TechXcite โดยน้าป๋วย ได้มีโอกาสลองเล่นกล้องรุ่นใหม่ล่าสุดของ Canon ที่ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของ Canon เลย นั่นคือ Canon EOS M กล้อง Mirrorless ที่ดึงเอาความโดดเด่นจากกล้อง DSLR มาย่อส่วนไว้
กล้อง Canon EOS M ถือเป็นกล้อง Mirrorless ตัวแรกจากทางค่าย Canon หลังจากที่ปล่อยให้แบรนด์อื่นทำตลาดไปก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าออกมาทีหลัง ก็ต้องมีอะไรแตกต่างจากกล้องค่ายอื่น เจ้ากล้อง Canon EOS M มีขนาดเล็ก ดีไซน์รูปร่างคล้ายกล้องคอมแพกต์ ซึ่งก็เป็นคอนเซปต์ของกล้อง Mirrorless ที่เน้นขนาดบอดี้กล้องที่เล็กลง ตัดเอากระจกสะท้อนภาพออกไป
กล้อง Canon EOS M เปิดตัวมาพร้อมกับเลนส์ 2 รุ่น นั่นคือ EF-M 18-55mm f/3.5-5.6 IS STM และ EF-M 22m f/2.0 pancake ที่ใช้เมาท์ EF-M เมาท์แบบใหม่สำหรับ Canon EOS M นั่นเอง โดยขนาดเลนส์ทั้งสองตัวนั้นเมือประกบเข้ากับบอดี้กล้องแล้วก็สวยงามมีขนาดเล็กกะทัดรัดรับกับขนาดตัวบอดี้กล้อง
มาดูในส่วนของตัวบอดี้กันบ้าง Canon EOS M นั้นเป็นกล้อง Mirrorless ที่ออกแบบคล้ายกับกล้องคอมแพกต์ ซึ่งหลายคนอาจจะวิจารณ์ว่าไม่สวยงามเหมือนกับบางยี่ห้อที่ดีไซน์โดดเด่นกว่านี้ แต่เมื่อลองสัมผัสตัวจริงแล้วจะพบว่า บอดี้กล้อง Canon EOS M นั้นมีขนาดและดีไซน์ที่ถนัดในการจับถือมาก แถมตัวโครงสร้างก็เป็นแมกนีเซียมอัลลอยที่ให้ความรู้สึกมั่นใจในความคงทนแข็งแรง แถมการเก็บรายละเอียดงานของตัวกล้องอยู่ในขั้นดีมาก ทำให้ตัวกล้องดูดีมีราคาทีเดียว
ส่วนเซ็นเซอร์ที่ใช้ในกล้อง Canon EOS M นั้นมีขนาด APS-C ที่มีขนาดเท่ากับกล้อง DSLR ของ Canon จึงให้คุณภาพไฟล์ที่ตอบสนองความต้องการของช่างภาพมืออาชีพหรือผู้ที่ต้องการไฟล์คุณภาพสูง การถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอก็ง่ายขึ้น แต่จุดสังเกตก็คือกล้อง Canon EOS M จะไม่มีวิวไฟน์เดอร์มาให้ ต้องมองภาพผ่านจอ LCD เพียงอย่างเดียว
กล้อง Canon EOS M นั้นมีคุณสมบัติการใช้งานได้เทียบเท่ากล้อง DSLR หลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นการเลือกโหมดการถ่ายภาพแบบ M , Av , Tv, P หรือการถ่ายวีดีโอคุณภาพสูงด้วยระบบบันทึกเสียงแบบสเตอริโอ และมีระบบออโต้โฟกัสขณะถ่ายวีดีโอ ด้านบนตัวกล้องมีปุ่มเปิด-ปิดกล้องและปุ่มชัตเตอร์พร้อมวงแหวนปรับเลือกโหมดการถ่ายภาพ โดย A+ นั้นจะเป็นโหมดการถ่ายภาพแบบออโต้ เช่นเดียวกับในกล้อง DSLR ประเภท Scene Mode ต่างๆรวมถึงการใช้งาน Creative Filters เช่น โหมด Portrait เป็นต้น
