Review : Samsung Galaxy S6 และ S6 Edge ที่สุดแห่งสมาร์ทโฟนดีไซน์
พรีเมี่ยมจาก Samsung !!
สวัสดีเพื่อนๆ TechXcite อีกครั้งครับ กลับมาพบกับรีวิวสมาร์ทโฟนตัวใหม่ๆกับ เฮียแม๊พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับ 2 สมาร์ทโฟนเรือธงใหม่จาก Samsung อย่าง Galaxy S6 และ S6 Edge นั่นเอง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทางทีมงามได้พรีวิวเจ้า 2 สมาร์ทโฟนตัวนี้ไปคร่าวๆแล้ว ทีนี้ก็มาดูรีวิวจากการใช้งานจริงกันซะหน่อยว่าการใช้งานจริงๆแล้วจะน่าประทับใจแค่ไหน :D
รับชมรายการ "ป๋าเอกเรือธง EP1:
Samsung Galaxy S6 และ Samsung Galaxy S6 Edge" ได้ที่นี่
การดีไซน์
เรื่องการดีไซน์นั้นก็เรียกว่ารอบนี้ทาง Samsung จัดเต็มมาให้จริงๆ เพราะว่ามาพร้อมกับวัสดุอย่างดี อาทิ กระจก Gorilla Glass 4 ทั้งด้านหน้า-หลัง และกรอบเครื่องที่เป็นโลหะเกรด 6013 ที่จะให้ความทนทานกว่าโลหะทั่วๆไป
ตัวกระจกนั้นจะมีความแวววาวเวลาสะท้อนแสงก็จะเห็นเป็นประกาย เปลี่ยนสีไปตามมุมมองได้ด้วย อย่างในภาพตัวเครื่อง Galaxy S6 สีดำนั้นหากมีการสะท้อนกับแสงและมุมมองที่พอดีก็จะเห็นเป็นสีน้ำเงินเข้มสวยงามมากๆเลยล่ะ :3
และสำหรับรุ่น Galaxy S6 ปกตินั้นตัวหน้าจอจะมีความโค้งแบบ 2.5D คล้ายกับบน Galaxy Note 4 หรือบน iPhone 6 ด้วย
แต่ถ้าเป็น Galaxy S6 Edge ก็เรียกว่าโค้งกว่าเป็นแบบ 3D เลยล่ะ แหม่จอไหลซะ :P
อย่างที่บอกว่าตัวกรอบตัวเครื่องนั้นใช้วัสดุเป็นโลหะเกรดดีมากๆ เวลาการจับถือของทั้ง 2 นั้นก็ให้ความรู้สึกที่พรีเมี่ยมไม่น้อยเลย จับแล้วรู้ว่าเป็นโลหะจริงๆให้ความรู้สึกเย็นและแข็งแกร่งมากๆ
หน้าตาด้านหน้าก็ถือว่ายังคงความเป็นสมาร์ทโฟนจาก Samsung Galaxy ได้อย่างดี มีปุ่ม Home อยู่เด่นๆอยู่ล่างหน้าจอ ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าตัวด้านหน้านั้นมีความคล้ายกับ Galaxy S4 มากๆเลยทีเดียว (ไม่เหมือนกับ Galaxy S5 ที่มีขอบหน้าจอหนาเพราะกันน้ำได้น่ะ)
แต่ในเรื่องของสเปคหน้าจอนั้นก็จัดว่า ให้มาเต็มมีการอัพเกรดจากเรือธงรุ่นก่อนอย่างมากเลยทีเดียว เพราะว่ามาพร้อมกับหน้าจอ Super-Amoled ขนาด 5.1 นิ้ว (เท่ากับ S5) แต่ความละเอียดนั้นเพิ่มมาเป็น Quad-HD หรือ 2K (2560x1440 พิกเซล) เลยทีเดียว และในเรื่องของความสด และความคมชัดจัดว่ายอดเยี่ยมมากๆ เพราะมีความหนาแน่นของพิกเซลถึง 577 PPI ถ้าคิดว่าความละเอียด 2K บน Galaxy Note 4 นั้นสวยแล้ว บน Galaxy S6 ทั้ง 2 รุ่นนี้สวยคมกว่าอีกนะ *0*
