Samsung ไม่ได้เพียงแค่เผยแพร่รายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามเท่านั้น แต่ยังใช้โอกาสนี้เปิดเผยรายละเอียดที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับทิศทางของอุปกรณ์ Galaxy S26 Series ที่กำลังจะมาถึง พร้อมกลยุทธ์ภาพรวมของอุปกรณ์ Galaxy ทั้งหมด
Daniel Araujo รองประธานฝ่าย Mobile Experience Division (MX) ของ Samsung ได้ประกาศกร้าวว่า Galaxy S26 Series จะ "ปฏิวัติประสบการณ์ผู้ใช้ด้วย AI ยุคใหม่ที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง, ชิปเซ็ต (Application Processor - AP) สั่งทำพิเศษเจเนอเรชันที่สอง, และประสิทธิภาพที่ทรงพลังขึ้น, รวมถึงเซ็นเซอร์กล้องใหม่" คำว่า "AP สั่งทำพิเศษเจเนอเรชันที่สอง" นี้ทำให้เกิดการคาดเดาอย่างดุเดือดในวงการ

เป็นไปได้ว่าหมายถึงชิป Exynos 2600 ที่ลือกันว่าจะถูกผลิตด้วยเทคโนโลยี 2nm เป็นครั้งแรก หรืออาจหมายถึงชิป Snapdragon 8 Elite Gen 6 ที่ Qualcomm อาจให้ Samsung ผลิตเองบางส่วน ซึ่งจะเข้าข่าย "AP สั่งทำพิเศษ" ได้พอดิบพอดี โดยมีรายงานว่า Samsung อาจเลือกใช้ Exynos 2600 ใน Galaxy S26 เกือบทุกภูมิภาค และสำรอง Snapdragon 8 Elite Gen 6 ไว้สำหรับบางตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น แต่การตัดสินใจครั้งสุดท้ายยังไม่ได้รับการยืนยัน เนื่องจาก Araujo ระบุว่า "การประเมิน AP ยังคงดำเนินอยู่"

นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปใช้ชิปเชื่อมต่อ Exynos ตัวใหม่สำหรับจัดการ Wi-Fi และ Bluetooth แทนที่ FastConnect 7800 ของ Qualcomm ในปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Samsung ที่จะควบคุมการออกแบบส่วนประกอบหลัก ๆ ของสมาร์ทโฟนด้วยตัวเอง และสำหรับปีหน้า กลยุทธ์ของ Samsung จะมุ่งเน้นไปที่การเสริมฟีเจอร์ AI บนสมาร์ทโฟน, ฟีเจอร์ติดตามสุขภาพด้วย AI บนสมาร์ทวอทช์, หูฟัง TWS รุ่นใหม่ ควบคู่ไปกับการเสริมความแข็งแกร่งในตลาดมือถือจอพับต่อไป.

หมีเด้งวิเคราะห์: สงคราม AI และการพึ่งพาตนเองด้านชิป
คำกล่าวของ Samsung ในรายงานการเงินนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการโปรโมตสินค้าเท่านั้น แต่เป็นการ ประกาศสงครามเทคโนโลยี AI ในโลกสมาร์ทโฟนอย่างชัดเจน การที่บริษัทเน้นย้ำถึง "AI ยุคหน้า" และ "ชิปเซ็ตสั่งทำพิเศษเจเนอเรชันที่สอง" บ่งชี้ว่า Galaxy S26 จะเป็นเวทีหลักในการแสดงศักยภาพของ Galaxy AI ที่จะฝังลึกและทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นบนฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ
สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือกลยุทธ์การใช้ชิปเซ็ตแบบ Dual Sourcing (Exynos 2600 ผสมกับ Snapdragon 8 Elite Gen 6) และความพยายามที่จะใช้ชิปเชื่อมต่อ Exynos ของตนเองแทน Qualcomm ซึ่งเป็นสัญญาณว่า Samsung กำลังเร่ง ลดการพึ่งพา ซัพพลายเออร์ภายนอก และต้องการสร้าง "ระบบนิเวศชิปเซ็ต" ของตนเองให้สมบูรณ์แบบที่สุด เพื่อควบคุมต้นทุน, ประสิทธิภาพ, และการบูรณาการฟีเจอร์ AI ที่เป็นหัวใจหลักของผลิตภัณฑ์ในอนาคต หากกลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จ จะทำให้ Samsung มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันกับ Apple และแบรนด์อื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน ความสม่ำเสมอของประสิทธิภาพและฟีเจอร์ AI ทั่วทั้งตลาดโลก
source: gsmarena