เคียงกับปากกาจริงๆมากขึ้น แถมรอบนี้ตัวหัวปากกายังทำด้วยวัสดุแบบยางที่จะช่วยให้การเขียนบนหน้าจอปลอดภัยมากขึ้น ไม่ทำให้ตัวหน้าจอเป็นรอยเขียนเยอะแบบเดิม และเรื่องเสียงที่มีการขีดๆลงบนหน้าจอก็หมดไปเช่นกัน
ตัวปุ่มของ S Pen มีการเขยิบขึ้นไปอีกนิด เพื่อกันการเผลอไปกดโดนแบบรุ่นก่อนๆ ซึ่งตำแหน่งนี้ก็กำลังพอดีมือทีเดียวล่ะครับ เอื้อมไปกดก็ได้ ใช้งานทั่วไปก็ไม่เผลอไปโดนแล้ว
ตัวแอปที่ใส่มาให้ก็มี Samsung Note ไฮไลท์หลักเช่นเคย เราสามารถเขียน จดโน้ตด้วยหัวปากกามากมายที่มีให้เลือกใช้ หรือจะวาดรูปด้วยแปลงสีรูปแบบต่างๆก็ได้เช่นกัน ตรงนี้ติดมาให้ครบเหมือนตอน Note 7 นั่นแหละครับ
Screen off Memo สามารถจดบันทึกและตั้งปักหมุดไว้ที่หน้า AOD (Always On Display) เช่นกัน ตรงนีั้ทาง Samsung บอกว่าสามารถจดโน้ตด่วนได้ถึง 100 หน้าเลยทีเดียว (แต่เอาจริงๆถ้าเยอะขนาดนี้แนะนำเปิดจดใน Samsung Note เลยน่าจะง่ายกว่านะ :P)
Air Command ยังคงเป็นรูปแบบแอปกลมๆโผล่มาจากมุมจอเหมือนเดิม แต่รอบนี้มีเพิ่มทางลัดเข้าไปให้เราใส่ได้สูงสุดถึง 10 แอป สะดวกต่อการใช้งานทางลัดต่างๆมากขึ้นไป
ทางลัดที่คุ้นตาอย่างพวก Smart Select , Screen Write ยกมาครบ มีจากของ Note 7 อย่างพวก Translate , Glance , Magnify มาให้ด้วยเช่นกัน ตัว Translate เห็นว่าจะฉลาดมากขึ้นสามารถแปลภาษาเป็นประโยคได้แล้ว แปลงสกุลเงินก็ได้เช่นกัน
Live Message การเขียนข้อความเป็นไฟล์ GIF ตรงนี้เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามา ส่วนตัวผมว่าน่าสนใจเพราะเราสามารถเขียนข้อความด้วยลายมือจะใส่เอฟเฟกต์ตัวอังษรวิ๊งๆเข้าไปก็ได้ ทำให้มีลูกเล่นในการส่งข้อความไปอีก ตรงนี้สามารถบันทึกเป็นไฟล์ GIF ส่งให้เพื่อนๆได้ด้วย ง่ายดีครับ
Bixby ผู้ช่วยอัจฉริยะ
ตรงนี้ก็คงไม่ถือเป็นเรื่องใหม่ซะทีเดียว เพราะเปิดตัวมาตั้งแต่ S8 แล้ว แต่เอาเข้าจริงก็มาเริ่มใช้ได้จริงๆเมื่อวานนี้เอง ซึ่งแน่นอนว่าต้อนรับการเปิดตัวของ Note 8 พอดิบพอดี ทำให้เราสามารถใช้ฟีเจอร์เด่นๆที่โฆษณาไว้ได้เกือบครบกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Bixby Voice สั่งงานให้จัดการอะไรๆในเครื่องได้ผ่านคำสั่งเสียง (ตอนนี้รอบรับแค่ภาษาเกาหลีและอังกฤษ) หรือจะดูเป็นแบบ Card ที่หน้า Bixby Home ก็ได้เช่นกัน
กล้องหลังคู่ 12 ล้านพิกเซล ไฟล์ก็คม ซูมก็ชัด
มาเข้าไฮไลท์หลักอีกอย่างของ Note 8 กันหน่อย อย่างที่บอกว่ากล้องหลังของรุ่นนี้มาด้วยกัน 2 ตัว ตัวหลักเป็น 12 ล้านพิกเซล (ตัวเดียวกับ S8)มีค่ารูรับแสง f/1.7 ส่วนอีกตัวเป็นเลนส์ซูม 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.4 ทั้งคู่มาพร้อมระบบ Dual Pixel (ช่วยในเรื่องโฟกัสไว) และ Dual OIS ที่จะช่วยในเรื่องของระบบกันสั่นที่ดียิ่งขึ้น