ด้านบนหน้าจอนั้นจะมีตัวไฟ LED แจ้งเตือนอยู่ด้านซ้ายมือ , เซ็นเซอร์จับระยะ , เซ็นเซอร์วัดแสง , ลำโพงสนทนาที่เป็นเอกลักษณ์ของ Samsung และกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซลครับผม
ส่วนด้านล่างหน้าจอนั้นก็อย่างที่บอกว่ายังคงมีปุ่มโฮมเด่นๆอยู่ตรงกลางเช่นเคยและมีการปรับปรุงตัวระบบสแกนลายนิ้วมือให้ใช้งานได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น และรอบๆก็มีปุ่มสัมผัส Recent App ด้านซ้าย , ด้านขวาเป็นปุ่ม Back
ซึ่งที่บอกว่าการใช้งานระบบสแกนนิ้วมือนั้นง่ายกว่าเดิมก็เพราะว่าเปลี่ยนมาให้แตะค้างไว้แบบไอโฟนแทน ต่างจากแบบเดิมที่ต้องรูดลงๆเยอะเลยล่ะ อีกทั้งการสแกนยังทำได้เร็วมากๆเลยด้วย
ด้านซ้านมือนั้นก็จะเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และบริเวญขอบข้างเครื่องนี้จะสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 รุ่นนี้นิดหน่อย เนื่องด้วยหน้าจอที่โค้งของ Galaxy S6 Edge นั้นตัวขอบข้างเลยบางลงไปอีกนิดหน่อยฮะ
ด้านขวาจะมีปุ่ม Power และช่องใส่ซิมแบบ Nano-SIM (สำหรับ Galaxy S6)
ส่วนด้านบนก็จะมีพอร์ท Infared อยู่ตรงกลาง และไมโครโฟนตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวน และสำหรับ Galaxy S6 Edge ก็จะเลื่อนช่องใส่ Nano-SIM ไว้ด้านบนนี้แทน
ด้านล่างนั้นจะมีพอร์ทหูฟัง 3.5 มม. , พอร์ท Micro-USB , ไมโครโฟนสำหรับสนทนา และลำโพงหลักของตัวเครื่อง ส่วนที่หลายๆคนเห็นจากภาพหลุดก่อนหน้านี้ว่าเหมือนกับ iPhone 6 ต่างๆนาๆ อันนี้เราขอไม่พูดถึงดูเอาเองละกัน ><
ด้านหลังของตัวเครื่องก็ยังคงความพรีเมี่ยมขึ้นมากๆ มาพร้อมกระจก Gorilla Glass 4 แวววาวไม่แพ้ด้านหน้าเลย เวลาสะท้อนนี่ดูกี่ทีก็สวยมากๆเลยล่ะ
แต่ข้อเสียหลักๆของกระจกสุดงามแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของลายนิ้วมือเป็นแน่แท้ เพราะตัวเครื่องจะเก็บรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดีแทบไม่ต้องใช้อุปกรณ์ตามหารอยนิ้วมือแบบในหนังสายลับเลยล่ะ ><
และด้านหลังนี้ก็จะมีตัวกล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซลอยู่ตรงกลางเด่นๆ และข้างๆจะมีไฟแฟลชกับตัว Heart Rate Monitor อยู่ด้วย
สเปคของ Galaxy S6 และ S6 Edge
นอกจากในเรื่องของการดีไซน์ วัสดุงานประกอบจะจัดหนักแล้ว ในเรื่องของสเปคก็เรียกว่า Galaxy S6 ทั้ง 2 รุ่นนี้ก็จัดเต็มสุดๆไม่แพ้กัน และสเปคภายในของทั้ง 2 รุ่นก็เรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกันเลยล่ะ
