มาดูกันในรุ่น Pro ก่อนครับ ซึ่งตัวแรกเป็น Redmi Note 11 Pro 5G จะมาพร้อมชิปเซ็ต Snapdragon 695 (6nm) จับคู่กับ RAM LPDDR4X ขนาด 6GB หรือ 8GB มีที่เก็บข้อมูล UFS 2.2 ขนาด 64GB หรือ 128GB โดยทั้งสองรุ่นจะใช้ถาดใส่การ์ดไฮบริด ที่ต้องเลือกใส่การ์ด microSD หรือใส่ซิมการ์ดที่สอง
ในขณะที่ Redmi Note 11 Pro (เวอร์ชั่น 4G) จะได้รับชิป Helio G96 แทน (12nm) ที่เก่ากว่า และ GPU ที่เบากว่าอย่าง Mali-G57 MC2 แต่ทั้งสองรุ่นจะเท่าเทียมกันในด้านซอฟท์แวร์ เพราะใช้ MIUI 13 บน Android 11 เหมือนกัน
นอกเหนือจากด้านชิปเซ็ต และการเชื่อมต่อ Redmi Note 11 Pro ทั้งสองเครื่องจะมีสเปคเหมือนกันแทบทุกอย่างครับ คือ จะมาพร้อมจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว มีความละเอียด 1080p+ (20:9) อัตราการรีเฟรช 120Hz และอัตรา touch-sampling rate 360Hz จอแสดงผลรองรับช่วงสีกว้าง DCI-P3 ความสว่างทั่วไปที่ 700 นิต (สูงสุด 1,200 นิต) หน้าจอได้รับการปกป้องโดย Gorilla Glass 5 และกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP53 (น้ำกระเซ็น)
กล้องหลักที่ด้านหลังใช้เซ็นเซอร์ 108MP ISOCELL HM2 ขนาด 1/1.52” พร้อมพิกเซล 0.7µm และรองรับ 9-in-1 binning (2.1µm) เซ็นเซอร์นี้ยังรองรับการซูมสูงสุด 3 เท่า และมีกล้องอัลตร้าไวด์ 8MP (118°) และกล้องมาโคร 2MP และในรุ่น 4G ยังได้รับเซ็นเซอร์ความลึก 2MP ด้วย
ที่ด้านหน้ามีรูเจาะสำหรับกล้องเซลฟี่ 16MP และแม้ว่าหน้าจอจะเป็นจอ AMOLED แต่ Xiaomi เลือกที่จะใส่เซ็นเซอร์สแกนนิ้วไว้ที่ด้านข้างครับ และยังมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และลำโพงคู่ตามทีเซอร์ก่อนหน้านี้
ทั้งสองรุ่นใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ 5,000mAh ซึ่งรองรับการชาร์จเร็ว 67W ที่สามารถชาร์จจากศูนย์เป็นมากกว่า 50% ได้ในเวลาเพียง 15 นาที และใจดีแถมที่ชาร์จให้ในกล่อง เช่นเดียวกับสาย USB-C และรองรับการเชื่อมต่อ NFC, IR Blaster, Wi-Fi 5 (ac) และ Bluetooth 5.1 ครบครัน
Redmi Note 11 Pro 5G และ Note 11 Pro 4G จะวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ รุ่น 4G จะมีราคาเริ่มต้นที่ 300 ดอลลาร์ (ประมาณ 9,900 บาท) สำหรับรุ่น RAM 6/64GB และ 350 ดอลลาร์ (ประมาณ 11,500 บาท) สำหรับตัวเลือก RAM 8/128GB ในขณะที่รุ่น Pro 5G จะเริ่มต้นที่ 330 ดอลลาร์ (ประมาณ 10,800 บาท) สำหรับรุ่น RAM 6/64GB และ 380 ดอลลาร์ (ประมาณ 12,500 บาท) สำหรับรุ่น RAM 8/128 GB
source: gsmarena