
หากพูดถึงสมาร์ตโฟนที่เน้นเรื่องการถ่ายภาพในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชื่อของ vivo X Series มักถูกยกขึ้นมาพูดถึงอยู่เสมอ และปีนี้ทาง vivo ก็เปิดตัวรุ่นใหม่ vivo X300 Series ที่บอกได้เลยว่า vivo จัดเต็มกว่าที่เคยอีกขั้น โดยเฉพาะด้านการถ่ายภาพที่เรียกได้ว่า ไม่ต้องเป็นมืออาชีพก็ถ่ายภาพได้สวย แถมได้คุณภาพที่ยกระดับมากขึ้นไปอีก ทั้งเรื่องระบบ AI, เลนส์, เซ็นเซอร์รวมถึงการประมวลผลภาพ และฟีเจอร์อื่นๆอีกเยอะที่ใส่เข้ามานอกเหนือจากเรื่องการถ่ายภาพ เช่น แบตเตอรี่เทคโนโลยี BlueVolt พร้อมการชาร์จไว 90W หรือการเลือกใช้ชิปเซ็ตขุมพลัง MediaTek Dimensity 9500 ที่แรงในระดับเล่นเกมใหม่ๆ กราฟิกโหดๆ ได้อย่างสบาย

สำหรับสเปกตัวเครื่องของทั้งสองรุ่นนั้น จะมีจุดแตกต่างกันเล็กน้อยโดยมีรายละเอียดแยกตามรุ่นดังนี้
vivo X300
- หน้าจอขนาด 6.31 นิ้ว ความละเอียด 1216 × 2640 อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz
- ระบบลดแสงกระพริบ : 2160 Hz Full High-Frequency PWM + Full-Range DC Dimming
- มาพร้อมกระจกหน้าจอ Reinforced Glass ที่ทนทานต่อแรงกระแทก
- ความสว่างสูงสุดเฉพาะส่วน 4500nits, ความสว่างสูงสุดทั่วหน้าจอ 2000nits
- แบตเตอรี่ BlueVolt 6040mAh
- รองรับระบบการชาร์จไว 90W FlashCharge และ 40W Wireless FlashCharge
- ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 9500 ผสานชิป V3+
- หน่วยความจำ 16GB + 512GB
- ระบบปฏิบัติการ OriginOS 6 บน Android 16
- กล้องหลัก ZEISS ความละเอียด 200MP, กล้องซูมเทเลโฟโต้ ZEISS APO ความละเอียด 50MP, กล้อง Ultra Wide 50MP
- กล้องหน้ามุมกว้าง ZEISS ความละเอียด 50MP
- มาตรฐานทนนํ้าทนฝุ่น IP68 & IP69

vivo X300 Pro
- หน้าจอขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 2800×1260 อัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz
- ระบบลดแสงกระพริบ : 2160 Hz Full High-Frequency PWM + Full-Range DC Dimming
- มาพร้อมกระจกหน้าจอ Armor Glass ที่มอบการปกป้องระดับสูงสุด
- ความสว่างสูงสุดเฉพาะส่วน 4500nits, ความสว่างสูงสุดทั่วหน้าจอ 2000nits
- แบตเตอรี่ BlueVolt 6510mAh
- รองรับระบบการชาร์จไว 90W FlashCharge และ 40W Wireless FlashCharge
- ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 9500 มีชิป V3+ และชิปแยก VS1
- หน่วยความจำ 12GB + 256GB, 16GB + 512GB
- ระบบปฏิบัติการ OriginOS 6 บน Android 16
- กล้องซูมเทเลโฟโต้ ZEISS APO ความละเอียด 200MP, กล้องหลัก ZEISS ความละเอียด 50MP, กล้อง Ultra Wide 50MP
- กล้องหน้ามุมกว้าง ZEISS ความละเอียด 50MP
- มาตรฐานทนนํ้าทนฝุ่น IP68 & IP69