- หน้าจอ Super-Amoled ขนาด 5.1 นิ้วความละเอียด Quad-HD (2560x1440 พิกเซล)
- หน่วยประมวลผล Exynos 7420 64-Bit Octa-core (Quad-core Cortex-A57 2.1GHz & Quad-core Cortex-A53 1.5GHz)
- หน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-T760 GPU
- แรม 3GB LPDDR4
- ความจุ 32GB
- ไม่สามารถเพิ่ม Micro-SD การ์ดได้
- แบตเตอรี่ 2550 mAh (Galaxy S6) , 2600 mAh (Galaxy S6 Edge)
- กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล f/1.9
- กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล f/1.9
และในเรื่องการเชื่อมต่อก็คงไม่ต้องกังวลเลย เรือธงแบบนี้จัดมาให้ครบ รองรับ 3G ทุกคลื่นความถี่ในไทย , 4G ก็ด้วยเช่นกันใช้ของ True , dtac สบาย และ NFC ก็มีด้วย
>>> เช็คสเปค Samsung Galaxy S6 แบบละเอียดได้ที่นี่ <<<
>>> เช็คสเปค Samsung Galaxy S6 Edge แบบละเอียดได้ที่นี่ <<<
User Interface และฟีเจอร์เด่น
Galaxy S6 ทั้ง 2 นี้รันบนระบบปฏิบัติการ Android Lollipop 5.0.2 และครอบด้วย Touchwiz UI ตัวล่าสุดอีกด้วย ซึ่งหากพูดถึงในเรื่องของความลื่นไหล ก็จัดว่าเนียน ลื่นไหลสุดๆ มีความเคลื่อนไหว ตามสไตล์ Material Design เลยล่ะ
ในส่วนของหน้า UI นอกจากจะลื่นขึ้นแล้วตัวไอคอนต่างๆก็ยังมีการปรับให้เรียบขึ้นไปอีก (จากเดิมก็เรียบๆอยู่แล้ว) และแอปในตัวเครื่องก็ใส่มาไม่เยอะให้หนักเหมือนกับรุ่นก่อนๆแล้ว มีเฉพาะจำเป็นๆเท่านั้น หรือหากไม่ชอบแอปไหน และไม่ได้ใช้งานก็สามารถ Disable หรือว่าลบทิ้งไปได้เลยด้วยนา
หน้า Homescreen หลักก็สามารถปรับตัว Grid ได้ว่าจะเอาเป็น 4x4 , 4x5 หรือ 5x5
หน้าซ้ายสุดมีหน้า Briefing ไว้รวมข่าวเช่นเคย
Multi Windows
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นที่ทาง Samsung คิดค้นขึ้นมาเลย สำหรับ Multi Windows ที่เริ่มใช้บน Galaxy Note 2 และก็เริ่มผูกความสามารถมากับสมาร์ทโฟนตัวใหม่ๆเรื่อยมา และความสามารถก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆคล้ายกับบน Galaxy Note 4 ที่เราสามารถปาดจากมุมบน ย่อลงมาให้เป็นหน้าจอเล็กๆได้
หรือว่าจะใช้การกดปุ่ม Recent App ค้างไว้สักครู่ เพื่อเรียกโหมดนี้ขึ้นมาก็ได้ (คล้ายกับรุ่นก่อนที่กดปุ่ม Back ค้างไว้)
Smart Manager
