หลังจากสร้างความฮือฮาในจีนเมื่อต้นเดือนด้วยการเปิดตัว vivo X300 และ X300 Pro ที่อัดแน่นด้วยกล้องสุดล้ำ ดีไซน์ใหม่หมดจด และขุมพลังเรือธง MediaTek Dimensity 9500 ในที่สุดคู่นี้ก็มาเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการในงานเปิดตัวที่กรุงเวียนนา!
ทั้งสองรุ่นมาพร้อมหน้าจอ 8T LTPO 120Hz ที่สดใสและเทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือใต้จอแบบอัลตราโซนิก โดยรุ่นน้องอย่าง X300 มาพร้อมหน้าจอ 6.31 นิ้ว ขณะที่รุ่น Pro ขยายเป็น 6.82 นิ้ว และรองรับการชาร์จเร็วสะใจที่ 90W แบบมีสายและ 40W แบบไร้สาย

ส่วนจุดขายหลักอย่างระบบกล้องก็จัดเต็มไม่แพ้กัน โดย X300 มาพร้อมกล้องหลัก 200MP (Samsung HPB) เสริมด้วยกล้อง Telephoto 50MP และ Ultrawide 50MP ขณะที่รุ่น X300 Pro สลับเกมด้วยการนำกล้อง Telephoto 200MP มาเป็นพระเอก คู่กับกล้องหลัก 50MP (Sony LYT-828) และ Ultrawide 50MP (Samsung JN1) ส่วนกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 50MP นั้นใช้เซ็นเซอร์เดียวกันทั้งคู่ และที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ใช้นอกประเทศจีนคือ การนำ OriginOS 6 ที่พัฒนาบนพื้นฐาน Android 16 มาสู่ตลาดโลก พร้อมคำมั่นสัญญาว่าจะอัปเดตระบบปฏิบัติการถึง 5 ปี และแพตช์ความปลอดภัยถึง 7 ปีเลยทีเดียว

แน่นอนว่าสเปกระดับพรีเมียมก็มาพร้อมราคาสุดพรีเมียมเช่นกัน โดยรุ่นท็อป vivo X300 Pro รุ่นเดียว (16GB/512GB) ถูกตั้งราคาไว้ที่ €1,399 (ประมาณ 54,800 บาท) ส่วนรุ่น vivo X300 มีให้เลือกสองรุ่นคือ 12GB/256GB ราคา €1,049 (ประมาณ 41,100 บาท) และ 16GB/512GB ราคา €1,099 (ประมาณ 43,000 บาท) ซึ่งทาง vivo ก็ใจดีแถมคูปองส่วนลด €100 และอะแดปเตอร์ชาร์จฟรีทันทีเมื่อซื้อเครื่อง นอกจากนี้ยังมี ชุด Telephoto Extender Kit สำหรับการถ่ายภาพซูมในราคา €600 (ประมาณ 23,500 บาท) แต่มีโปรโมชันลดราคาเหลือครึ่งหนึ่งในช่วงเปิดตัว ทั้งสองรุ่นมีสี Phantom Black เป็นสีหลัก โดย X300 มีสีเสริมเป็น Halo Pink ส่วน X300 Pro มีสีเสริมเป็น Dune Brown และเริ่มวางจำหน่ายแล้ววันนี้

หมีเด้งวิเคราะห์: ราคาพุ่ง-แบตหด ในตลาดโลก...ใครเจ็บกว่ากัน?
การเปิดตัว vivo X300 Series ในยุโรปถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญของ vivo ในการบุกตลาดระดับพรีเมียมของโลกตะวันตก แต่สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ความแตกต่างของสเปกและราคา เมื่อเทียบกับรุ่นที่วางขายในจีนอย่างเห็นได้ชัด จุดที่น่าตกใจที่สุดคือ ขนาดแบตเตอรี่ที่ถูกลดลงอย่างมาก (X300 Pro ลดลงถึง 1,070mAh และ X300 ลดลง 680mAh) ซึ่งเป็นผลมาจาก ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบและการรับรองของยุโรป ทำให้ประสบการณ์ใช้งานจริงด้านความอึดของแบตเตอรี่อาจไม่เทียบเท่ากับรุ่นจีน

ในขณะเดียวกัน ราคาที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับราคาเปิดตัวในจีน (ซึ่งรุ่น X300 Pro 16GB/512GB ในจีนเริ่มต้นประมาณ 27,000 บาท ขณะที่ยุโรปเปิดตัวที่ 54,800 บาท) บ่งชี้ถึงต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งจากภาษี, การขนส่ง, การรับรองมาตรฐาน, และที่สำคัญคือ การซัพพอร์ตซอฟต์แวร์ที่ยาวนานถึง 7 ปี (OriginOS 6) ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่น่าสนใจ แต่ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาสูงขึ้นตามไปด้วย การที่ vivo กล้าตั้งราคาสูงขนาดนี้ในยุโรป แสดงให้เห็นว่าพวกเขา มั่นใจในเทคโนโลยีกล้อง ที่ใช้เซ็นเซอร์ 200MP ทั้งกล้องหลัก (X300) และกล้อง Telephoto (X300 Pro) รวมถึงการซัพพอร์ตซอฟต์แวร์ระยะยาว เพื่อท้าชนแบรนด์ใหญ่ในตลาดพรีเมียม แม้จะต้องยอมแลกกับแบตเตอรี่ที่เล็กกว่าและราคาที่แพงกว่าก็ตาม ผู้บริโภคชาวยุโรปจึงต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง กล้องที่เหนือกว่าและซอฟต์แวร์ที่ยาวนาน กับราคาที่สูงลิ่วและแบตเตอรี่ที่ลดลง เมื่อเทียบกับรุ่นที่วางจำหน่ายในเอเชีย
source: gsmarena