Tim cook เตือน Trump ว่าหากกำแพงภาษียังอยู่ Apple จะเสียเปรียบ Samsung
"สงครามการค้า"ของ จีน กับ สหรัฐอเมริกา เป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองเพราะเป็นการต่อสู้ของสองอำนาจขนาดใหญ่ของโลกในปัจจุบันและยังเป็นการต่อสู้ของโลกเสรีและโลกคอมมิวนิสต์รูปแบบใหม่ หลังจากกรณีของรัสเซีย และหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านไป จีนก็ไม่มีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้แต่อย่างไรแต่กับกลายเป็นอเมริกาเองที่ก็เริ่มเจ็บหนักอย่างเห็นได้ชัดเมื่อหลากหลายการผลิตมักมาจากจีนซึ่งถูกกว่าอเมริกา และดูเหมือนว่าวิกฤติจะเริ่มมีผลอย่างหนักเมื่อ Tim cook ผู้เป็น CEO ของ Apple ได้เตือนประธานาธิบดีอเมริกา Trump ว่าแม้แต่ Apple ก็ต้องรับความเสี่ยงเช่นกัน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทาง Donald Trump ผู้ซึ่งเป็นประธานาธิบดีอเมริกา ได้ออกมากล่าวถึงว่าตัวเขาได้มีโอกาสมาร่วมทานข้าวเย็นกับ Tim cook ซึ่ง Tim ได้กล่าวเตือนว่า การตั้งภาษีการค้าจะส่งผลเสียต่อ Apple ได้มากถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐในการนำเข้าสินค้าจากจีน ในขณะที่ Samsung ศัตรูตัวฉกาจของ Apple ผู้ที่เป็นเกาหลีใต้นั้นมีฐานการผลิตนำเข้าส่งออกอยู่ที่ เวียดนาม อินเดีย อินโดนีเซียจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากจากกำแพงภาษี โดยกำแพงภาษีนี้จะเริ่มครั้งแรกวันที่ 1 กันยายนซึ่งจะส่งผลต่อ AirPods , Apple Watch และ Home Pod และขั้นต่อไป 15 ธันวาคม
NEW: Pres. Trump said he met with Apple CEO Tim Cook in Bedminster, adding that Cook "made a very compelling argument" that tariffs are making it hard for Apple to compete with companies like Samsung. "I'm thinking about it." https://t.co/TVq7yKJSle pic.twitter.com/LktWUkkJdt
— ABC News (@ABC) August 18, 2019
Donald Trump เองก็ได้มีการ Tweet ว่าเรื่องนี้ได้มีการตกลงกับ Tim cook แล้วและทุกอย่าง"เป็นไปด้วยดี"และไม่ต่อมา Trump ก็ได้ Tweet เพิ่มเติมว่าการสนทนากับจีน"เป็นไปได้ด้วยดี"เช่นกัน
ในจุดๆนี้หลายคนอาจสงสัยว่านี้ดูเป็นเรื่องส่วนตัวของ Apple รึเปล่า คำตอบคือไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวแน่นอนเพราะปัจจุบันโลกเรามีเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์ ที่มีเงินสกุลดอลล่าร์ของสหรัฐอเมริกาเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนที่ได้รับความน่าเชื่อถือมากที่สุด หากเศรษฐกิจของอเมริกาเป๋ ทั้งโลกก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย
ตัวอย่างผลกระทบที่ส่งผลต่อชาวไทยก็มีไม่น้อยเช่นการปรับราคาขึ้นของผลิตภัณฑ์จาก Apple 10% หรือยอดส่งออกของประเทศไทยที่ตกลงกว่า 3 ไตรมาส รวมกันเกือบ 5% คิดเป็นเงิน 300,000-400,000 ล้านบาท และดูท่าว่าสงครามทางการค้านี้จะยังยืดเยื้อต่อไป เราจึงต้องติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ที่มา : venturebeat