การจัดการต่างๆบน Touchwiz เวอร์ชั่นใหม่นี้นั้นก็จะถูกจับรวมมาอยู่บนแอปที่ชื่อ Smart Manager แทนแล้ว ซึ่งจะสามารถจัดการหลายๆอย่างได้ในนี้เลย อาทิ
Battery - ก็จะให้เราได้ดูการใช้งานแบตเตอรี่ หรือสลับไปโหมด Power Saving Mode - Ultra Power Saving Mode เป็นต้น
Storage - ตรงนี้ก็จะให้เราได้จัดการกับหน่วยความจำภายในเครื่อง อาทิ ดูรายละเอียดความจุที่ใช้ไปว่า หมดไปกับอะไรบ้าง , ลบไฟล์ขยะหรือ Cache ที่ไม่จำเป็นออกจากเครื่อง เป็นต้น
RAM - ตรงนี้จะคล้ายกับตัว Active Application บนรุ่นก่อนๆที่กดปุ่มโฮมค้างไว้ประมาณนั้น คือตัวแอปจะบอกว่าตอนนี้เราใช้แรมไปแล้วเท่าไหร่ และหมดไปกับอะไรบ้าง สามารถมาเคลียร์แรมได้จากตรงนี้ฮะ
Secure - และระบบรักษาความปลอดภัย ด้วยตัว KNOX
Theme Center
ระบบ Theme บนสมาร์ทโฟนของ Samsung Galaxy นั้นเริ่มนำร่องมาจากสมาร์ทโฟน Galaxy A-Series เมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ในช่วงแรกๆที่ออกมานั้นดูเหมือนว่าความสามรถต่างๆจะยังไม่เยอะเท่าคู่แข่งนัก แต่ล่าสุดตัว Theme Center ที่อยู่บน Galaxy S6 นี้ก็จะมีความสามารถมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
คือเมื่อเราเปลี่ยนตัว Theme แล้วตัวหน้าตาแทบจะทั้งหมดของตัวเครื่องนั้นจะเปลี่ยนไปเลย อาทิ ไอคอน , โทนเสียง , สีของ UI หลัก หรือ Wallpaper เป็นต้น เรียกว่าไม่ได้เปลี่ยนแค่ชุด ไอคอน และ Wallpaper เหมือนกับบน Galaxy A-Series ละ
S-Health
แอปดูแลสุขภาพบน Galaxy S6 นั้นก็จะมีการอัพเกรดเป็นเวอร์ชั่น 4.0 เวอร์ชั่นล่าสุด ที่มีการปรับหน้า UI ให้ใช้งานง่ายขึ้น ตัวนับการเดิน , ตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ และอื่นๆอยู่ในหน้านี้หน้าเดียวเลย
ใช้งานร่วมกับตัว Heart Rate Monitor เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้เช่นเคยฮะ
Edge Screen ของ Galaxy S6 Edge
และแน่นอนครับว่าสำหรับหน้าจอโค้งด้านข้างทั้งสองด้านใน Samsung Galaxy S6 Edge นั้นก็ไม่ได้ทำมาเพื่อเพิ่มความหรูหรา (และราคา) แต่เพียงอย่างเดียว ทว่ายังมีฟังก์ชั่นในการใช้งานที่น่าสนใจอยู่พอสมควรทีเดียว
โดยบริเวณขอบด้านข้างหน้าจอของ Samsung Galaxy S6 Edge นั้นเราสามารถถูขึ้นลงไปมา (แหม่...ยังกะขอหวย) เพื่อเปิดแถบหน้าจอด้านข้างหรือ Information Stream ได้
