เปิดตัว iPhone 11 Pro และ 11 Pro Max สองเรือธงคู่ใหม่ กล้องหลัง 3 ตัว
พร้อมสเปคล้นเหลืออีกแล้วครับท่าน !!
นอกจากรุ่น 11 ปกติแล้ว Apple ยังมี 2 รุ่นเรือธงอย่าง iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max เปิดตัวตามมาด้วย แน่นอนว่าออกมาต่อยอด iPhone Xs เมื่อปีที่แล้วนั่นเอง โดยจุดเด่นก็ยังคงเป็นความพรีเมี่ยมของรุ่นท็อปสุด มีทั้งสเปคที่ครบ ดีไซน์งานประกอบสุดหรู รวมถึงกล้องที่จัดเต็มขึ้นไปอีกด้วย
ดีไซน์
iPhone 11 Pro มาด้วยกัน 2 ขนาดคือ 5.8 นิ้ว และ 6.5 นิ้วเช่นแบ่งเป็นรุ่น Pro และรุ่น Pro Max เช่นเดียวกับปีที่แล้ว มาพร้อมหน้าจอ OLED ทั้งคู่และเป็นจอที่ยอดเยี่ยมขึ้นกว่าเคย ด้วยหน้าจอแบบ Super Retina XDR แบบเดียวกับที่เห็นบน MacBook Pro เลยทีเดียว
สามารถแสดงผลแบบ HDR ได้ มีอัตราส่วนคอนทราสต์สูงถึง 2,000,000 : 1 แสดงความสว่างได้สูงสุดถึง 1200 nit รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ขอบเขตสีกว้าง (Wide Color Gamut P3) ตัดการทำงานแบบ 3D Touch ออกไปเรียบร้อยใช้ Haptic Touch แทนที่
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มีให้เลือก 4 สีคือ ทอง, เทาสเปซเกรย์, เงิน และสีใหม่ เขียวมินไนท์กรีน
ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมความสามารถกันน้ำกันฝุ่นด้วยมาตรฐาน IP68 กันน้ำได้ที่ระดับ 4 เมตรนาน 30 นาทีอีกด้วย
กล้อง
กล้องมีการเพิ่มตัว Ultra Wide เข้ามาอีกตัว ทั้ง 2 รุ่นจะได้กล้องหลังมาด้วยกัน 3 ตัวคือ กล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล f/1.8, กล้อง Tele 2x ใหม่ที่มีค่ารูรับแสงกว้าง f/2.0 และกล้อง Ultra Wide 120 องศาความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เพิ่มให้การถ่ายภาพนั้นมีมุมมองที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ในส่วนของซอฟต์แวร์มีการปรับปรุงในเรื่องของ SmartHDR ให้ฉลาดยิ่งขึ้น, เพิ่ม Night Mode ถ่ายกลางคืนได้ดี รวมถึงการบันทึกวิดีโอที่รองรับ 4K 60fps ทั้งหน้าและหลัง มีระบบซูมเสียงเพิ่มเข้ามาแล้ว
ส่วนกล้องหน้า TruDepth ก็อัปเกรดขึ้นมาเป็นความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.2 เซลฟี่ได้ดีกว่าเดิม รวมถึงถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงกับ Slowmotion 240fps (Slofie) ได้ด้วย
สเปค
ในส่วนของสเปคก็อัปเกรดครั้งใหญ่ ด้วยชิปเซ็ตตัวใหม่ Apple A13 Bionic ที่ทาง Apple เคลมว่าเป็นชิปเซ็ตมือถือที่แรงที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้ CPU เร็วขึ้นกว่าเดิม 20% ประหยัดพลังงานกว่าเดิม 40% รวมถถึง GPU ก็แรงขึ้น 20% และประหยัดพลังงานลงอีก 30% อีกต่างหาก
แบตเตอรี่อึดขึ้น Apple เคลมว่า iPhone 11 Pro นั้นจะสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า iPhone Xs ถึง 4 ชม. ในขณะที่ iPhone 11 Pro Max ใช้ได้ยาวนานกว่า iPhone XS Max ถึง 5 ชม.เลยทีเดียว และที่เด็ดกว่านั้นก็คือทั้ง 2 รุ่นรองรับชาร์จเร็วแบบ 18W (ชาร์จ 30 นาทีได้ 50%) และมีแถมอุปกรณ์มาให้ในกล่องแล้วด้วย ระบบเสียงสมจริงมากขึ้นด้วยระบบ Dolby Atmos และลำโพงคู่บนล่างเช่นเคย
สเปค iPhone 11 Pro | iPhone 11 Pro Max
- หน้าจอ OLED Super Retina XDR 5.8" (Pro) | 6.5" (Pro Max)
- ความหนาแน่นพิกเซล 458ppi, รองรับ HDR10, Dolby Vision
- หน่วยประมวลผล Apple A13 Bionic
- ความจุ 64GB/256GB/512GB
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า iPhone Xs 4 ชม. (Pro) | 5 ชม. (Pro Max)
- รองรับระบบชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi
- กล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล f/2.2
- มาพร้อมระบบ FaceID สแกนใบหน้าปลดล็อค
- กล้องหลังคู่ 12 + 12 + 12 ล้านพิกเซล f/1.8 + f/2.0 + f/2.4 (Wide + Tele + Ultra Wide)
- ลำโพงคู่ Stereo (Dolby Atmos)
- รองรับ 2 ซิม (1 Nano SIM + 1 eSIM)
- กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 ลงน้ำได้ลึก 4 เมตรนาน 30 นาที
- วางจำหน่าย 4 สี ทอง, เทาสเปซเกรย์, เงิน และเขียวมินไนท์กรีน
ราคาและความจุ
iPhone 11 Pro สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $999 หรือราว ๆ 30,600 บาท ส่วน iPhone 11 Pro Max ราคาเริ่มต้น $1099 หรือราว ๆ 33,600 บาท ทั้งคู่มาพร้อม 3 ความจุเหมือนเดิมคือ 64GB, 256GB และ 512GB โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในกลุ่มประเทศแรกวันที่ 20 กันยายนนี้ครับ
ที่มา : Apple