โครงสร้างพื้นฐานสำหรับระบบรถยนต์ไฟฟ้านั่นก็คือสถานีในการชาร์จไฟให้กับรถซึ่งในตอนนี้สหรัฐอเมริกาได้ตั้งเป้าว่าจะต้องมีสถานีชาร์จรถไฟฟ้าให้มากกว่าปั๊มน้ำมันภายในเร็วๆนี้โดยวางเป้าเอาไว้ว่าในปัจจุบันปั๊มน้ำมันถ้ามีอยู่ที่ 110,000 ถึง 150,000 แห่ง ทำให้จะต้องมีสถานีชาร์จไฟมากกว่าไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
ในส่วนแรกก็คือปั๊มน้ำมันมีจำนวนที่ลดลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาและยิ่งในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมามียอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งเป็นการสร้างแรงกระตุ้นเกี่ยวกับเรื่องของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาพร้อมกับการเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จรถยนต์เพื่อรองรับรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 2 ล้านคันทำให้ในอนาคตมีการมองว่าถ้าหากไม่สามารถเพิ่มจำนวนสถานีการชาร์จได้ก็อาจจำเป็นจะต้องลดจำนวนปั๊มน้ำมันที่มีอยู่เดิมลงอาจจะด้วยวิธีการปรับปรุงจากปั๊มน้ำมันให้กลายเป็นสถานีในการชาร์จแทนความท้าทายประการสำคัญข้างหน้าก็คือการสร้างพื้นฐานในการชาร์จให้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภคจากการคาดการณ์ภายในปี 2030 ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 30 ล้านคันบนถนนจากการคำนวณคร่าวๆก็คือนับจากวันนี้พวกเขาจะต้องสร้างแท่นชาร์จถึง 478 แห่งต่อวันเป็นเวลา 8 ปีเพื่อให้ตอบสนองความต้องการได้ทัน
และจากกรณีศึกษาที่พวกเขาได้ไปทดลองกันที่ North Dakota, Wyoming และ West Virginia จะพบว่าทั้ง 3 รัฐจะสามารถพบเจอสถานีชาร์จไฟให้รถไฟฟ้าที่ว่างเปล่าได้อย่างไม่ยากเย็นแต่หากกอดกันไปในฝั่งของ New Jersey, Hawaii และ Arizona ทั้ง 3 แห่งจะอัดแน่นไปด้วยผู้ที่รอคิวในการชาร์จไฟให้กับรถยนต์ไฟฟ้าอาจจะเลวร้ายถึงขั้นว่าต้องรอกันนานถึง 6 ชั่วโมงเลยก็มี
ก็อยากว่าครับตามการศึกษาของที่พวกเขาได้ทำมามันก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าอุปสรรคสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้านั้นก็คือสถานีในการชาร์จไม่ว่าจะด้วยจำนวนที่มันมีน้อยไม่เพียงพอต่อการใช้งานและอุปสรรคสำคัญก็คือความเร็วในการชาร์จที่ใช้อย่างน้อย 30 ถึง 40 นาทีต่อการชาร์จ 1 รถยนต์ 1 คันยิ่งถ้าหากว่าใน ครั้งยิ่งถ้าหากว่าในแห่งรัฐ ครั้งยิ่งถ้าหากว่าในแห่งสถานีแห่งนั้นมีเครื่องชาร์จให้บริการน้อยก็จะยิ่งส่งผลให้ผู้ใช้บริการต้องต่อคิวรอกันนานมากขึ้นกว่าเดิม
ที่มา : insideevs