เปิดตัว Fitbit Sense สมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ วัดความเครียดจากอุณหภูมิร่างกาย พร้อม Versa 3 และ Inspire 2
Fitbit เปิดตัวสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ 2 รุ่นครับ คือ Fitbit Sense และ Fitbit Versa 3 โดยในรุ่นแรก Sense จะเป็นรุ่นที่มาพร้อมสเปคเรือธงดีที่สุดของ Fitbit ในปัจจุบัน เปิดตัวที่ราคา $329 หรือประมาณ 10,400 บาท ในขณะที่ Versa 3 รุ่นต่อยอดจาก Versa 2 เปิดตัวที่ราคา $229 หรือประมาณ 7,300 บาท ซึ่งทั้งคู่ตอนนี้เริ่มเปิดให้สั่งจองกันแล้ว และจะเริ่มวางจำหน่ายในสหรัฐปลายเดือนกันยายนนี้
แม้ว่าดีไซน์ของสมาร์ทวอทช์ทั้งสองรุ่นมีหน้าตาคล้ายกัน แต่ Fitbit Sense จะมาพร้อมฟีเจอร์ด้านสุขภาพที่ล้ำกว่า ยกตัวอย่างเช่นมาพร้อมระบบสแกน heart rate บริเวณ atrial fibrillation (afib) ผ่านระบบ electrocardiogram (EKG) ที่ติดตั้งมาในระบบ (แต่ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของ FDA สหรัฐ) เทียบกับกับสมาร์ทวอทช์ Apple Watch และ Samsung Galaxy Watch3 รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไป
Fitbit Sense
สิ่งที่ทำให้ Sense แตกต่างก็คือมาพร้อมระบบการตรวจสอบความเครียด ที่หลายคนอาจกำลังต้องการใช้ในโลกเครียดๆ ใบนี้ การวัด คุณต้องใช้ฝ่ามือปิดหน้าจอเอาไว้ จากนั้นก็หายใจช้าๆ ระบบจะตรวจ HR พร้อมกับตรวจสอบอุณหภูมิของผิวหนังผ่านเซ็นเซอร์ electrodermal activity (EDA) จากนั้นระบบจะรวบรวมข้อมูลและประมวลผลออกมาเป็นคะแนนความเครียดของคุณครับ คะแนนสูงแปลว่าเครียดน้อย คะแนนต่ำแปลว่าเครียดมาก
Fitbit Versa 3
นอกเหนือจากฟีเจอร์ EKG และ EDA แล้ว สมาร์ทโฟนวอทช์ทั้ง 2 รุ่น คือ Sense และ Versa 3 จะแชร์ฟีเจอร์สมาร์ทวอทช์เหมือนกันครับ คือมาพร้อม GPS แบบ built-in มีหน้าจอสัมผัสแบบ OLED รองรับการกันน้ำได้ลึก 50 เมตร แบตเตอรี่ใช้งานได้อย่างน้อย 6 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และมีแท่นชาร์จแบบแม่เหล็ก รองรับ Fitbit Pay จ่ายเงินได้แบบเลี่ยงการสัมผัส ตอบข้อความ รับสายได้ผ่านทางไมค์ และลำโพงในตัว
เปรียบเทียบฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นจาก Versa 2 ในรุ่นใหม่ Versa 3 จะมาพร้อมการรองรับ Google Assistant เนื่องจากในรุ่นใหม่จะให้ไมค์ และลำโพงมาด้วย แต่รุ่นเดิมไม่มี ซึ่งทาง Google จะปล่อยให้อัพเดตในช่วงปลายปีนี้
Fitbit Inspire 2
สุดท้ายเป็นสมาร์ทแบนด์ fitness tracker รุ่นราคาประหยัด Fitbit Inspire 2 ที่มาพร้อมฟังค์ชั่นเบสิคสำหรับคนรักการออกกำลังกาย ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์วัด HR ที่ปุ่มด้านข้าง แบตเตอรี่ใช้ได้ 10 วัน มากกว่ารุ่นเดิม 1 เท่า และมาพร้อม Fitbit Premium ฟรีเป็นเวลา 1 ปี ในขณะที่รุ่นแพงกว่าด้านบนจะได้ 6 เดือนสำหรับการทดลองใช้
Fitbit Inspire 2 เปิดตัวที่ราคา $99 หรือประมาณ 3,200 บาทเท่านั้น ถือว่าเป็นรุ่นราคาสุดคุ้ม ที่มาพร้อมฟีเจอร์เบื้องต้นอย่างการวัดการทำกิจกรรม ออกกำลังกาย การนอนหลับ วัด HR ดูการแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟน หรือการที่รองรับการกันน้ำได้ ก็ถือว่าพอใช้ได้ครับ
source: theverge