บริษัทข่าวกรองด้านการตลาด TrendForce ได้เผยแพร่การคาดการณ์กลยุทธ์ของ Apple กับ iPhone 13 Series ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้ หรือบางทีอาจจะถูกเรียกว่า iPhone 12s เนื่องจากอาจเป็นการเลี่ยงใช้เลข 13 ที่ฝั่งชาติตะวันตกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
แม้ว่าการขาดแคลนส่วนประกอบได้ผลักดันราคาต้นทุนให้สูงขึ้น แต่ตามที่นักวิเคราะห์คาดว่า Apple จะคงราคาของรุ่นปัจจุบันเริ่มต้นที่ 700 ดอลลาร์สำหรับ mini (ที่แม้รุ่นนี้อาจจะไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรก็ตาม)
Apple ยังมีแผนอัพเกรดส่วนประกอบบางอย่างให้กับดีไวซ์ของตนเองด้วยครับ อย่างเช่น iPhone 13 Pro ทั้งสองรุ่น จะมีจอ AMOLED ที่มีอัตราการรีเฟรช 120Hz (แบบ LTPO) และรอยบากจะเล็กลงด้วยและยังมี Face ID เหมือนเดิม
กล้องหลักทั้งหมดจะเปลี่ยนจาก OIS แบบเดิมไปเป็นระบบป้องกันภาพสั่นไหวของเซ็นเซอร์ sensor shift stabilization แทน นอกจากนี้โมดูลมุมกว้างพิเศษจะมีเลนส์ 6P ขั้นสูงพร้อมโฟกัสอัตโนมัติ แต่อย่างไรก็ตาม รายงานของ TrendForce ขัดแย้งกับรายงานก่อนหน้านี้ครับ ที่บอกว่าทุกรุ่นจะได้รับเซ็นเซอร์ LiDAR โดยกล่าวว่าจะมีเพียงรุ่นโปรทั้งสองเครื่องเท่านั้นที่จะได้
ในรายงานของ TF ยังอ้างว่า iPhone Pro ทั้งสองรุ่น จะมีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดที่ 512GB เท่านั้น (ขัดกับรายงานก่อนหน้าอีกครั้งที่บอกว่าจะมี 1TB) และไอโฟนทุกรุ่นจะใช้ชิปเซ็ต Apple A15 รุ่นใหม่ ที่พัฒนาโดยกระบวนการ N5P ที่อัปเกรดขึ้นใหม่โดย TSMC
นักวิเคราะห์ TF คาดการณ์ว่า Apple จะผลิตไอโฟนได้ 223 ล้านเครื่อง เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นและการคลายล็อกดาวน์ ซึ่งหมายความว่าไอโฟนซีรีส์ใหม่จะมีสัดส่วนประมาณ 39% ของ iPhone ทั้งหมดที่จะผลิตในปีนี้ เมื่อรวมกับซีรีส์ 12 (ที่เป็นกำลังการผลิตส่วนใหญ่) ซึ่งยังอยู่ระหว่างการผลิต จะทำให้ส่วนแบ่งสมาร์ทโฟน 5G ของ Apple เพิ่มขึ้นจาก 39% เป็น 75% อีกด้วย
และตามรายงานของ TF ก่อนหน้านี้ระบุว่าการผลิต iPhone 12 mini จะถูกหยุดลง เนื่องจากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการขายได้ ทำให้บริษัทไม่ได้หวังกับ iPhone 13 mini เท่าไหร่ และ Apple จะทุ่มความพยายามทางการตลาดไปที่รุ่นใหญ่ทั้งสามรุ่นมากกว่า
source: 9to5mac