Android : ส่อง 9 โหมดกล้องสุดว้าวบน OPPO R9s ที่จะทำให้ภาพของคุณ
ชัดกว่าที่เคย !
เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการเรียบร้อยสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นเด่นตัวล่าสุด OPPO R9s ที่รอบนี้ก็มาพร้อมจุดเด่นเรื่องกล้องหน้า-หลังถึง 16 ล้านพิกเซล และค่ารูรับแสงที่กว้างสุดๆ f/1.7 แต่ไม่ใช่เพียงแค่ฮาร์ดแวร์กล้องเท่านั้นที่ทำให้รุ่นนี้เด็ดเพราะ R9s นี้มาพร้อมโหมดกล้องถ่ายภาพเด่นๆถึง 9 โหมดด้วยกันให้สมกับสโลแกน Now, It’s Clear กันไปเลย ว่าแต่ว่าโหมดทั้ง 9 นี้มีอะไรบ้าง เรามาดูไปพร้อมๆกันเลยดีกว่า :D
1.Auto (Photo)
แน่นอนว่าโหมดกล้องอันดับแรกเลยต้องมี Auto มาให้อยู่แล้วเนอะ แต่ตัวกล้องของ OPPO เองจะใช้ชื่อว่า Photo ปกติ คือจริงๆมันก็ Auto นั่นแหละครับ ในโหมดนี้ก็ง่ายๆครับแตะถ่ายๆปกติไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่จะมีตัวเลือก HDR ให้ปรับเพิ่มเติมได้ด้านบนครับ ตรงนี้จะมีให้เลือกปรับว่าเปิด-ปิดไหม หรือจะตั้ง Auto ให้ตัวแอปคำนวณเองรึเปล่าว่าอันไหนควรเปิดหรือปิด
ภาพตัวอย่างจากโหมด Auto (Photo) จะเห็นว่าสีสันหรือรายละเอียดสวยใช้ได้เลย แถมตัวระบบก็คำนวณออกมาได้ฉลาดทีเดียว ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนก็ออกมาคมชัดและรายละเอียดดีทีเดียว ส่วนโหมด HDR ก็ช่วยเร่ง Dynamic Range ของภาพได้สวยดีทีเดียว แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้างเพราะเวลาเราเปิด HDR Auto หรือ HDR On นั้นการจับภาพจะใช้เวลานานกว่าปกตินิดหน่อย ไม่ได้กดปุ๊บติดปั๊บเหมือนปกติ ภาพที่ได้อาจจะมีการสั่นไหวบ้าง เพราะชัตเตอร์ไม่ได้ปรับให้เราสุดๆน่ะครับ
2.Time Lapse
มาต่อกันที่โหมดการถ่ายภาพแบบ Time Lapse หรือการถ่ายภาพต่อเนื่องเป็นเวลานานๆแล้วประมวลผลออกมาในเวลาสั้นๆ จริงโหมดนี้เพื่อนๆคงพอรู้จักกันมาบ้างแล้วล่ะเนอะ ตัวโหมดนี้ก็จะเลือกได้จากหน้า UI หน้าแรกเลยโดยเลื่อนมาที่หน้าซ้ายสุด การใช้งานก็ง่ายๆครับแตะและวางเครื่องให้นิ่งที่สุดพอ :D
ตัวอย่างวิดีโอจากโหมด Time Lapse จะเห็นว่าคุณภาพของภาพออกมาดีทีเดียว แต่ตรงนี้ถ้าจะใช้งานจริงๆแนะนำว่าควรหาที่ตั้งนิ่งๆหรือขาตั้งมาใช้ร่วมกันจะได้ภาพออกมาแบบเนียนกริบเลยล่ะครับ
3.Panorama
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ติดมาให้บนสมาร์ทโฟนอย่างยาวนานนั่นก็คือ Panorama หรือภาพถ่ายมุมกว้างมากๆ ที่ช่วยให้เราได้เก็บรายละเอียดต่างๆได้กว้างมากขึ้นจากช่วงเลนส์ปกติ โดยใช้การแพนกล้องจากซ้ายไปขวา แต่ตรงนี้น่าเสียดายที่สามารถใช้งานได้เพียงแค่มุมเดียวเท่านั้น (ซ้ายไปขวาอย่างที่บอก) และจำเป็นต้องใช้งานกล้องถ่ายภาพแนวตั้งเท่านั้นเช่นกัน
4.Beauty
ถ้าพูดถึง OPPO แล้วไม่พูดถึงโหมดหน้าเนียนก็คงไม่ได้เนอะ รุ่นนี้ก็ยังคงใส่โหมด Face Beauty หรือหน้าสวยเนียนเข้ามาอยู่ และแน่นอนใช้งานได้ทั้งกล้องหน้ากล้องหลังเลยด้วย โดยในโหมดนี้เราสามารถปรับแต่งความเนียนได้ตั้งแต่ระดับ 1 -7 และเอฟเฟคสีทั้งแบบโทนเย็นไปจนถึงร้อนนวลๆ ความแตกต่างเล็กๆของโหมด Beauty ในกล้องหน้าและหลังก็คือเอฟเฟคละลายหลังหรือหน้าชัดหลังเบลอ ที่บนกล้องหน้าเราจะสามารถเลือกปรับเอฟเฟคนี้ได้ผ่านซอฟต์แวร์ (มีไอคอนรูปหยดน้ำอยู่มุมขวาบน) แต่ถ้าเป็นกล้องหลังจะไม่มีไอคอนนี้อยู่นะจ๊ะ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Beauty จะเห็นว่าใบหน้ามีความสวยเนียนตามสไตล์ OPPO ที่เรียกว่าขึ้นชื่อในเรื่องความเนียนของใบหน้าเป็นอย่างดี สีสันและรายละเอียดครบถ้วน ส่วนเอฟเฟคละลายหลังบนกล้องหน้าก็ถือว่าพอใช้ได้ครับ ยังแอบมีความไม่เนียนอยู่บ้าง แต่รวมๆแล้วสวยงามดีจริงๆ Face Beauty เนี่ย :D