ทั้งนี้สำหรับหน้าจอ Information Stream นั้นสามารถกดแตะเลื่อนเพื่อดูฟีดข้อมูลต่างๆที่เราตั้งค่าไว้ผ่าน Settings ได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนข้อความต่างๆ, Twitter หรือสภาพอากาศต่างๆ อย่างไรก็ตาม Information Stream สามารถแสดงผลได้เพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น (ไม่โชว์สองด้านพร้อมกัน)
นอกจากนี้เรายังมีฟีเจอร์ People Edge ที่เป็นเหมือนกับช็อทคัทในการเข้าถึงคอนแทกต์สำคัญของคุณ เพียงปัดหน้าจอด้านข้างด้านใดก็แล้วแต่ที่คุณกำหนดไว้ก็จะสามารถเข้าถึง People Edge ได้แล้ว
สำหรับ People Edge สามารถตั้งค่าได้พร้อมกันถึง 5 คนและสามารถกำหนดสีที่เป็นตัวแทนของแต่ละคอนแทกต์ได้ รวมไปจนถึงสามารถกำหนดค่าได้ว่าจะให้แสดงแถบ People Edge ทางด้านซ้ายหรือด้านขวาแล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล ซึ่งตรงนี้คุณสามารถกดโทรศัพท์หรือส่งข้อความด่วนได้ทันทีอีกด้วย
และที่สำคัญที่สุด (และเท่ที่สุด) ใน Samsung Galaxy S6 Edge นั้นก็คือหลังจากที่เราได้ตั้งค่า People Edge ไปแล้ว หากคนรู้จักเหล่านี้โทรศัพท์เข้ามาและเราคว่ำหน้าจอมือถืออยู่ เราจะสังเกตเห็นไฟวิ่งไป-มาเป็นสีของคอนแทกต์ที่ติดต่อโทรศัพท์เข้ามาหาเราอยู่นั่นเอง ยิ่งถ้าวางบนโต๊ะที่เป็นกระจกสะท้อนด้วยจะยิ่งเพิ่มความอลังการเข้าไปอีกหลายเท่าทีเดียว ><
ประสิทธิภาพของ Galaxy S6 และ Galaxy S6 Edge
ดูฟีเจอร์คร่าวๆของ Galaxy S6 ทั้ง 2 ตัวไปแล้ว ก็มาถึงคราวของการวัดประสิทธิภาพกันบ้าง โดยทั้ง 2 รุ่นนี้ก็จะมีสเปคภายในเหมือนๆกันเลย ละถ้าเอามาลองทดสอบกับแอป AnTuTu Benchmark ยอดนิยมจะออกมาที่เท่าไหร่ ? และจากเท่าที่ทดสอบผลก็ออกมาอยู่ระดับสูงสุดๆของตลาดเลยทีเดียว ที่คะแนน 59,000 - 69,000 เลยล่ะ โอ้โหว !!
การเล่นเกมบน Galaxy S6
จากผลคะแนนการทดสอบที่ออกมาสูงระดับนี้แล้ว เรียกว่าการเล่นเกมนั้นคงไม่ต้องห่วงอะไรแล้วล่ะ เลยลองจับเอา Galaxy S6 มาทดสอบด้วยเกม The Fast & Furious Legacy , Modern Combat 5 , Dungeon Hunter 5 , Spiderman Unlimited ดูหน่อย
ผลก็ออกมาตามคาดเลยล่ะ รันได้ลื่นไหลสุดๆ ไม่มีอการกระตุกให้เห็นเลยล่ะ สุดยอด ! *0*
ความบันเทิงบน Galaxy S6 และ S6 Edge
มาต่อกันที่เรื่องของความบันเทิงในด้านการดูหนัง ฟังเพลงกันบ้าง ซึ่งในจุดนี้ทาง Samsung นั้นโดดเด่นมากๆเลย เพราะว่ามีหน้าจออันสวยสด คมเข้มมากๆการันตีอยู่แล้ว ซึ่งหากจะเอามาดูหนังสักเรื่องหรือไฟล์วิดีโอผ่าน YouTube ก็ให้ความรู้สึกที่เยี่ยมมากๆเลยล่ะ
