Realme ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนซีรีส์ใหม่ล่าสุดในเวียดนาม คือ Realme C85 Pro และ Realme C85 5G โดยชูจุดเด่นที่ แบตเตอรี่อึด หน้าจอแสดงผล สว่างสดใส และฟีเจอร์ที่เสริมด้วย AI ในราคาที่เป็นมิตรต่อกระเป๋าสตางค์
หัวใจสำคัญของซีรีส์นี้คือแบตเตอรี่ความจุสุดโหดถึง 7,000mAh ที่มาพร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 45W ให้คุณใช้งานได้นานไม่ต้องกลัวแบตหมด แถมยังอัปเกรดไปใช้ Realme UI 6.0 ที่อยู่บนพื้นฐานของ Android 15 ซึ่งหมายถึงประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหลและการอัปเดตซอฟต์แวร์ในอนาคต

สำหรับรุ่น C85 Pro นั้นจัดเต็มด้วยหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ รีเฟรชเรท 120Hz และทำความสว่างสูงสุดได้เหลือเชื่อถึง 4,000 nits เลยทีเดียว ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 685 (ซึ่งเป็นรุ่น 4G)
ส่วนรุ่น C85 5G มาพร้อมหน้าจอ LCD 6.8 นิ้ว ที่มีรีเฟรชเรทสูงกว่าถึง 144Hz และใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 6300 เพื่อรองรับ 5G ทั้งสองรุ่นให้ RAM สูงสุด 8GB (และขยายได้ถึง 24GB ด้วย Virtual RAM) พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 256GB และยังสามารถเพิ่ม MicroSD ได้อีกด้วย
สำหรับการถ่ายภาพ ไม่ต้องห่วง เพราะมาพร้อมกล้องหลังหลัก 50 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล รวมถึงคุณสมบัติพิเศษด้านความทนทาน ด้วยมาตรฐานการกันน้ำ IP69 Pro ที่ไม่ค่อยเห็นในกลุ่มราคานี้ โดยมีให้เลือกในสีสันสดใสอย่าง Parrot Purple และ Peacock Green

สำหรับราคานั้นถือว่าน่าสนใจมาก โดยรุ่น Realme C85 Pro ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 6,490,000 ดองเวียดนาม (ประมาณ 7,998 บาท) สำหรับรุ่น 8GB + 128GB และ 7,090,000 ดอง (ประมาณ 8,737 บาท) สำหรับรุ่น 8GB + 256GB ส่วนรุ่น Realme C85 5G ซึ่งเป็นรุ่น 5G นั้น ราคาอยู่ที่ 7,690,000 ดอง (ประมาณ 9,476 บาท) สำหรับรุ่น 8GB + 256GB
หมีเด้งวิเคราะห์ : กลยุทธ์ "อัดสเปคหลัก" เพื่อครองตลาดระดับกลาง
การเปิดตัว Realme C85 Series ในเวียดนามนี้แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในตลาดระดับกลางอย่างตรงจุด นั่นคือ "แบตอึดและหน้าจอที่โดดเด่น" การใส่แบตเตอรี่ขนาด 7,000mAh และมาตรฐานกันน้ำ IP69 Pro เข้ามาในโทรศัพท์ราคาระหว่าง 8,000-9,500 บาท ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานความคุ้มค่าขึ้นอย่างมาก การเลือกใช้จอ AMOLED 4,000 nits ในรุ่น Pro หรือ 144Hz ในรุ่น 5G แสดงให้เห็นว่า Realme พยายามสร้างความแตกต่างด้วยการอัดสเปคที่โดดเด่นในคุณสมบัติหลักที่ผู้ใช้สังเกตเห็นได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสังเกตคือการแบ่งรุ่นอย่างชัดเจน โดยรุ่น C85 Pro แม้จะมีหน้าจอ AMOLED ที่ดีกว่า แต่กลับใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 685 ที่เป็น 4G ในขณะที่รุ่น C85 5G เลือกใช้ชิปเซ็ต Dimensity 6300 เพื่อรองรับ 5G แต่ใช้หน้าจอ LCD แทน การแบ่งคุณสมบัติหลักแบบนี้อาจทำให้ผู้บริโภคต้องตัดสินใจเลือกระหว่างหน้าจอที่ดีกว่า (Pro) กับการเชื่อมต่อที่ทันสมัยกว่า (5G) ซึ่งอาจเป็นกลยุทธ์ในการควบคุมต้นทุนที่ชาญฉลาด เพื่อให้ราคาทั้งหมดยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข่งขันได้ และทำให้ซีรีส์ C85 นี้เป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งมากในตลาดสมาร์ทโฟนราคาย่อมเยาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
source: gizmochina