นอกจากนี้ตัวกล้อง Canon EOS M นั้นถึงแม้จะไม่มีแฟลชป๊อปอัพมาให้ แต่ก็สามารถต่อแฟลชภายนอกได้ด้วยฮอทชูที่รองรับการทำงานระบบ E-TTL และ E-TTL II ของ Canon อย่างเต็มรูปแบบ และสามารถสั่งการแฟลชแบบไร้สายได้อีกด้วย
ปุ่มต่างๆด้านหลังนั้นถูกตัดออกน้อยลง เนื่องจากกล้อง Canon EOS M นั้นได้นำเอาเทคโนโลยีจอ Touchscreen มาใช้ ดังนั้นผู้ใช้งานจึงสามารถเข้าถึงเมนูต่างๆของกล้องได้สะดวกรวดเร็ว ซึ่งปุ่มภายนอกที่ให้มานั้นจะเป็นปุ่มที่ใช้งานบ่อยๆ เช่น ปุ่มดูภาพ ปุ่มลบภาพ ปุ่มชดเชยแสง หรือปุ่มดูข้อมูลต่างๆ
ด้านล่างของตัวกล้อง จะเป็นช่องใส่แบตเตอรี่และช่องใส่การ์ด มีตัวล็อคแน่นหนาไม่ต้องห่วงว่าใช้ๆไปฝาจะเด้งเปิดออกมาเอง ตัวแบตเตอรี่ขนาด 875 mAh
สำหรับที่แปลกไปในกล้อง Canon EOS M ที่อยากให้สังเกตกันก็คือ ตัวร้อยสายคล้องกล้องนั้นเป็นแบบใหม่ที่จะต้องใช้ร่วมกับตัวล็อคของ Canon เอง ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้งานกับสายคล้องกล้องอื่นได้ถ้าไม่มีตัวล็อคที่ทาง Canon ให้มา แต่ตัวล็อคแบบใหม่นี้ก็สะดวกในการร้อยสายและปลดสายได้อย่างรวดเร็ว
และ Canon เองก็ไม่ลืมที่จะเอาใจคนรัก Canon ที่มีเลนส์ตระกูล EF และ EF-S อยู่แล้ว เพราะได้ออก Adaptor สำหรับแปลงเมาท์มาให้ด้วย ตัว Adaptor มีขนาดเล็กกะทัดรัด รองรับการวัดแสงและการทำงานระบบออโต้โฟกัสได้เต็มระบบ ซึ่งจากการทดลองเล่น ก็พบว่าระบบโฟกัสไม่ได้ช้าลงแต่อย่างใด
เจ้า Adaptor ตัวนี้ ยังสามารถถอดเอาตัว Collar ที่เอาไว้สำหรับติดขาตั้งกล้องออกได้ด้วย เรียกได้ว่า Canon ทำการบ้านในเรื่องนี้มาดีมากครับ เมื่อต้องการใช้เลนส์ใหญ่ๆแล้วติดขาตั้งกล้องจะช่วยบาลานซ์ได้ดี เมื่อไม่ใช้ก็ถอดออกได้ง่าย
ถามว่าระบบโฟกัสสามารถโฟกัส Infinity ได้หรือเปล่า ตอบว่าทำได้ครับ เพราะเมื่อต่อ Adaptor เข้าไปแล้วระยะห่างระหว่างท้ายเลนส์และเซ็นเซอร์จะอยู่ห่างกันได้ระยะพอดีเหมือนกับที่ใช้ในกล้อง DSLR โดยตัว Adaptor นี้ไม่มีชิ้นเลนส์แต่อย่างใด มีแต่ตัวคอนแทคไฟฟ้าเพื่อให้กล้องสื่อสารกับตัวเลนส์
เมื่อต่อเลนส์เมาท์ EF เข้ากับกล้อง Canon EOS M แล้วจะเห็นได้เลยว่าตัวเลนส์นั้นมีขนาดใหญ่กว่ากล้อง ฉะนั้นใครที่อยากได้กล้องเล็กๆเอามาต่อเลนส์โปรที่บ้านก็ไม่มีปัญหา ส่วนใครอยากได้เลนส์เล็กๆนอกจากเจ้า 2 ตัวในตระกูล EF-M คงต้องรอสักระยะให้ทาง Canon พัฒนาเลนส์ใหม่ๆออกมารองรับครับ