ดีไซน์ & งานประกอบ
สัมผัสแรกที่ได้ลองจับ vivo X300 และ vivo X300 Pro ให้ความรู้สึกถึง "ความพรีเมียม" สมกับการเป็นรุ่นเรือธงของค่าย การออกแบบ Unibody 3D Glass ทำให้ฝาหลังและโมดูลกล้องถูกรวมเข้าเป็นชิ้นเดียวกันได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่รู้สึกถึงขอบคม หรือมีรอยต่อสะดุดมือ โดยความแตกต่างของตัวเครื่องระหว่างvivo X300 และ vivo X300 Pro ที่เห็นได้ชัดก็คือขนาดตัวเครื่องนั่นเอง
vivo X300 จะมีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา เหมาะกับคนที่ต้องการตัวเครื่องที่พกพาง่าย ในขณะที่ vivo X300 Pro จะมีขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่กว่า ส่วนตัวเครื่องนั้นมีหลายสีให้เลือก โดย vivo X300 จะมีสีดำ Phantom Black, สีม่วง Iris Purple และสีชมพู Halo Pink
ส่วนรุ่นพี่ vivo X300 Pro จะมีสีดำ Phantom Black, สีน้ำตาลทะเลทราย Dune Brown และ สีฟ้า Mist Blue ซึ่งตัวที่นำมีรีวิวครั้งนี้ในส่วน vivo X300 เป็นสีม่วง Iris Purple และ vivo X300 Pro เป็นดำ Phantom Black

ขนาดตัวเครื่องที่ต่างกันนิดหน่อยเพราะหน้าจอคนละขนาด รวมถึงความหนาของตัวเครื่องด้วย สำหรับ vivo X300 มีขนาด 150.57 x 71.92 x 7.95 มม. จะบางกว่า vivo X300 Pro ที่มีขนาด 161.98 x 75.48 x 7.99 มม. เนื่องจากมีขนาดแบตเตอรี่ รวมถึงในส่วนของกล้องที่แตกต่างกันนั่นเอง

ถามว่าเลือกซื้อตัวไหนดี ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานเป็นหลัก เพราะในส่วนของชิปเซ็ตเองไม่ต่างกันเลย จะมีจุดที่ต่างกันคือ ขนาดตัวเครื่อง, กล้อง, แบตเตอรี่ และชิปประมวลผลภาพ VS1 ที่อยู่ใน vivo X300 Pro ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องของการประมวลผลก่อนที่จะทำการส่งต่อข้อมูลไปยังชิปประมวลผลหลัก ทำให้สามารถจัดการแสงสีและลดสัญญาณรบกวนของภาพได้ดีขึ้น รวมถึงเพิ่มความเร็ว AI ของกล้อง 200% และลดการใช้พลังงานอีก 60%

ดังนั้น ถ้าอยากได้ตัวเล็ก พกพาง่าย ไม่ได้เน้นว่าจะต้องประมวลผลภาพเร็ว แถมยังได้กล้องหลักที่มีความละเอียด 200MP ก็เลือกตัว vivo X300 ได้เลย แน่นอนว่าราคาประหยัดคุ้มค่ากว่าด้วย แต่ถ้าอยากจัดเต็มไปเลย จอใหญ่ แบตเตอรี่เยอะกว่า เน้นกล้องเทเลที่เอาไว้ถ่ายภาพระยะไกลได้ความละเอียด 200MP ก็เลือก vivo X300 Pro

รูปด้านล่าง ถ่ายให้เห็นชัดๆ ถึงความแตกต่างของโมดูลเลนส์กล้องโดยภาพแรกจะเป็นของ vivo X300 ส่วนภาพถัดไปจะเป็นของ vivo X300 Pro


ภายในกล่องให้อะไรมาบ้าง ก็เปิดแกะกล่องออกมาตามที่เห็นในภาพเลย มีเคส หัวชาร์จ สายชาร์จ คู่มือ และตัวเครื่อง ซึ่งตรงนี้ขอชม vivo อย่างหนึ่งเลยว่า เป็นแบรนด์สมาร์ตโฟนที่ยังคงให้หัวชาร์จมาให้ในกล่อง ไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่ม คือสะดวก ปลอดภัย ได้ของแท้มีมาตรฐาน ดีกว่าให้ลูกค้าไปหาซื้อใช้เอง

ทางด้านระบบปฏิบัติการมีการยกเครื่องใหม่ คือให้ OriginOS 6 มาใช้งานได้เลย ต้องบอกก่อนว่าระบบปฏิบัติการตัวนี้เป็นตัวใหม่ล่าสุดที่เปลี่ยนจาก Funtouch OS ซึ่งจุดเด่นหลักๆ เลยก็คือ เรื่องของความลื่นไหลในการใช้งาน โดยทาง vivo พัฒนาขึ้นเพื่อให้ใช้งานง่าย ดูเป็นธรรมชาติและช่วยให้ระบบการทำงานเสถียรและฉลาดมากขึ้น ใครที่อยากลองของใหม่ vivo X300 Series จัดให้มาเลยไม่ต้องรออัพเดต

หลังจากที่ลองเล่นดูแบบยาวๆ สักพักก็พบว่า การใช้งานดีจริง ระบบการทำงานไหลลื่นจริง และที่สำคัญคือการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้นด้วย เนื่องจากมีการใส่แบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่มาให้ และเทคโนโลยี BlueVolt ของ vivo ก็มีส่วนสำคัญในการทำให้แบตเตอรี่คงประสิทธิภาพการชาร์จและการใช้งานที่ปลอดภัย ดังนั้นจึงใช้งานได้ทั้งวันจริง และนอกเหนือจากนี้ยังอัดแน่นด้วยฟีเจอร์ต่างๆ โดยเฉพาะระบบ AI ที่แตกต่างจากสมาร์ตโฟนทั่วไปด้วย เช่น ระบบถ่ายภาพด้วย AI Visual ที่ช่วยให้ภาพถ่ายสวยงามขึ้น แม้คนที่ถ่ายรูปไม่ค่อยสวย หรือแต่งภาพไม่เก่งก็มีโอกาสได้ภาพสวยๆ ง่ายๆ

สำหรับประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่อง จากกผลการทดสอบของ Antutu Benchmark พบว่าคะแนนพุ่งสูงเกินสามล้านคะแนน ซึ่งแน่นอนว่าเอาไปใช้เล่นเกมได้ลื่นๆ เลย ไม่มีปัญหา โดยในส่วนของ vivo X300 จะได้คะแนนต่ำกว่านิดหน่อยเนื่องจาก Ram มีขนาดต่างกัน และชิปประมวลผลภาพที่ต่างกัน
.jpg)

มาดูจุดเด่นของ vivo X300 Series ที่ถือว่าเป็นจุดขายมากๆ เลย เพราะตอนเปิดตัวที่ต่างประเทศก็สร้างความฮือฮาด้วยการนำเสนอ vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender ที่เป็นเลนส์เชื่อมต่อเพื่อเพิ่มระยะเลนส์ให้สามารถถ่ายภาพระยะไกลได้อย่างคมชัด น่าเสียดายที่ทาง TechXcite ยังไม่ได้มีเลนส์ตัวนี้มาลอง


แต่ไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวทดสอบการถ่ายภาพด้วยเลนส์ที่มีอยู่ใน vivo X300 Series ว่าภาพที่ได้ออกมาเป็นอย่างไร และมีลูกเล่นอะไรน่าสนใจบ้าง เริ่มจากฟีเจอร์แรกที่แปลกใหม่มาก คือ Adaptive Zoom Flash ระบบแฟลชอัจฉริยะ ที่ปรับมุมและความเข้มของแสงตามระยะการถ่ายภาพโดยอัตโนมัติ คือ บริเวณแฟลชถูกออกแบบมาให้มีไฟแฟลชคู่ สามารถปรับแสงให้กระจายหรือปรับเป็นแสงที่มีระยะไกลขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานกับเลนส์ที่เลือกใช้ โดย vivo X300 จะครอบคลุมระยะ Diffuser (23 มม.) และ Converger (50 มม.) ส่วน vivo X300 Pro: จะทำงานครอบคลุมที่ระยะ Diffuser (24 มม.) และ Converger (85 มม.)

