Infinix เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในรุ่นระดับเริ่มต้น และระดับกลางรุ่นใหม่รวม 3 รุ่น ภายใน Zero X Series ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนกลุ่มแรกของบริษัทที่มาพร้อมกล้องซูม Periscope ที่มีกำลังขยายแบบออพติคอล 5x และกำลังขยายแบบดิจิตอล 60x นอกจากนี้ยังพัฒนาอัลกอริธึมที่เรียกว่า Galileo Engine เพื่อควบคุมกล้องในขณะที่ถ่ายภาพดวงจันทร์ และประมวลผลข้อมูลในภายหลังเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตามทั้งสามรุ่นใช้กล้องหลักต่างกันครับ โดยในรุ่นท็อปสุด Infinix Zero X Pro มาพร้อมเซ็นเซอร์ 108MP พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล (OIS) ในขณะที่ Infinix Zero X มีเซ็นเซอร์ 64MP (พร้อม OIS) และรุ่นน้อง Infinix Zero X Neo ใช้เป็นกล้อง 48MP (ไม่มี OIS)
โทรศัพท์ทั้งสามรุ่นใช้โมดูลกล้อง Periscope ร่วมกับเซ็นเซอร์ 8MP และกล้องอัลตร้าไวด์ 8MP (120º) ที่ถ่ายมาโครได้ และสุดท้ายมีกล้องเซลฟี่ 16MP ที่ด้านหน้าพร้อมแฟลช LED คู่
สมาร์ทโฟนทั้ง 3 รุ่นใช้พลังงานจาก CPU Helio G95 ของ MediaTek ซึ่งเป็นชิปเซ็ต 12nm พร้อม Cortex-A76 สองคอร์ (2.05GHz) และ Mali-G76 MC4 (900MHz) ชิปเซ็ตนี้มีอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 90Hz ที่ความละเอียด 1080p+ แต่ Infinix Zero X และ X Pro ใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ที่มีอัตราการรีเฟรช 120Hz และอัตราการสุ่มตัวอย่างแบบสัมผัส 240Hz ซึ่งการที่ refresh rate สามารถยกระดับจาก 90Hz เป็น 120Hz เพราะมีชิป Intelligent Display ของ MediaTek ทำงานร่วมด้วยนั่นเอง
ในขณะที่ Infinix Zero X Neo ใช้เป็นจอ LCD ขนาดใหญ่กว่าที่ 6.78 นิ้ว พร้อมอัตราการรีเฟรช 90Hz และอัตราการสุ่มตัวอย่างแบบสัมผัส 180Hz และยังมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่าด้วยความจุ 5,000mAh และการชาร์จ 18W (ซึ่งได้รับการรับรองจาก TUV Rheinland)
ส่วนทางด้าน X และ X Pro มีการชาร์จเร็วกว่า คือมีแบตเตอรี่ 4,500 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 45W ที่สามารถชาร์จ 0-40% ใน 15 นาทีเท่านั้น
ทั้ง 3 รุ่นมาพร้อมกับ XOS 7.6 (บนพื้นฐาน Android 11) และที่เก็บข้อมูล UFS 2.2 โดยรุ่น Pro เริ่มต้นที่ความจุ 128GB และมีตัวเลือก 256GB ส่วนอีก 2 รุ่นมีความจำอยู่ที่ 128GB โดยในทุกรุ่นมี RAM เท่ากันคือ 8GB
Infinix Zero X Series จะวางจำหน่ายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ไนจีเรีย ไทย อินโดนีเซีย อียิปต์ และภูมิภาคอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีแผนที่จะขยายไปยังยุโรปตะวันตกหรือสหรัฐอเมริกา ส่วนทางด้านราคาจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ภูมิภาคครับ แต่จะมีราคาอยู่ที่ราวๆ $300 หรือประมาณ 9,900 บาท
โดยในรุ่น Pro จะวางจำหน่ายในสี Nebula Black, Starry Silver และ Tuscany Brow, ส่วนในรุ่นหลักจะมี สีดำและสีเงิน, และสุดท้ายรุ่น Neo มีสีดำ, สีเงิน และสีน้ำเงินบาฮามาส
source: gsmarena