หลังจากที่รอคอยมาหลายเดือน ในที่สุด Huawei P50 Series ก็ถูกเปิดตัวในที่สุดครับ โดยครั้งนี้ไม่มีรุ่น Pro+ แต่อย่างใด มีแค่รุ่น Huawei P50 และ Huawei P50 Pro สองรุ่นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามทั้งคู่มาพร้อมกล้องคุณภาพดีที่ได้รับการอัพเกรด และฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจเช่นเคย
ไปดูกันที่ไฮไลท์หลักของทั้งสองรุ่นกันครับ โดยกล้องของ Huawei P50 Series ยังคงเป็นแบรนด์ Leica ทั้งสองรุ่น มีเซ็นเซอร์สี 10 ช่องสัญญาณ และโมดูลเทเลโฟโต้ที่ได้รับการอัพเกรดให้ดีขึ้น ในส่วนของกล้องหลังบน P50 Series ติดตั้งกล้องหลักตัวเดียวกัน คือเซ็นเซอร์ 50MP อยู่หลังเลนส์ 23 มม. พร้อมรูรับแสง f/1.8 และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล (OIS)
โดยสำหรับ Huawei P50 Pro ยังมาพร้อมกล้องขาวดำ 40MP เลนส์ 26 มม. และรูรับแสง f/1.6 ถัดไปเป็นกล้องมุมกว้างพิเศษ 13MP พร้อมเลนส์ 13 มม. f/2.2 ที่รองรับเลเซอร์ออโต้โฟกัสที่รวดเร็ว
สำหรับการซูม P50 Pro มีเลนส์ปริทรรศน์ มีทางยาวโฟกัสเพียง 90 มม. ซึ่งน้อยกว่ากล้องปริทรรศน์ส่วนใหญ่ที่เราเคยเห็นมา (นั่นคือกำลังขยายประมาณ 3.9 เท่า) แต่เซ็นเซอร์ความละเอียดสูง 64MP ที่ช่วยยกระดับคุณภาพของภาพได้มาก โดยการซูมดิจิตอลทำได้สูงถึง 2,700 มม. มีรูรับแสง f/3.5 และรองรับ OIS เช่นกัน
และสำหรับ Huawei P50 รุ่นพื้นฐาน รุ่นนี้มีกล้องปริทรรศน์ Periscope Zoom ของตัวเองเป็นครั้งแรกในรุ่นที่ไม่ใช่รุ่น Pro มีความยาวโฟกัส 125 มม. (ซูม 5 เท่า) แต่มีเซ็นเซอร์ 12MP หลังเลนส์ f/3.4 พร้อม OIS นอกจากนี้ยังมีกล้องมุมกว้างพิเศษ 16 มม. ที่แคบกว่าเล็กน้อย และเซ็นเซอร์ 13MP ที่คล้ายกัน โดย P50 Series ทั้งสองรุ่นมีกล้องเซลฟี่ 13MP
P50 Pro มาพร้อมคุณสมบัติ XD Fusion Pro ซึ่งเป็นระบบฟิวชั่นภาพที่เพิ่มปริมาณแสงที่รวบรวมเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับ P40 Pro และเพิ่มช่วงไดนามิก 28% นอกจากนี้โทรศัพท์ทั้งสองเครื่องมีความสามารถในการถ่ายวิดีโอ 4K ไม่รองรับ 8K และสำหรับคลิปแบบสโลว์โมชั่น สามารถทำได้ 1080p @960fps
Huawei P50 Pro มีให้เลือก 2 เวอร์ชัน คือ รุ่นแรกใช้ CPU Kirin 9000 และอีกรุ่นหนึ่งมี Snapdragon 888 ที่น่าสนใจคือทั้งสองรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ 4G เท่านั้น แม้ว่าชิปเซ็ตทั้งสองจะรองรับ 5G ได้ก็ตาม
นอกจากนี้ P50 Pro มีหน่วยความจำหลายแบบ โดยเริ่มต้นที่ RAM 8GB และที่เก็บข้อมูล 128/256/512GB (พร้อมช่องเสียบการ์ด NM เพิ่มเติมสูงสุด 256 GB) และยังมีรุ่น RAM 12GB และที่เก็บข้อมูล 512GB อีกด้วย
ในขณะที่ Huawei P50 จะมาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 888 เท่านั้น ไม่มีตัวเลือก Kirin และจำกัดการใช้งาน 4G เหมือนกัน โดยรุ่นนี้มี RAM 8GB และที่เก็บข้อมูล 128/256GB พร้อมช่องเสียบ microSD ธรรมดา และทั้งสองรุ่นใช้ HarmonyOS 2.0 ของ Huawei จากในกล่อง
โทรศัพท์ทั้งสองรุ่นมีขนาดใกล้เคียงกันครับ แต่ Huawei P50 Pro มีหน้าจอ OLED แบบโค้งขนาด 6.6 นิ้ว ความละเอียด 1,225 x 2,700 พิกเซล (450ppi) รองรับ HDR ที่มีอัตราการรีเฟรช 120Hz และอัตราการ touch-sampling rate 300Hz
ในขณะที่ Huawei P50 มาพร้อมจอ OLED แบบแบนขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียดเดียวกัน แต่อัตราการรีเฟรชเพียง 90Hz, touch-sampling rate 300Hz และรองรับ HDR เช่นกัน
ด้านแบตเตอรี่ก็มีขนาดใกล้เคียงกันเช่นกันครับ โดยให้มาที่ 4,360mAh สำหรับรุ่น Pro และ 4,100mAh สำหรับรุ่นพื้นฐาน โดยทั้งคู่รองรับการชาร์จ 66W ผ่าน USB-C และ 50W แบบไร้สายเหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีมีลำโพงสเตอริโอ และกันน้ำระดับ IP68 ทั้งคู่
Huaweu P50 Series ทั้งสองรุ่นจะวางจำหน่ายทั่วโลก (นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำไมจึงล็อกไว้ที่ 4G เท่านั้น) แม้ว่าวันที่เปิดตัวทั่วโลกยังไม่ได้ประกาศก็ตาม
โดย Huawei P50 Pro จะเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าในวันพรุ่งนี้ในประเทศจีน และจะเริ่มส่งมอบล็อตแรกในวันที่ 12 สิงหาคม โดยรุ่นที่ถูกที่สุดมีชิปเซ็ต Snapdragon 888 และหน่วยความจำ 8/128GB ซึ่งเปิดตัวที่ราคา 6,000 หยวนจีน (ประมาณ 30,600 บาท)
ส่วน Huawei P50 จะวางจำหน่ายในเดือนกันยายน โดยราคาเริ่มต้นที่ 4,500 หยวนจีน (ประมาณ 23,000 บาท) สำหรับรุ่น 8/128GB ตัวเริ่มต้น และมีตัวเลือกสีของทั้งสองรุ่นตามภาพด้านล่างนี้เลย
สำหรับในประเทศไทยอาจต้องรอการประกาศอีกทีครับ แต่เชื่อว่าจะมีวางจำหน่ายในบ้านเราแน่นอน
source: gsmarena