ในส่วนของกล้องนั้น ต่างกันไม่เยอะมากนัก เพราะเหมือนสลับเอาความละเอียด 200MP ไปใส่ในเลนส์เทเลของ vivo X300 แต่ vivo X300 Pro ใส่เซ็นเซอร์ความละเอียด 200MP ในเลนส์หลักแทน นอกนั้นที่เหลือก็ความละเอียด 50MP และเลนส์ทั้งหมดแน่นอนว่าได้รับการพัฒนาและใช้เลนส์ที่ได้มาตรฐาน ZEISS ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความคมชัด สีสันและคอนทราสต์ที่โดดเด่น ให้ภาพถ่ายสวยงาม

ลองทดสอบถ่ายภาพบุคคลด้วยโหมดถ่ายภาพคน ซึ่งภาพที่ได้คือคมชัดมาก และที่สำคัญคือระบบที่สามารถทำหน้าชัดหลังเบลอได้อย่างสวยงาม การตัดขอบที่ดูเป็นธรรมชาติแม้ฉากหลังจะมีลวดลายหรือลักษณะที่ซับซ้อน รวมไปถึงมีฟิลเตอร์ปรับแต่งโทนสีของภาพ ในขณะที่เมื่อใช้งานฟิลเตอร์ความงาม หรือที่นิยมเรียกกันว่าโหมดหน้าเนียน ตัวกล้องของ vivo X300 Series ก็ยังมีความเป็นธรรมชาติสมจริง ไม่ดูหลอกตา


ในส่วนของลูกเล่นอย่าง ZEISS Bokeh อันเป็นเอกลักษณ์ของทาง vivo ที่ได้ร่วมมือกับทาง ZEISS เพื่อจำลองโบเก้สวยๆ ราวกับถ่ายด้วยเลนส์ ZEISS แบบต่างๆ ซึ่งผลปรากฏว่าให้ความระยิบระยับของฉากหลัง คือไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องการปรับค่ารูรับแสง ก็สามารถได้ภาพที่เสมือนถ่ายจากกล้องทั่วไป


จากการทดสอบถ่ายภาพมา พบว่าภาพที่ได้คมชัดมาก เป็นสมาร์ตโฟนที่ถ่ายภาพออกมาแล้วเก็บรายละเอียดได้ดี แถมยังมีระบบกันสั่น OIS ที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเวลาถ่ายภาพด้วยเลนส์เทเล หรือถ่ายภาพในที่แสงน้อย ตรงนี้ถือเป็นจุดเด่นเรื่องการถ่ายภาพของ vivo X300 Series อีกข้อ

และที่น่าสนใจสำหรับ vivo X300 Series อีกเรื่องคือ การมีโหมดถ่ายภาพทิวทัศน์และกลางคืน แยกออกมาต่างหากอีกจากโหมดปกติ และโหมดถ่ายภาพคนที่มีอยู่แล้ว ซึ่งโหมดนี้จะช่วยให้ได้ภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เนื่องจากกล้องจะทำการประมวลผลพิเศษให้เหมาะกับการถ่ายภาพแนวดังกล่าว รวมถึงฟิลเตอร์ที่ปรับแต่งภาพให้สวยงามแบบที่คนไม่เก่งเรื่องแต่งภาพก็สามารถได้ภาพสวยๆ เหมือนมืออาชีพได้



ในโหมดถ่ายภาพคน ยังคงไว้ซึ่ง AI ที่สามารถเปลี่ยนฤดูกาล สร้างบรรยากาศใหม่ให้ภาพถ่ายได้ โดยภาพที่ได้นั้นจะดูแปลกตามากขึ้น โดยใน vivo X300 Series ยังได้เพิ่ม AI ใหม่ๆ เข้ามาอีกโดยสามารถปรับตั้งเอฟเฟกต์ช่วงเวลา, ภูมิภาค และความคิดสร้างสรรค์เข้ามาด้วย ทีนี่ก็สนุกกันได้มากขึ้น แต่ข้อจำกัดสำหรับการใช้งาน AI คือ สามารถประมวลผลพร้อมกันได้เพียง 10 ภาพเท่านั้น หากครบแล้วต้องรอนิดนึงให้ระบบประมวลผลภาพเสร็จก่อน แล้วเหลือกี่ภาพค่อยถ่ายต่อได้




ยังไม่หมดแค่นี้ เพราะ vivo จัดเต็มเรื่อง AI ในการถ่ายภาพที่ไม่เหมือนใครมาให้ด้วย รอบนี้ใส่ AI Visual มาในโหมดถ่ายภาพทิวทัศน์ที่สามารถ "เปลี่ยน" ช่วงเวลา, ภูมิภาค, ฤดูกาล หรือสร้างสรรค์ความครีเอทีฟให้ภาพได้ง่ายๆ เช่นเดียวกันกับในโหมดการถ่ายภาพคน เช่น เราสามารถถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ที่ดูเดิมๆ ให้เหมือนกับเปลี่ยนไปอีกฤดูกาล ราวกับอยู่ต่างประเทศได้ เดี๋ยวไปชมภาพตัวอย่างกันได้เลยว่าเป็นอย่างไร
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)




เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับการถ่ายภาพด้วย vivo X300 Series เรียกได้ว่าถ่ายออกมาสวย มีลูกเล่นเยอะ ทำหน้าชัดหลังเบลอเก่ง เสียดายถ้ามี vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender ที่เป็นเลนส์ต่อพ่วงระยะไกล ว่าจะเอาไปถ่ายภาพสัตว์ หรือถ่ายภาพคอนเสิร์ตที่ต้องใช้เลนส์เทเลมาให้ดูสักหน่อย


ส่วนกล้องหน้าก็คมชัดไม่ต่างจากกล้องด้านหลัง เพราะความละเอียดสูง 50 ล้านพิกเซลใส่มาให้ สามารถปรับระยะซูมได้ เอาไว้ใช้ถ่ายเซลฟี่สวยๆ ได้คมชัด หรือใครที่เน้นใช้งานกล้องหน้าเป็นพิเศษ vivo X300 Series ถือว่าตอบโจทย์เช่นกัน

นอกจากนี้ยังมี AI อื่นๆ เช่น การลบคนหรือวัตถุที่ได้ต้องการในภาพได้อย่างรวดเร็ว สวยงามช่วยให้ได้ภาพถ่ายสวยๆ เผื่อถ่ายติดคนอื่นเข้ามาอย่างไม่ตั้งใจ หรือการลบแสงสะท้อนด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว

vivo X300 Series ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานของสมาร์ตโฟนเรือธงมากๆ ทั้งในด้านดีไซน์ที่สวยงาม การใช้งานที่ลื่นไหลด้วย Dimensity 9500 และที่สำคัญที่สุดคือ ระบบกล้องที่ตอบโจทย์การใช้งานทุกระดับ สำหรับใครที่กำลังมองหาสมาร์ตโฟนที่ "จบทุกอย่าง" ในเครื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพบุคคลที่สวยงาม การถ่ายภาพระยะไกลที่คมชัดจนน่าตกใจ หรือต้องการแบตเตอรี่ที่อึดทน พร้อมการเชื่อมต่อการทำงานที่สะดวกสบาย บอกได้เลยว่าทั้งสองรุ่นนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง

จุดเด่น
- แบตเตอรี่อึด
- กล้องสวย คมชัด ลูกเล่นเยอะ
- วัสดุตัวเครื่องสวย ด้วยดีไซน์ Unibody 3D
- แถมหัวชาร์จมาให้
- เลนส์เสริม vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender ไม่ได้แถมมาให้ แต่น่าใช้
- เสียงลำโพงไม่ได้โดดเด่นนัก
- บางคนอาจจะไม่ชอบโมดูลกล้องที่ยื่นออกมา
