OPPO ได้เริ่มปล่อยสัญญาณอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับซีรีส์ OPPO Reno 15 ที่กำลังจะมาถึงแล้ว โดยโพสต์บน Weibo ยืนยันว่าบริษัทจะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไลน์อัพนี้ในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ในประเทศจีน แม้ว่ายังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เต็มรูปแบบ หรือเป็นเพียงการประกาศกำหนดการเปิดตัวจริงในภายหลังก็ตาม แต่ข่าวลือก่อนหน้าชี้ว่าวันที่ 17 พฤศจิกายนอาจเป็นวันเปิดตัวจริงของ Reno 15 Series

ด้านดีไซน์กล้องหลังยังคงใช้โมดูลทรงสี่เหลี่ยมโค้งมนที่ดูคล้ายรุ่นก่อนหน้า แต่จะบรรจุเลนส์สามตัวพร้อมแฟลชไว้ภายใน โดยมีรายงานที่น่าตื่นเต้นจาก Digital Chat Station ว่าทั้งรุ่นมาตรฐานและรุ่น Pro จะมาพร้อมกล้องความละเอียดสูงรวมกันถึงสี่ตัว โดยมีกล้องหลักความละเอียด 200 ล้านพิกเซล เป็นจุดเด่น และยังเสริมด้วยฟีเจอร์พิเศษสำหรับการถ่ายทอดสด โดยรองรับการสตรีมสดพร้อมกันทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง.
สำหรับสเปกที่คาดการณ์ไว้ รุ่น OPPO Reno 15 จะมาพร้อมหน้าจอแบน (Flat Display) ขนาด 6.32 นิ้ว ความละเอียด 1.5K ที่หุ้มด้วยขอบโลหะ และใช้ชิปเซ็ต Dimensity 8450 ของ MediaTek ขณะที่ระบบกล้องหลังจะเป็นแบบสามตัว: กล้องหลัก 200MP, กล้อง Ultra-wide 50MP, และกล้อง Periscope 50MP พร้อมกล้องหน้า 50MP และยังมีความทนทานสูงด้วยมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 และ IP69 ส่วนรุ่น Reno 15 Pro จะยกระดับขึ้นด้วยหน้าจอแบนขนาดใหญ่ 6.78 นิ้ว ความละเอียด 1.5K เช่นกัน แต่มาพร้อมตัวเครื่องฝาหลังกระจกให้ความรู้สึกพรีเมียม ใช้ชิป Dimensity 8450 ตัวเดียวกัน และมีชุดกล้องหน้า/หลังแบบเดียวกับรุ่นมาตรฐาน แต่เพิ่มความสะดวกสบายด้วยฟีเจอร์ ชาร์จไร้สาย 50W และมาพร้อมมาตรฐานกันน้ำ IP68/IP69 ด้วยเช่นกัน.

หมีเด้งวิเคราะห์ : Reno 15—การเดิมพันที่ 'ไลฟ์สไตล์' และกล้อง 200MP
การเตรียมเปิดตัว OPPO Reno 15 Series พร้อมสเปกที่เน้นไปที่ การถ่ายภาพด้วยกล้อง 200MP และ ฟีเจอร์สำหรับการไลฟ์สดโดยเฉพาะ (รองรับการสตรีมพร้อมกันหน้า-หลัง) บ่งชี้ว่า OPPO กำลังกำหนดเป้าหมายไปที่กลุ่มผู้บริโภคที่เน้น 'Creator Economy' และผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนเป็นเครื่องมือในการทำคอนเทนต์อย่างจริงจัง
การนำกล้องหลัก 200MP, กล้อง Periscope และกล้องหน้า 50MP มาใส่ในรุ่น Reno ที่มักเน้นตลาดระดับกลางถึงกลางบน (Upper Mid-range) ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานสเปกของซีรีส์นี้ขึ้นสู่ระดับเรือธง การที่รุ่น Pro ยังคงใช้ชิป Dimensity 8450 เช่นเดียวกับรุ่นมาตรฐาน แต่เพิ่มฟีเจอร์พรีเมียมอย่าง ชาร์จไร้สาย 50W และวัสดุตัวเครื่องแบบกระจก สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การ สร้างทางเลือกที่ชัดเจน ระหว่างประสิทธิภาพหลักที่คล้ายกันกับความพรีเมียมและฟังก์ชันเสริมที่จำเป็นต่อไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความสะดวกสบายสูงสุด
source: gizmochina