iPhone 12 Pro Max vs Galaxy Note20 Ultra
เปรียบเทียบสเปค iPhone 12 Pro Max vs Galaxy Note20 Ultra สองเรือธงที่สมน้ำสมเนื้อ เลือกรุ่นไหนดี !?
Apple เปิดตัว iPhone 12 Series อย่างเป็นทางการเรียบร้อย หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก็สร้างความว้าวให้กับแฟน ๆ อย่างมากเพราะอัปเกรดมาหลายจุดเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน แต่..แล้วถ้าเทียบกับเรือธงค่ายอื่นล่ะ จะเป็นอย่างไร ?
วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบสเปคของ iPhone 12 Pro Max vs Galaxy Note20 Ultra คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อที่สุดในตอนนี้ เทียบกันชัด ๆ ทั้งเรื่องสเปค ดีไซน์ ตามข้อมูลว่าถ้าชนกันจริง ๆ แล้วตัวไหนจะน่าสนใจกว่ากัน เพื่อเป็นการประกอบการตัดสินใจของเพื่อน ๆ เผื่อวางแผนจะซื้อเรือธงรุ่นใหม่ในช่วงปลายปีนี้เนาะ พร้อมแล้วเริ่มเลยดีกว่าครับ :D
ดีไซน์
Pacific Blue vs Mystic Bronze
เริ่มต้นกันที่ดีไซน์กันก่อน ทั้งคู่จัดเต็มมาด้วยวัสดุงานประกอบสุดหรูหราและตัวเลือกสีที่โดดเด่นไม่แพ้กัน
iPhone 12 Pro Max ใช้วัสดุงานประกอบระดับไฮเอนด์ด้วยกรอบเครื่องสแตนเลสสตีลมีความมันวาว พร้อมกระจกหน้าจอที่เคลือบด้วยเทคโนโลยี Ceramic Shield ทนทานกว่ากระจกทั่วไปถึง 4 เท่าด้วยกัน และใช้ดีไซน์ทรงเหลี่ยมขึ้นกว่ารุ่นก่อน ลดความหนาลงเหลือเพียง 7.4 มม. เท่านั้น ส่วนน้ำหนักก็อยู่ที่ 226 กรัมครับ
สำหรับ iPhone 12 Pro Max ก็มีให้เลือกด้วยกัน 4 สีคือ ดำ Graphite, เงิน, ทอง และสีไฮไลท์ใหม่น้ำเงิน Pacific Blue ครับ
Galaxy Note20 Ultra มาพร้อมวัสดุงานประกอบที่หรูหราไม่แพ้กันได้หน้าจอกระจกกันรอยตัวใหม่ล่าสุด Gorilla Glass Victus ที่ทนทานกว่ารุ่นก่อนมาก และ Samsung เคลมว่าเป็นกระจกที่แข็งแกร่งที่สุดใช้ทั่งด้านหน้า-หลังเลย ส่วนกรอบก็เป็นสแตนเลสสตีลเช่นกัน มาพร้อมความบาง 8.1 มม. และเบาเพียง 208 กรัม
ส่วนสีสัน Galaxy Note20 Ultra มีให้เลือก 3 สีคือ Mystic Black, Mystick White และสีไฮไลท์คือ Mystic Bronze ครับ
ทั้งคู่มาพร้อมความสามารถกันน้ำกันฝุ่นเหมือนกันแต่ของ iPhone 12 Pro Max จะลงน้ำได้ลึก 6 เมตรนาน 30 นาที ในขณะที่ Note20 Ultra ได้ 2 เมตร 30 นาทีครับ
หน้าจอ
Super Retina XDR vs Dynamic AMOLED 2X
ต่อมาก็เป็นเรื่องสำคัญ “หน้าจอ” แน่นอนว่ายุคสมาร์ทโฟนที่เราต้องใช้งานหน้าจอเป็นหลัก ส่วนนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่อาจทำให้เราตัดสินใจได้เลย เรามาดูสเปคจอของทั้ง 2 รุ่นกันก่อน