ซึ่งโหมดการทำงานหน้าชัดหลังเบลอตามสมัยนิยมของ Samsung จะใช้ชื่อว่า Live Focus โดยจะสามารถโฟกัสภาพหน้าชัดหลังเบลอได้ผ่านซอฟต์แวร์ ซึ่งเมื่อเปิดโหมดนี้ตัวกล้องจะสลับมาใช้งานเลนส์ซูมทันที ทำให้ได้ระยะที่เหมาะกับการถ่ายภาพ Portrait อย่างจริงจังเลยล่ะ
นอกจากโหมด Live Focus หรือหน้าชัดหลังเบลอแล้ว ก็ยังมีโหมด Dual Capture หรือการถ่าย 2 ภาพในครั้งเดียวอีกด้วย ซึ่งเมื่อเราเปิดโหมด Live Focus แล้ว จะมีไอคอน Dual Capture มาให้เราได้เลือกปรับ ตรงนี้ก็จะเป็นการถ่ายภาพ 2 ภาพในครั้งเดียว เก็บมา 2 ระยะทั้งช่วงปกติ (จากเลนส์หลัก) และช่วงซูม (จากเลนส์ตัวที่ 2) ตรงนี้เราสามารถมาเลือกเซฟไฟล์ภาพใหม่ได้ว่าจะเอาช่วงไหนทีหลัง
เช่นเดียวกับความเบลอของฉากหลังที่เราก็สามารถเลือกปรับระดับความเบลอได้คร่าวๆ 3 ระดับคือ ต่ำ กลาง และสูง แต่ตรงนี้ต้องบอกก่อนว่าตอนถ่ายจำเป็นต้องขึ้นโชว์ว่า Live Focus ทำงานแล้วด้วย (ระยะความห่างเหมาะสมจนสามารถเบลอฉากหลังได้)
ตัวอย่างภาพถ่ายเล็กๆน้อยๆจากกล้องหลังของ Galaxy Note 8
นอกจากนี้อีกจุดเด่นที่น่าสนใของกล้องหลังคู่บน Note 8 ก็คือเลนส์ทั้ง 2 ตัวจะมีระบบ OIS ทั้งคู่ (Dual OIS)ปกติเราจะเห็นเลนส์ตัวหลักเท่านั้นี่มีระบบกันสั่นนี้ ซึ่งถ้ามีระบบกันสั่นคู่มาให้แบบนี้การที่เราจะถ่ายภาพนิ่งหรือวิดีโอในที่แสงน้อยกับระยะซูมก็จะคงความนิ่งมากขึ้นกว่าเดิม (ปกติเวลาซูม 2X ทีไรภาพสั่นง่ายทุกที :P)
สรุปความน่าโดน !
ก็ถือว่าเป็นการกลับมาที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของสมาร์ทโฟนเรือธงซีรีส์ Note หลังจากที่ห่างหายแบบจริงจังไป 1 ปีเต็มบยรุ่นเรือธง รอบนี้กลับมาได้ครบครันจริงๆ ทั้งเรื่องของรูปลักษณ์ไร้กรอบ ไร้ปุ่มโฮมเช่นเดียวกับ S8 , สเปคภายในที่จัดเต็มมาให้แบบไม่กั๊กด้วยหน่วยประมวลผลตัวแรง Exynos 8895 แรม 6GB รอม 64GB , กล้องหลังที่อัพเกรดใส่กล้องคู่มาให้ได้ว้าวกันอย่างจริงจังซะที ความสามารถก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ หรือจะเป็นจุดเด่นหลักเลยอย่างเรื่องปากกา S Pen ที่ถือว่าได้อัพเกรดกันอย่างจริงๆจังและจะได้ใช้กันอย่างแน่นอน หลังจากที่หายไปเลย ปล่อยให้ Note 5 เป็นเรือธงของซีรีส์มาร่วม 2 ปีเต็ม สาวก Galaxy Note Series ที่รอการมาของเรือธงที่ดีที่สุดของ Samsung ไม่ผิดหวังแน่นอนกับ Galaxy Note 8 รุ่นนี้ครับ ! :D
เทียบกับ Galaxy S8+ !?
ก่อนจากกันเชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่าละถ้า Note 8 นี่ไปเทียบกับ S8 หรือ S8+ ก่อนหน้านี้ล่ะ จะต่างกันมากแค่ไหน ตรงนี้บอกเลยว่ามีหลายจุดที่ต่างไปเยอะทีเดียว และก็ยังมีหลายจุดที่เหมือนกันมากเช่นกัน ตรงนี้รอได้เครื่องมารีวิวเต็มๆแล้วจะทำบทความเทียบให้อ่านกันเนาะ ตอนนี้ขอทิ้งท้ายไปด้วยภาพคู่พี่น้องระหว่าง Galaxy Note 8 และ Galaxy S8+ กันหน่อยละกัน แล้วพอกันใหม่ในรีวิวฉบับเต็มครับ :D
พรีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite