Samsung Galaxy S26+ กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งด้วยภาพเรนเดอร์ใหม่จาก CAD ที่เผยแพร่โดย AndroidHeadlines และ @OnLeaks ซึ่งยืนยันว่ารุ่น S26+ จะยังคงอยู่ในไลน์อัพ Galaxy S26 ที่จะเปิดตัวต้นปีหน้าอย่างแน่นอน หลังจากที่เคยมีข่าวลือว่ารุ่น Plus อาจจะถูกแทนที่ด้วย Galaxy S26 Edge ภาพเรนเดอร์ใหม่นี้แสดงให้เห็นถึงดีไซน์ที่เน้นความเรียบหรูและ หน้าจอแบน (Flat Design) โดยตัวเครื่องมีขนาด 158.4 x 75.7 x 7.35 มม. ซึ่งเกือบจะเท่ากับ Galaxy S25+ ทุกประการ และคาดว่าจะยังคงใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด FHD+ พร้อมอัตรารีเฟรช 120Hz.
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือการออกแบบกล้องหลังที่ได้รับการยกเครื่องใหม่ โดย Samsung ได้เปลี่ยนไปใช้โมดูลทรง "วงรียาว" (Elongated, Oval-shaped) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Galaxy Z Fold 7 ภายในบรรจุเซ็นเซอร์สามตัวเรียงเป็นแนวตั้งอย่างสวยงาม โดยมีแฟลช LED อยู่ด้านนอกโมดูลเพื่อเสริมลุคมินิมอล ภาพเรนเดอร์ยังโชว์ตัวเครื่องใน สีส้ม (Striking Orange) ที่โดดเด่น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่า Samsung เตรียมเพิ่มตัวเลือกสีสันที่สดใสมากขึ้นในซีรีส์นี้

สำหรับสเปกภายใน คาดการณ์ว่า Galaxy S26+ จะใช้ชิปเซ็ต Exynos 2600 หรือ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ขึ้นอยู่กับตลาด มาพร้อม RAM 12GB และแบตเตอรี่ 4,900mAh ที่รองรับการชาร์จเร็วทั้งแบบมีสายและไร้สาย 45W ระบบกล้องคาดว่าจะประกอบด้วยกล้องหลัก 50MP, Ultrawide 12MP, และ Telephoto 12MP พร้อมกล้องหน้า 12MP โดยจะรันบน One UI 8.5 (Android 16) และคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ 2026.
หมีเด้งวิเคราะห์ : Galaxy S26 Plus—การเปลี่ยนดีไซน์เพื่อสร้างความสดใหม่
การที่ Samsung เลือกที่จะเปลี่ยนดีไซน์โมดูลกล้อง ของ Galaxy S26+ ไปใช้ทรงวงรีที่มาจาก Galaxy Z Fold 7 ในขณะที่ คงขนาดตัวเครื่องและสเปกหลัก (แบตเตอรี่ 4,900mAh และกล้อง 50MP/12MP/12MP) ให้ใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ของ Samsung ในการ สร้างความสดใหม่ทางสายตา (Visual Refresh) โดยไม่ต้องลงทุนด้านฮาร์ดแวร์หลักมากนัก การออกแบบกล้องใหม่ถือเป็นการ สร้างเอกลักษณ์ ให้กับรุ่น S26+ ที่แยกตัวออกจากรุ่น Ultra ที่อาจจะยังคงใช้ดีไซน์กล้องแบบเดิมๆ
การนำเสนอตัวเลือกสีที่ฉูดฉาดอย่าง "สีส้ม" ก็เป็นความพยายามในการดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มที่เน้นแฟชั่นและสีสันมากขึ้น แม้ว่าสเปกหลักอย่างแบตเตอรี่และความละเอียดของเซ็นเซอร์กล้องจะไม่ได้รับการอัปเกรดแบบก้าวกระโดด แต่การใช้ชิปเซ็ตใหม่ (Snapdragon 8 Elite Gen 5 หรือ Exynos 2600) จะยังคงรับประกัน ประสิทธิภาพที่เร็วขึ้น และฟีเจอร์ AI ที่ปรับปรุงใหม่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการอัปเกรดประจำปีของ Samsung
source: gizmochina