ส่วนในเรื่องของพลังเสียงนั้นก็ให้คุณภาพได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆมากเลย แถมตำแหน่งนั้นยังย้ายมาอยู่ด้านล่างของตัวเครื่องทำให้เวลาฟังเพลงนั้นได้เสียงที่ดังชัดเจนไม่เงียบจนเกินไปด้วยล่ะ :D
กล้องถ่ายภาพบน Galaxy S6 และ S6 Edge
ว่าด้วยเรื่องกล้องถ่ายภาพกันบ้าง บน Galaxy S6 ทั้ง 2 รุ่นนั้นถึงแม้ว่าจะมีกล้องหลังความละเอียดเท่าเดิมที่ 16 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ IMX240 ตัวเดียวกับ Galaxy Note 4 แต่ว่ามีค่ารูรับแสงกว้างกว่าที่ f/1.9 ทำให้สามารถถ่ายภาพในที่อสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น แถมยังมีตัวกันสั่น OIS ด้วยนะ
และยังมีโหมดที่ให้เข้ากล้องรวดเร็วเพียง 0.7 วินาทีเท่านั้นด้วยการกดปุ่มโฮมติดกัน 2 ครั้ง ตรงนี้ต้องขอชมเลยว่าทำให้ง่ายต่อการถ่ายรูปมากๆ กดปุ่มติดปั๊บ พร้อมถ่ายทุกสถานณ์จริงๆ :D
ส่วนในเรื่องของโหมดก็ให้มาพอดิบพอดี พอจำเป็นอย่าง Auto , Pro , Selective Focus , Virtual Shot , Slow Motion , Fast Motion เป็นต้น นอกนั้นถ้าอยากได้เพิ่มก็สามารถดาวน์โหลดได้จากเมนู Download ครับ
และในรอบนี้ก็มี Pro โหมดเข้ามาด้วย ซึ่งจะให้เราได้ปรับค่าต่างๆได้มากกว่าโหมดทั่วไป อาทิ การโฟกัส , White Balance , ISO , EV+- เป็นต้น แต่ตรงนี้ก็แอบเสียดายนิดหน่อยว่าเป็น Pro โหมดแล้ว น่าจะให้เราปรับตัว Shutter Speed ได้สักหน่อยก็น่าจะดีนะ ><
เอาเป็นว่าเราลองมาชมภาพถ่านตัวอย่างของ Galaxy S6 กันดีกว่าฮะ :D
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Auto
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด HDR
ก็เรียกได้ว่าคุณภาพกล้องหลังของ Galaxy S6 นั้นคุณภาพเยี่ยมมากๆเลยล่ะครับ ทั้งในเรื่องของความคมชัด , โทนสี (แต่แอบอมเหลืองนิดๆ) , ความเร็วในการถ่าย แตะปุ๊บปั๊บ แถมยังมีระบบกันสั่น OIS ที่ดีใช้ได้อีกด้วย จัดว่าเรื่องกล้องของ Galaxy S6 และ S6 Edge นั้นทำได้ดีสุดๆไปเลย
แถมนอกจากระบบโฟกัสปกติแล้ว Galaxy S6 ทั้ง 2 รุ่นนั้นยังมีโหมดการโฟกัสแบบ Tracking AF ที่ช่วยให้การโฟกัสสิ่งที่เคลื่นไหวได้ดียิ่งขึ้น
แต่จากการทดสอบจริงพบว่าหากเปิดโหมดนี้แล้วจะทำให้การจับภาพช้าลงไปกว่าปกตินิดหน่อย แตะปุ๊บไม่ติดปั๊บแบบโฟกัสทั่วไป ><
และในส่วนของกล้องหน้านั้นก็มีการอัพความละเอียดขึ้นมาเป็น 5 ล้านพิกเซลด้วยเช่นกัน ซึ่งหลังๆมานี้ตัวกล้องหน้าของ Samsung ก็ถือว่าสวยเนียนขึ้นมากๆเลยล่ะ แถมยังมีเลนส์มุมกว้างให้ถ่าย Wefie , Groupfie ได้สบายๆอีกด้วย เอาเป็นว่าลองไปขมตัวอย่างความเนียนของกล้องหน้าจากภาพด้านล่างนี้กันหน่อยดีกว่า :D