iPhone 12 Pro Max มาพร้อมหน้าจอ OLED แบบ Super Retina XDR ที่ความละเอียดระดับ 2778 x 1284 พิกเซล ขนาดใหญ่ 6.7” มีค่า Contrast Ratio สูงถึง 2,000,000 : 1 และสามารถความสว่างสูงสุดได้ที่ 1200nits ครับ
Galaxy Note20 Ultra นั้นจะใช้หน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X ขนาดใหญ่ถึง 6.9” มีความละเอียดสูงสุดที่ระดับ WQHD+ (3088 x 1440) และที่สำคัญมาพร้อม refresh rate สูงสุด 120Hz ด้วย แสดงความสว่างได้สูงสุดถึง 1500nits อีกต่างหาก
สเปค
Apple A14 Bionic vs Exynos 990
อีกเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือสเปคปละประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่า iPhone 12 Pro Max จะยังไม่วางจำหน่ายและลองใช้งานได้จริง ๆ แต่ในส่วนนี้แต่ละแบรนด์ก็เคลมกันว่ามีประสิทธิภาพสูงที่สุดบนตลาดสมาร์ทโฟนตอนนี้แล้ว
iPhone 12 Pro Max มาพร้อมชิปเซ็ตตัวใหม่ Apple A14 Bionic ที่มาพร้อมสถาปัตยกรรมแบบ 5nm อัปเกรดขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 50% และยังมี Neural Engine แบบใหม่ที่เพิ่มประสิทธิภาพมากถึง 80% อีกเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
Galaxy Note20 Ultra ส่วนของทาง Samsung ก็เลือกใช้ Exynos 990 ตัวท็อปสุดของ Samsung ตอนนี้ มีความจุสูงสุดถึง 12GB + 512GB กันเลยครับ
5G
ทั้งคู่รองรับการใช้งาน 5G เหมือนกัน พร้อมใช้งานเครือข่าย 5G ที่ให้ประสบการณ์เร็วแรงกว่าที่คุณเคยเจอ ได้ทุกคลื่น ไม่เลือกค่าย แต่ของ iPhone 12 Pro Max ทาง Apple เคลมว่าทำความเร็วดาวน์โหลดได้สูงสุด 4Gbps เครื่องไทยตามข้อมูลระบุว่าได้แค่ sub-6 เท่านั้น ส่วน Note20 Ultra จะได้ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 20Gbps บนความถี่ทั้ง sub-6 ปกติ และ mmWave ครับ
กล้อง
12MP vs 108MP
และเรื่องกล้องที่เป็นเรื่องที่ทั้ง 2 รุ่นอัปเกรดและเคลมว่าทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ทั้งคู่ได้กล้องหลังมา 3 ตัวเหมือนกัน ครบช่วงตั้งแต่มุมกว้าง Ultra Wide ไปจนถึงการซูมที่มากกว่า 2x
iPhone 12 Pro Max มาพร้อมกล้องหลังความละเอียด 12MP ทั้ง 3 ตัว มีการปรับขนาดเซ็นเซอร์ให้ใหญ่ขึ้น Apple เคลมว่าสามารถเก็บแสงได้ดีขึ้นกว่าเดิมถึง 87% ทั้งในภาพนิ่งและวิดีโอ มี Night mode มาให้ใช้ทั้งเลนส์ Wide และ Ultra Wide แล้ว ส่วนเลนส์ Tele ก็สามารถซูมได้แบบ Optical ที่ 2.5x พร้อมระบบกันกั่นพิเศษที่ทำให้ภาพนิ่งและวิดีโอดีขึ้นไปอีก
Galaxy Note20 Ultra ทางฝั่ง Samsung ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ได้กล้องหลังสเปคเทพ ๆ มาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลักความละเอียด 108MP เลนส์ Ultra Wide มุมกว้าง 12MP และเลนส์ซูมแบบ Periscope 12MP ที่สามารถซูมแบบ Optical ได้มากถึง 5x และซูมสูงสุดได้ที่ 50x เลย ทำให้ได้ระยะการซูมที่ถึงใจกว่ามากเลย
3D LiDAR vs Laser Autofocus
ทั้งคู่มาพร้อมเซ็นเซอร์เสริมที่จะช่วยให้การถ่ายภาพนั้นดียิ่งขึ้น iPhone 12 Pro Max มีเทคโนโลยีอวกาศอย่าง LiDAR หรือ Light Detection and Ranging คือวิธีการในการวัดระยะและสร้างแผนที่ 3 มิติ โดยการยิงคลื่นแสงเลเซอร์ที่ส่งไปกระทบกับพื้นผิว เพื่อวัดระยะทางผ่านการใช้ ‘ระยะเวลา’ ในการเดินทางของลำแสงออกจากอุปกรณ์ไปถึงพื้นผิวเป้าหมายจนกลับมาที่เซนเซอร์
ประโยชน์ของ LiDAR นอกจากการสร้างแบบจำลองสามมิติเพื่อใช้ใน Augmented Reality สิ่งที่ได้มาด้วยคือการโฟกัสวัตถุที่แม่นยำและไวมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การโฟกัสเมื่อถ่ายภาพนิ่งหรือวิดีโอนั้นดีขึ้นกว่าเดิม เช่นเดียวกับ Laser Autofocus ใน Galaxy Note20 Ultra ก็ช่วยให้การโฟกัสวัตถุทั้งโหมดภาพนิ่งและโหมดวิดีโอว่องไวได้ไม่แพ้กัน
แบตเตอรี่และระบบชาร์จ
3687mAh vs 4500mAh
มาต่อกันในเรื่องแบตเตอรี่ ทั้ง 2 รุ่นเป็นสมาร์ทโฟนจอยักษ์ที่เน้นการใช้งานยาวนาน และเคลมว่าแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานสุด ๆ
iPhone 12 Pro Max ถึงแม้ Apple จะไม่ได้ระบุความจุแบตเตอรี่ไว้ชัดเจน แต่ตามข้อมูลหลุดเผยว่ารุ่นนี้จะมีแบตเตอรี่ 3687mAh อาจจะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ถ้าตามข้อมูลหน้าเว็บไซต์ Apple ที่ระบุว่าสามารถดูวิดีโอได้นาน 20 ชม. ก็ถือว่าใกล้เคียงกับ iPhone 11 Pro Max ครับ
Galaxy Note20 Ultra ส่วนของ Samsung ระบุไว้ชัดเจนว่ารุ่นนี้มีแบตเตอรี่ที่ 4500mAh ใช้งานได้ยาวนานไม่แพ้กัน Samsung เคลมว่าใช้งานได้ทั้งวันโดยไม่ต้องกังวล
20W vs 25W
ส่วนระบบชาร์จทั้งคู่มีระบบชาร์จไวแบบสายที่ความเร็ว 18W ขึ้นทั้งคู่ โดย iPhone 12 Pro Max รองรับชาร์จไวแบบสายสูงสุด 20W ในขณะที่ Note20 Ultra ได้สูงสุดที่ 25W ครับ แต่จุดที่ Samsung ได้เปรียบกว่าคงเป็นเรื่องหัวชาร์จที่มีแถมมาในกล่องเลยไม่ต้องซื้อแยกน่ะนะ :P
ระบบชาร์จไร้สายทั้งคู่ก็มีเหมือนกัน Note20 Ultra รองรับแบบ Fast Charge ผ่าน Qi มาตรฐานที่ 15W ในขณะที่ iPhone 12 Pro Max ได้แค่ 7.5W ในแบบ Qi ถ้าอยากเร็วกว่านั้นต้องไป MacSafe ระบบชาร์จไร้สายใหม่ที่ต้องซื้อแยกอีกนั่นแหละ
ระบบปฏิบัติการและ Ecosystems
iOS vs Android
และเรื่องสำคัญที่สุดอีกอย่างก็คงหนีไม่พ้นซอฟต์แวร์ แน่นอนว่าทั้งคู่ใช้ OS คนละตัวเลย ฝั่งหนึ่งเป็น iOS อีกฝั่งเป็น Android การใช้งานก็คงแตกต่างกันตามความชอบของผู้ใช้งาน สำหรับ iPhone 12 Pro Max จะใช้ iOS 14 เวอร์ชั่นล่าสุด ส่วน Note20 Ultra จะใช้ Android 10 ที่ครอบทับด้วย OneUI 2.5 ครับ
Siri vs Google Assistant/Bixby
ว่าด้วยเรื่องผู้ช่วยอัจฉริยะ ของฝั่ง iOS จะมี Siri ผู้ช่วยสารพัดประโยชน์ที่ให้ชีวิตสะดวกมากขึ้น กับการใช้เสียงของคุณในการทำอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะสั่งให้โทรออก ส่งข้อความ ตั้งปลุกตอนหกโมงเช้า เล่นเพลงล่าสุด โชว์รูปที่ไปเกาะเสม็ด หรือถามว่าเมื่อคืนอาร์เซนอลแพ้ลิเวอร์พูลกี่ลูก ทุกอย่างล้วนสามารถทำได้ผ่าน Siri
แต่สำหรับฝั่ง Android บน Galaxy Note20 Ultra ก็มี Virtual Assistant ที่ทำทุกอย่างได้เหมือน Siri แต่คุณสามารถเลือกใช้ได้เอง ไม่ว่าจะเป็น Google Assistant ที่รองรับการสั่งงานด้วยเสียงมากกว่า 30 ภาษา และผนวกพลังเข้ากับ Google และพร้อมหาทุกคำตอบให้คำถามของคุณ หรือเลือกที่จะใช้ Bixby ที่ขยายการสั่งการด้วยเสียงไม่เพียงแค่ Galaxy Devices แต่รวมไปถึงอุปกรณ์ Smart Home ของซัมซุงอีกด้วย
Apple Ecosystems vs Galaxy Ecosystems
อีกเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ Ecosystems เหตุผลหลักที่หลายคนยังไม่อยากย้ายจากแอปเปิลมาใช้แอนดรอยด์คือการตกอยู่ใน Ecosystems ของแอปเปิลที่คุณอาจหมดเงินไปอย่างมหาศาลก่อนหน้านี้ แต่ Galaxy Note20 Ultra 5G คือหนึ่งใน Galaxy Devices ที่มาพร้อมกับ Galaxy Account ที่ช่วยซิงค์ทุกอุปกรณ์เข้าด้วยกันเป็น Ecosystem เดียว รวมไปถึง Samsung Cloud แหล่งจัดเก็บข้อมูลออนไลน์ที่แบ็คอัพทุกอย่างแม้กระทั่งการตั้งค่าในดีไวซ์ของคุณ การย้ายจักรวาลแห่งดีไวซ์จากแอปเปิลมาเป็น Galaxy Ecosystems จึงไม่ใช่เรื่องยากแล้วในปัจจุบัน
หากคุณมีแอปเปิลดีไวซ์อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น iPad, Apple Watch หรือ AirPods ก็สามารถนำมาใช้งานกับ Galaxy Note20 Ultra 5G ได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยการเชื่อมต่อทางฮาร์ดแวร์ทั้งแบบ Bluetooth หรือ WiFi หรือการเชื่อมต่อระดับซอฟท์แวร์ด้วย Google Account หรือ Microsoft Account ที่รองรับข้ามระบบปฏิบัติการทั้งไอโอเอสและแอนดรอยด์
หรือหาก Note20 Ultra คือแก็ดเจ็ทชิ้นแรกของคุณ ในปัจจุบัน Samsung Galaxy ก็มีทุกโปรดักส์ที่ชนกับแอปเปิลดีไวซ์โดยตรง ตั้งแต่ Galaxy Note20 Ultra 5G กับ iPhone12 Pro Max, Galaxy Tab S7+ กับ iPad Pro2 with Apple Pencil Gen 2, Galaxy Watch3 กับ Apple laxy ารถนำมาเปิลดีไวษว่องง ายมาใช้กับ Watch 6, Buds Live กับ AirPods ยังไม่รวมถึงการเชื่อมต่อ Galaxy Devices เข้ากับแลปทอปที่ใช้ Windows 10 อย่างง่ายดาย และการเชื่อมต่อกับ Google Devices อย่าง Google Nest, Chromecast, Android TV และ Android Auto ที่ทำให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ไม่ต่างไปจาก Apple Ecosystem แม้แต่น้อย
AirDrop vs Nearby Share
อีกหนึ่งจุดเด่นของแอปเปิลดีไวซ์เหนือแอนดรอยด์ (ในอดีต) คือ AirDrop ที่ทำให้การโอนถ่ายไฟล์ระหว่างแอปเปิลดีไวซ์เป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะการส่งไฟล์ขนาดใหญ่ที่ไวพอๆ กับการใช้ 4G ทำให้แอปเปิลดีไวซ์เป็นที่ถูกอกถูกใจของเหล่านักศึกษาในการส่งชีทหรือสไลด์หลายสิบหน้าในทีเดียว
แต่ใช่ว่า Google จะนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้ฟังก์ชั่นนี้มีเฉพาะแอปเปิล เพราะล่าสุดแอนดรอยด์ก็มีนวัตกรรมที่เรียกว่า Nearby Share ที่รองรับกับแอนดรอยด์ดีไวซ์ย้อนหลังตั้งแต่ Android 6.0 เป็นต้นไป โดย Nearby Share จะส่งข้อมูลได้ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ผ่านหลายโปรโตคอลทั้ง Bluetooth, Bluetooth LE, WebRTC, รวมถึง P2P WiFi เพื่อให้ได้การเชื่อมต่อที่เร็วและเสถียรที่สุด
ไม่เพียงแค่นั้น Google ยังเตรียมเปิดมาตรฐาน Nearby Share นี้ให้กับระบบอื่นๆ ทั้ง Chrome OS, Windows, Mac OS รวมไปถึง Linux ซึ่งในอนาคตจะทำให้แอนดรอยด์ดีไวซ์สามารถส่งไฟล์ด่วนกับใครก็ได้แม้กระทั่งแอปเปิลดีไวซ์ แต่แอปเปิลดีไวซ์จะส่งได้เฉพาะพวกเดียวกันเอง
บริการ
การอัปเดตและบริการ
เรื่องการอัปเดตก็ในปีหลัง ๆ จะเห็นว่าแต่ละแบรนด์มักประกาศเลยว่าสมาร์ทโฟนรุ่นไหนสามารถอัปเดตไปได้อีกกี่ปี เพื่อสร้างความมั่นใจ ของทางฝั่ง iOS ขึ้นชื่อเรื่องนี้อยู่แล้วเพราะสมาร์ทโฟนที่เปิดตัวมากว่า 4 ปีปัจจุบบันยังอัปเดตได้อยู่เลยซึ่งแน่นอนว่า iPhone 12 Pro Max ที่เพิ่งเปิดตัวในปีนี้ก็คงได้อีกยาว ๆ ในขณะที่ฝั่ง Galaxy Note20 Ultra ทาง Samsung ก็ไม่นิ่งเฉยประกาศทางการเลยว่ารองรับการอัปเดตอย่างน้อย 3 ปี ยาว ๆ ไปถึง Android 12 กันเลย
AppleCare+ vs Samsung Care+
อีกหนึ่งสิ่งที่แอปเปิลมีแต่แอนดรอยด์ดีไวซ์ (เคย) ไม่มี คือ AppleCare ที่ขยายเวลารับประกันเพิ่มจาก 1 ปี เป็น 2 ปี รวมไปถึงการคุ้มครองความเสียหายจากอุบัติเหตุและการซัพพอร์ตทางเทคนิคอื่นๆ จากทางแอปเปิลโดยตรง เพิ่มเติม https://www.apple.com/th/suppo...
ในวันนี้ ซัมซุงก็มีบริการ Samsung Care+ ที่ให้บริการส่งช่างเทคนิคจากศูนย์บริการซ่อมถึงบ้าน รวมถึงครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุ หน้าจอแตก และความเสียหายที่เกิดจากของเหลวเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ Samsung Care+ สามารถดูได้ที่ https://www.samsung.com/th/off...
ฟีเจอร์อื่น ๆ
ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ iPhone 12 Pro Max ไม่มี
อย่างที่เห็นว่าในหลาย ๆ จุดนั้นเทียบกันได้อย่างสูสีจริง ๆ แต่ก็มีบางอย่างที่ Note20 Ultra มีแต่ iPhone 12 Pro Max ไม่มีเลยด้วย เราคัดมาคร่าว ๆ 5 อย่างดังนี้
Advanced Intelligent S-Pen
อย่างแรกคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า หากจะใช้งานปากกาบนสมาร์ทโฟน S-Pen คืออุปกรณ์ที่ทรงพลังที่สุดที่หาได้ตอนนี้แล้ว ซึ่งบน Galaxy Note20 Ultra นั้นอัปเกรดขึ้นมาใหม่ด้วย AI-Based Point Prediction ที่ลดเวลาตอบสนองระหว่างหน้าจอกับปากกาเหลือเพียง 9ms ให้ความรู้สึกเหมือนเขียนบนกระดาษจริง พร้อมทั้ง Hands-free Air Action เพียงแค่ขยับท่าทาง S-Pen ก็สั่งการได้หลายอย่างตามที่คุณกำหนด และ Presentation Stylus ใช้เป็น Remote ไร้สายที่ควบคุมสมาร์ทโฟนได้ดั่งใจ
MTP Transfer via USB
ด้วย MTP หรือ Media Transfer Protocol ที่ทำให้ดีไวซ์ต่างๆ มองเห็น Galaxy Note20 Ultra 5G เป็นเหมือน External Storage ตัวหนึ่งที่โอนย้ายไม่เพียงเฉพาะรูปภาพ แต่เป็นไฟล์ทุกประเภทได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องลงโปรแกรมให้ยุ่งยากลำบากจนเกินไป รวมไปถึงการย้ายข้อมูลจากเครื่องเก่ามาเครื่องใหม่เพียงเสียบสายแล้วกดเพียงครั้งเดียว
Wireless DeX
ให้ประสบการณ์แบบเดสก์ทอปบนจอภาพทุกประเภท เพียงต่อ Galaxy Note20 Ultra เข้ากับทีวีหรือโปรเจคเตอร์ผ่าน Miracast ทีนี้ไม่ว่าจะพรีเซนท์งานผ่าน PowerPoint บนโปรเจคเตอร์หรือดู Netflix บนทีวีที่บ้านก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีสายต่อให้เกะกะแต่อย่างใด
Link-to-Windows
ไม่ต้องมัวพะวงคอยดูสมาร์ทโฟนเรื่อยๆ ผ่านการเชื่อมต่อกับ Windows PC อย่างไร้ขีดจำกัดด้วย Link-to-Windows ที่สามารถดึงทุกอย่างใน Galaxy Note20 Ultra ของคุณมาไว้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะการโทรศัพท์ ข้อความ หรือแม้แต่การใช้แอพพลิเคชั่นโปรดในสมาร์ทโฟนมาไว้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยตรง
Wireless PowerShare