สำหรับขนาดเมาท์รุ่นใหม่ EF-M เปรียเทียบกับขนาด EF ในกล้อง DSLR นั้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางต่างกันไม่มากนักลองดูภาพเปรียบเทียบจากขนาดฝาปิดกล้องนะครับ
ขอพูดถึงเรื่องแฟลชรุ่นใหม่ที่มาในกล่องพร้อมกับ Canon EOS M ด้วยนะครับ แฟลชรุ่นใหม่ตัวนี้ชื่อว่า Speedlite90EX แฟลชตัวนี้มีขนาดเล็ก ใช้แบตเตอรี่ขนาด AAA 2 ก้อน ตามสเป็คบอกว่าไกด์นัมเบอร์ 9 ที่ ISO100 (ระยะ 24 mm)
นอกจากนี้ยังรองรับระบบการทำงานแฟลชแบบไร้สายได้ เมื่อต่อเข้ากับกล้อง Canon EOS M แล้วก็มีขนาดเล็กกะทัดรัด แถมเมื่อไม่ใช้ก็ถอดเก็บได้ง่าย
ลืมบอกเรื่องของสีบอดี้กล้องไป Canon EOS M ทำกล้องออกมา 4 สี ได้แก่ แดง ขาว ดำและเงิน โดยตัวสีแดงจะเป้นตัวสีเมทัลลิค ส่วนสีอื่นๆจะเป็นสีด้าน แล้วแต่ครับว่าชอบสีไหน
ถามว่าขนาดกล้องที่บอกว่าเล็กนั้น อยากรู้ว่าเล็กกว่าแบรนด์อื่นแค่ไหน เลยเอามาลองเปรียบเทียบดูครับ กับ Sony NEX-F3 และ Samsung NX1000 จะเห็นว่า Canon EOS M นั้นมีขนาดเล็กกว่าทุกตัว ทั้งความสูงและความกว้าง ส่วนความหนาพอๆกันครับ
ในเรื่องของเมนูการใช้งานนั้น เรียกได้ว่าดึงมาจาก Canon EOS 650D เลยทีเดียว ดังนั้นถ้าคุ้นเคยกับกล้อง Canon DSLR อยู่แล้ว หันมาใช้ Canon EOS M ก็จะทำความคุ้นเคยได้ง่าย แถมหน้าจอเป็น Touchscreen สามารถปรับตั้งระบบการทำงานด้วยการใช้นิ้วแตะสัมผัสได้เลย
เรื่เดี๋ยวไปดูวีดีโอดูการทำงานระบบสัมผัส ว่าทำงานได้ประมาณไหนมั่งครับ
มาต่อกันที่เรื่องของคุณภาพไฟล์และการทดสอบการใช้งานจริงกันบ้าง หลังจากที่ได้กล้อง Canon EOS M ไปลองออกรอบถ่ายภาพดูก็พบว่า การใช้งานต่างๆนั้นสะดวกรวดเร็วและตอบโจทย์การถ่ายภาพแบบมืออาชีพได้ในเรื่องของลูกเล่นต่างๆ เพราะมีให้ใช้งานหมดทั้งโหมด M,Av,Tv,P และโหมดออโต้แบบต่างๆ เช่น โหมดถ่ายภาพมาโคร เป็นต้น
ส่วนเรื่องระบบโฟกัสนั้น ถ้าเทียบการใช้งานกับระบบกล้อง DSLR นั้น จะพอๆกับการโฟกัสแบบใช้งาน Live View เพราะตัวกล้อง Canon EOS M ไม่มีวิวไฟน์เดอร์ ดังนั้นการโฟกัสจึงใช้ตัวเซ็นเซอร์ของกล้องผ่าน Live View นั่นเอง เรียกว่าไม่ได้เร็วกินขาดเหมือนกล้อง DSLR ครับ อันนี้ต้องเข้าใจระบบการทำงานครับ อย่าไปหงุดหงิด แต่ตอนนี้ทาง Canon มีเฟิร์มแวร์ใหม่ที่ช่วยปรับปรุงระบบโฟกัสให้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งถ้าใครยังไม่ได้อัพก็คลิกไปอัพเกรดเป็นเวอร์ชั่น 2.0.2 ได้เลย