เป็นอย่างไรกันบ้างล่ะครับ เนียนดีจริงๆเลยใช่ไหมล่ะ :P
การใช้งานแบตเตอรี่ของ Galaxy S6 และ Galaxy S6 Edge
มาปิดท้ายกันในเรื่องของแบตเตอรี่กันอีกเช่นเคย ในเรื่องของแบตเตอรี่นี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งจุดที่แตกต่างกันของ Galaxy S6 ทั้ง 2 รุ่นนี้ เพราะว่ามีความจุต่างกันอยู่ 50 mAh โดยตัว Galaxy S6 Edge นั้นจะมีความจุมากกว่าเป็น 2600 mAh ส่วน Galaxy S6 นั้นจะมความจุที่ 2550 mAh และจากการทดสอบใช้งานมาเกือยบหนึ่งสัปดาห์ก็พบว่าแบตเตอรี่ของ Galaxy S6 นั้นอยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้ ซึ่งหากไม่ได้ใช้งานหนักๆอย่างถ่ายรูปเยอะๆ เล่นเกมหนักๆต่อเนื่องก็ถือว่าพอที่ใช้งานได้ตลอดทั้งวัน แต่หากเป็นคนที่ชอบการถ่ายภาพจริงๆจังๆ หยิบออกมาถ่ายบ่อยๆก็ถือว่าแบตเตอรี่นั้นค่อนข้างจะหมดไวไปนิดน่ะครับ และบน Galaxy S6 ทั้ง 2 รุ่นนี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่เองได้แบบรุ่นก่อนๆแล้วด้วย ><
แต่ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนแบตไม่ได้ แต่ทาง Samsung ก็ยังมีระบบการชาร์จไวมาให้ด้วยนะ ซึ่งทาง Samsung เคลมว่าสามารถชาร์จจาก 0-50% ได้ในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้นเองล่ะ (ต้องใช้คู่กับตัวอแดปเตอร์ที่แถมมาด้วยนะ)
ส่วนในเรื่องของความร้อนนั้นก็แน่นอนว่าพอเปลี่ยนมาใช้เป็นวัสดุแบบโลหะและกระจกแบบนี้ เวลาเล่นหนักๆอย่างการเล่นเกม หรือถ่ายรูปเยอะๆเข้าก็จะพบความร้อนรอบๆกรอบเครื่องและบริเวณด้านหลัง (บริเวณกล้อง) จนสัมผัสได้เลยล่ะ
สรุปผลการทดสอบ
สรุปแล้ว Galaxy S6 และ Galaxy S6 Edge นั้นถือว่าเป็น 2 สมาร์ทโฟนเรือธงตัวใหม่จาก Samsung ที่จะมาเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy เลยก็ว่าได้ เพราะมาพร้อมกับวัสดุและงานประกอบที่สาวกหลายๆคนรอคอยจริงๆ ดีไซน์ตัวเครื่องก็ออกแบบมาได้อย่างสวยงาม เป็นเรือธงที่ถือโชว์แล้วสวย เก๋ สุดๆ อีกทั้งยังมาพร้อมกับสเปคที่เร็วแรงกระชากใจสุดๆในตลาดตอนนี้ด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วในเรื่องของกล้องถ่ายภาพก็ยังโดดเด่นด้วยฟีเจอร์ และคุณภาพที่ดีเยี่ยมอีกต่างหาก อธิบายมาซะเยอะสุดท้ายนี้ก็อยากให้ไปลองจับลองสัมผัสตัวจริงกันที่ Samsung Brand Shop กันอีกที บอกเลยว่าตัวจริงนั้นสวยมากๆเลยล่ะ โดยตัวเครื่องจะเริ่มวางขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 เมษายนนี้ :D