แบ่งปันพลังงานให้กับอุปกรณ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Watch3, Buds Live สมาร์ทโฟนของเพื่อน หรือแม้แต่แอปเปิลดีไวซ์ ด้วยการชาร์จแบบไร้สายด้วยมาตรฐาน Qi Wireless Charging ผ่าน Galaxy Note20 Ultra 5G ที่เสมือนมี Wireless Powerbank ติดตัวอยู่ตลอดเวลา
USB-C
หาที่ชาร์จได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะ Galaxy Note20 Ultra มากับการเชื่อมต่อแบบ USB-C มาตรฐานที่สามารถใช้ที่ชาร์จรวมกับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตและแลปทอปทั่วไป รวมไปถึงที่ชาร์จของแอปเปิลแบบ Thunderbolt3 ทั้งยังรองรับอุปกรณ์ต่อพ่วงหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นหูฟังดิจิตอล แฟลชไดรฟ์ เอ็กซ์เทอร์นอลฮาร์ดดิสก์ ไวร์เลสรีซีฟเวอร์สำหรับเมาส์และคีย์บอร์ดไร้สาย หรือแม้แต่เอ็กซ์เทอร์นอลด็อกเพื่อขยายการเชื่อมต่ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ราคา
ราคา iPhone 12 Pro Max
ปิดท้ายกันที่ราคา iPhone 12 Pro Max เปิดราคาเริ่มต้น $1099 เท่ากับรุ่นก่อน ถ้าคาดการณ์ง่าย ๆ ในบ้านเราก็น่าจะเท่ากับ iPhone 11 Pro Max เดิมเริ่มต้นที่ 39,900 บาทครับ
ราคา Galaxy Note20 Ultra
ส่วน Galaxy Note20 Ultra ก็วางจำหน่ายในบ้านเราเรียบร้อย มีให้เลือกหลายโมเดล ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 38,900 บาทครับ
Galaxy Note20 Ultra รุ่น 4G LTE (8GB + 256GB) = 38,900 บาท
Galaxy Note20 Ultra รุ่น 4G LTE (8GB + 512GB) = 42,900 บาท
-------------------------------------------------------------------------
Galaxy Note20 Ultra รุ่น 5G (12GB + 256GB) = 42,900 บาท
Galaxy Note20 Ultra รุ่น 5G (12GB + 512GB) = 46,990 บาท
สรุป
สรุปแล้วก็เป็น 2 เรือธงของแต่ละ OS ที่เรียกว่าจัดเต็มแบบไม่มีใครยอมเลยจริง ๆ แต่ถ้าวัดจากสเปคคร่าว ๆ อย่างเดียวแต่ละรุ่นจะมีจุดเด่นและข้อดีข้อด้อยต่างกันอยู่ อย่างเรื่องหน้าจอ กล้อง รวมถึงฟีเจอร์เด่น Galaxy Note20 Ultra นั้นแอบทำได้ดีกว่าด้วยหน้าจอ Adaptive 120Hz กล้องหลังซูมได้สูงสุด 50x และลูกเล่นของ S Pen ส่วน iPhone 12 Pro Max ก็จะโดดเด่นกว่าในเรื่องของชิปเซ็ตตัวใหม่แบบ 5nm ดีไซน์ทรงใหม่พร้อมความบางเฉียบของตัวเครื่อง
ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบคร่าว ๆ จากข้อมูลที่เราทราบตอนนี้เท่านั้นเนาะ เอาไว้รอตัวเครื่องวางขายจริงและเราได้ทดสอบไปพร้อม ๆ กันแล้วคงได้เห็นอะไรเพิ่มเติมอีกเยอะ ทั้งคุณภาพกล้อง ประสิทธิภาพจริง ๆ เมื่อเทียบกันครับ สำหรับวันนี้ เฮียแม็พ. TechXcite คงต้องลาไปก่อน ไว้พบกันใหม่บทความหน้าครับ :D
บทความโดย : เฮียแม็พ. TechXcite