อีกนิดกับเรื่องโฟกัส แม้ว่าจะใช้อแดปเตอร์สำหรับต่อกับเมาท์ EF ก็ไม่ได้ทำให้ความเร็วในการโฟกัสช้าลง แถมตัวกล้องมีระบบสัมผัสที่แตะแล้วโฟกัสตามจุดที่เราแตะได้เลย ช่วยเรื่องความสะดวกเวลาถ่ายภาพ โดยเฉพาะการถ่ายภาพที่ต้องการความนิ่งเพราะไม่ต้องไปยุ่งกับปุ่มชัตเตอร์เลย วางกล้องบนขาตั้ง จากนั้นแตะแล้วกล้องจะลั่นชัตเตอร์เอง
ในเรื่องของรายละเอียดไฟล์ภาพนั้น ถามว่าเทียบเท่า DSLR ใช่ไหม ตอบเลยว่าใช่แน่นอนครับ เพราะเซ็นเซอร์ที่ใช้ในกล้อง Canon EOS M ตัวนี้ใช้เซ็นเซอร์ขนาด APS-C ที่เป็นตัวเดียวกับ Canon EOS 650D ดังนั้นเรื่องคุณภาพไฟล์ไว้ใจได้เลยครับ ทำหน้าชัดหลังเบลอได้แน่ๆ
ส่วนเรื่อง Noise นั้น Canon EOS M จัดการเรื่อง Noise ได้ดีมากครับ เอาแบบที่ผมรับได้คือดันได้ถึง 3200 สบายๆ แต่ถ้าต้องการภาพแต่แสงน้อยมาก 12800 ก็ใช้ได้ครับไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะ Noise น้อยมากเมื่อเทียบกับกล้องคอมแพ็กต์หรือกล้องสมัยก่อนแล้ว Canon EOS M ชนะเลิศ
สำหรับโหมดถ่ายภาพต่างๆที่ให้มา โหมดที่ประทับใจก็อย่างเช่น โหมดการถ่ายภาพตอนกลางคืนแบบมือถือที่ช่วยให้ภาพไม่สั่นไหวเวลาถ่ายภาพในที่แสงน้อย
และด้วยความสามารถของการถ่ายภาพแบบโหมด M ก็ช่วยสร้างเทคนิคถ่ายภาพสวยๆได้หลากหลายด้วยครับ ครบเครื่องจริงๆ
สุดท้ายกับการที่กล้องให้ไฟล์ RAW มาด้วย ตรงนี้จะช่วยให้เราสามารถเพิ่มลูกเล่นการแต่งภาพได้เยอะมากขึ้น เพราะเอามาใช้ได้ยืดหยุ่นกว่าไฟล์ JPEG แน่นอนครับ ตรงจุดนี้หลายๆคนคงจะชอบเหมือนกัน
เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับ Review Canon EOS M ตัวนี้ ถ้าให้แนะนำกล้องตัวนี้ก็น่าจะเหมาะกับคนที่อยากได้กล้องเล็กๆแต่ได้คุณภาพไฟล์ที่ดี ยิ่งมีเลนส์ Canon อยู่แล้วด้วย ยิ่งน่าสนใจมากครับ แม้หน้าตาที่อาจดูธรรมดาไป แต่ถ้าได้ลองจับแล้วจะรู้สึกว่าการจับถือและการถ่ายภาพนั้นไม่เหมือนกล้องคอมแพกต์ แถมเป็นกล้องที่ใช้ง่าย ขนาดเล็กกะทัดรัด สำหรับราคาเปิดตัวสำหรับผู้ที่สนใจนะครับ
EOS-M พร้อม EF-M 18-55 mm f/3.5-5.6 STM ราคา 28,900 บาท
EOS M พร้อม EF-M 22mm f2 STM และ Adapter ราคา 29,900 บาท
EOS M พร้อม EF-M 18-55 mm และ EF-M 22mm พร้อม Flash 90EX ราคา 32,900 บาท
Adapter สำหรับเลนส์ EF ราคา 5,900 บาท
EOS M พร้อม EF-M 18-55 mm และ EF-M 22mm พร้อม Flash 90EX ราคา 32,900 บาท
Adapter สำหรับเลนส์ EF ราคา 5,900 บาท
ส่วนสเป็คของ Canon EOS M คลิกไปที่หน้านี้เลยจ้า http://www.techxcite.com/topic/10276.html
บทความโดย : น้าป๋วย TechXcite