ราคาวางจำหน่ายของอย่างเป็นทางการของ Galaxy S6 และ S6 Edge
Samsung Galaxy S6 ความจุ 32GB ราคา 23,900 บาท
Samsung Galaxy S6 Edge ความจุ 32GB ราคา 27,900 บาท
Samsung Galaxy S6 Edge ความจุ 64GB ราคา 30,900 บาท
ทิ้งท้าย
ก็ถือว่า Galaxy S6 ทั้ง 2 รุ่นนี้มีความโดดเด่นในความหรูหราไม่แพ้กันเลย และถ้าถามว่าควรซื้อรุ่นไหนดี ? ตรงนี้ก็คงต้องถามความต้องการของตัวเราเองก่อน เพราะจุดแตกต่างหลักๆของ Galaxy S6 และ S6 Edge ที่เห็นได้ชัดเลยก็คงจะเป็นตัวหน้าจอโค้งที่จะมีบน Galaxy S6 Edge เท่านั้น (นอกนั้นฟีเจอร์และสเปคภายในก็แทบจะเหมือนกันหมด) ซึ่งตรงนี้ก็จะเพิ่มความหรูหรา เพิ่มความเก๋เวลาถือใช้งานได้มากกว่า Galaxy S6 ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่การที่เพิ่มขอบโค้ง 2 ด้านมานี้ก็จะต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายอีกกว่า 4,000 บาทเลยทีเดียว ก็ถือว่าสูงอย่พอสมควรหากเทียบกับความสามารถที่เพิ่มเข้ามาไม่เยอะเท่าไหร่ (ไม่รวมความเก๋เวลาโชว์) ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะอยากได้สมาร์ทโฟนพรีเมี่ยมที่มีหน้าโค้ง 2 ข้างเพื่อเพิ่มความเก๋ไก๋เวลาถือโชว์หรือใช้งานด้วยไหม หรือว่าจะอยากได้สมาร์ทโฟนพรีเมี่ยมปกติที่หน้าจอเรียบๆการใช้งานเยี่ยมในราคาที่ถูกลงมากกว่าล่ะครับ :D
จุดเด่น
- วัสดุและงานประกอบพรีเมี่ยมขึ้นเยอะ สมกับสมาร์ทโฟนเรือธง
- หน้าจอ Super-Amoled Quad-HD ขนาด 5.1 นิ่ว แสดงผลได้สุดยอดสุดๆ
- ตัวหน่วยประมวลผลเร็วแรงกระชากใจ
- Android Lollipop+Touchwiz UI เวอร์ชั่นใหม่ ทำให้การใช้งานลื่นไหลมากๆ ฟีเจอร์ที่เพิ่มมาจัดว่าเด็ด
- กล้องถ่ายภาพทำงานได้รวดเร็ว แถมคุณภาพยังยอดเยี่ยมสุดๆ
- ระบบสแกนลายนิ้วมือปรับใหม่หมด ใช้งานง่ายและสะดวก
- ระบบชาร์จไว ไวจริงๆ
จุดสังเกต
- เวลาตัวเครื่องร้อนนั้น ร้อนเอาเรื่องใช้ได้เลยล่ะ
- กระจกด้านหน้าและหลังเก็บรอยนิ้วมือง่ายจริงๆ
- ไม่สามารถเพิ่ม Micro-SD การ์ดและถอดแบตเตอรี่ได้เองแล้ว
รีวิวโดย : เฮียแม๊พ. TechXcite
Samsung Galaxy S6 32GB (Gold) ราคาพิเศษ 17,745 บาท (ช่วงโปรโมชั่น)
ประเภทของการรับประกัน: ประกันศูนย์ Samsung 1 Year
{{ สเปคและราคาล่าสุด Samsung Galaxy S6 32GB }}
Samsung Galaxy S6 Edge 4G 32GB (Black) เหลือ 20,100 บาท
ประเภทของการรับประกัน: ประกันศูนย์ Samsung 1 year