Apple ไม่เห็นด้วย! เปลี่ยนพอร์ทชาร์จเป็น USB-C อ้างเป็นการหยุดยั้งนวัตกรรม
และสิ้นเปลืองเงินผู้บริโภค!
จากก่อนหน้านี้ที่มีการเสนอข่าวเรื่องราวที่ EU เตรียมออกกฎหมายใหม่เพื่อบังคับใช้ให้สมาร์ทโฟนทุกรุ่นเปลี่ยนพอร์ทชาร์จเป็น USB-C เพื่อประหยัดทรัพยากร และความง่ายในการใช้งาน ซึ่งปัจจุบันสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนรูปแบบไปใช้สายชาร์จแบบ USB-C แทบทั้งหมด เหลือเพียงรุ่นล่างราคาถูกที่ยังคงเป็น Micro-USB
ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทที่จะได้รับผลกระทบในเรื่องนี้มากที่สุดคือ Apple ที่ใช้สายชาร์จแบบ Lightning ทั้ง iPhone และ iPad ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเพราะ Apple ได้ออกมาโต้แย้ง EU ในเรื่องนี้โดยให้เหตุผลว่าการเปลี่ยนสายชาร์จทั้งหมดเป็น USB-C นั้นเสี่ยงต่อการหยุดยั้งนวัตกรรม และจะทำให้ผู้บริโภคสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายรวมแล้วถึง 1.5 พันล้านยูโรเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับด้านสิ่งแวดล้อมเพียงแค่ 13 ล้านยูโร เท่านั้น
ในความหมายของการหยุดยั้งนวัตกรรมที่ Apple ต้องการจะสื่อก็คือ ในอนาคตอาจจะมีการคิดค้นนวัตกรรมของสายชาร์จที่มีความสามารถและทำงานได้ดีกว่า USB-C ซึ่งเมื่อออกกฎหมายมาแล้ว จะเป็นการหยุดยั้งเพื่อเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ และจะกลายเป็นข้อบังคับตายตัวว่าสมาร์ทโฟนทุกรุ่นต้องออกแบบมาเป็น USB-C เท่านั้น
ผลสรุปในเรื่องนี้ยังไม่ได้มีความชัดเจนออกมาจากฝั่ง EU ว่ามีผลการพิจารณาออกมาเป็นอย่างไร แต่ถ้ามองในมุมมองของ Apple ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกัน เพราะเทคโนโลยีก็เป็นสิ่งที่หมุนเร็วและเปลี่ยนแปลงจนแทบตามไม่ทัน เอาเป็นว่าลองพิจารณาเหตุผลของแต่ละฝั่งแล้วลองคิดตามดู จะเห็นว่าทั้งสองฝั่งนั้นใช้รูปแบบของการมองเห็นประโยชน์ต่างกัน แต่ท้ายที่สุดผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไรก็รอติดตามกันต่อไป
Source: Reuters
Apple ไม่เห็นด้วย! เปลี่ยนพอร์ทชาร์จเป็น USB-C อ้างเป็นการหยุดยั้งนวัตกรรม
และสิ้นเปลืองเงินผู้บริโภค!
จากก่อนหน้านี้ที่มีการเสนอข่าวเรื่องราวที่ EU เตรียมออกกฎหมายใหม่เพื่อบังคับใช้ให้สมาร์ทโฟนทุกรุ่นเปลี่ยนพอร์ทชาร์จเป็น USB-C เพื่อประหยัดทรัพยากร และความง่ายในการใช้งาน ซึ่งปัจจุบันสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนรูปแบบไปใช้สายชาร์จแบบ USB-C แทบทั้งหมด เหลือเพียงรุ่นล่างราคาถูกที่ยังคงเป็น Micro-USB
ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทที่จะได้รับผลกระทบในเรื่องนี้มากที่สุดคือ Apple ที่ใช้สายชาร์จแบบ Lightning ทั้ง iPhone และ iPad ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเพราะ Apple ได้ออกมาโต้แย้ง EU ในเรื่องนี้โดยให้เหตุผลว่าการเปลี่ยนสายชาร์จทั้งหมดเป็น USB-C นั้นเสี่ยงต่อการหยุดยั้งนวัตกรรม และจะทำให้ผู้บริโภคสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายรวมแล้วถึง 1.5 พันล้านยูโรเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับด้านสิ่งแวดล้อมเพียงแค่ 13 ล้านยูโร เท่านั้น
ในความหมายของการหยุดยั้งนวัตกรรมที่ Apple ต้องการจะสื่อก็คือ ในอนาคตอาจจะมีการคิดค้นนวัตกรรมของสายชาร์จที่มีความสามารถและทำงานได้ดีกว่า USB-C ซึ่งเมื่อออกกฎหมายมาแล้ว จะเป็นการหยุดยั้งเพื่อเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ และจะกลายเป็นข้อบังคับตายตัวว่าสมาร์ทโฟนทุกรุ่นต้องออกแบบมาเป็น USB-C เท่านั้น
ผลสรุปในเรื่องนี้ยังไม่ได้มีความชัดเจนออกมาจากฝั่ง EU ว่ามีผลการพิจารณาออกมาเป็นอย่างไร แต่ถ้ามองในมุมมองของ Apple ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกัน เพราะเทคโนโลยีก็เป็นสิ่งที่หมุนเร็วและเปลี่ยนแปลงจนแทบตามไม่ทัน เอาเป็นว่าลองพิจารณาเหตุผลของแต่ละฝั่งแล้วลองคิดตามดู จะเห็นว่าทั้งสองฝั่งนั้นใช้รูปแบบของการมองเห็นประโยชน์ต่างกัน แต่ท้ายที่สุดผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไรก็รอติดตามกันต่อไป
Source: Reuters