5.Ultra-HD
ถึงแม้ว่ากล้องหลังของ R9s จะให้ความละเอียดมาตั้ง 16 ล้านพิกเซลแล้ว แต่หลายๆคนที่ต้องการความคมชัดที่สูงกว่านั้นทาง OPPO ก็ยังมีโหมด Ultra-HD ที่จะช่วยเพิ่มความคมชัดของภาพเข้าไปอีกโดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาเป็น 34 ล้านพิกเซลหรือ 62 ล้านพิกเซลกันไปเลย ซึ่งตรงนี้จะใช้การประมวลผลภาพจากหลายๆภาพที่ถ่ายด้วยความเร็วสูงเข้าด้วยกัน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Ultra-HD จะเห็นว่าภาพที่ได้นั้นมีความคมชัดที่สูงมาก ถ้าดูด้วยภาพปกติผ่านจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์อาจจะไม่เห็นความต่างมากนัก แต่ถ้าเราลองซูมเข้าไปจะเห็นว่ารายละเอียดนั้นชัดขึ้นมาก ซูมแล้วยังไม่เห็นถึงความแตกของภาพแบบภาพโหมด Auto ปกติเลย ตรงนี้ยอดเยี่ยมมากสำหรับผู้ที่ต้องการภาพถ่ายที่มีความคมชัดสูงๆ แต่ตอนถ่ายก็แนะนำว่าตอนถ่ายต้องถือมือถือให้นิ่งนิดหน่อย ไม่งั้นภาพออกมาอาจจะสั่นได้เนาะ :P
6.Various Filter
อีกจุดหนึ่งที่ช่วยเพิ่มลูกเล่นในการถ่ายภาพให้เราก็คือเจ้าโหมดนี้แหละ Various Filter จะมีลูกเล่นพวกสีสันเป็น Filter มาให้เราเลือกปรับได้ ไม่ว่าจะเป็นโทนสดใส , จัดจ้าน หรือขาว-ดำ ไปเลยก็มี แต่แค่พวก Filter สียังไม่พอ เพราะยังมีลูกเล่นที่เราสามารถเพิ่มเข้าไปในภาพได้ด้วย อาทิ Location , สภาพอากาศ , นาฬิกา หรือ ภาพอื่นๆ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Various Filter จะเห็นว่าการใส่ฟิลเตอร์หรือภาพเสริมลงไปในภาพก็ช่วยให้ภาพดูมีลูกเล่นอื่นๆเข้าไปได้อีกเยอะเลยทีเดียวเนอะ :D
7.GIF
ไฟล์ GIF หรือจิฟในสมัยนี้ก็เริ่มถูกเอามาใช้และแชร์บนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คมากขึ้นเรื่อย แต่ถ้าเราไม่อยากไปหาไฟล์จากเน็ตมาแชร์จะลองถ่ายเอาเองเลยก็ได้หนิ เพราะบน OPPO R9s นั้นให้โหมดการถ่ายไฟล์ GIF มาให้เราด้วย ตัวโหมดนี้จะเลือกได้ว่าบันทึกภาพแบบปกติหรือแบบย้อนหลัง ประมาณ 5 วินาที
ตัวอย่างภาพเคลื่อนไหวจากโหมด GIF ก็ใช้งานง่ายดีครับ กดปุ๊บก็ถ่ายเลย 5 วินาที แต่ข้อเสียคงเป็นความละเอียดที่เราสามารถถ่ายได้เพียง 240 x 320 พิกเซล เท่านั้นภาพที่ได้อาจจะดูหยาบไปหน่อย แต่แชร์ตามแชทก็พอรับได้อยู่ครับ
8.Double Exposure
โหมดนี้ตัวกล้องจะให้เราทำภาพซ้อนได้ในการถ่ายเพียง 2 ครั้ง ปกติการทำภาพแบบนี้อาจจะต้องเพิ่งแอปเสริมนิดหน่อย และก็ต้องใช้การกะมุมในตอนถ่ายให้มาวางเนียนๆได้ยากหน่อย แต่ถ้าเราใช้บนกล้องของ R9s ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไปเพราะเราตัวกล้องจะโชว์พรีวิวภาพก่อนหน้ามาให้เราได้เล็งทำภาพซ้อน ภาพเรียง ภาพแยกได้อย่างใจนึกเลยล่ะครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Double Exposure ทีนี้เราก็จะสามารถสร้างร่างแยกหรือสร้างสรรค์ภาพซ้อนสวยๆได้ง่ายๆแล้วล่ะเนอะ
9.ExpertMode
ปิดท้ายด้วยโหมดที่ช่างภาพมืออาชีพหรือช่างภาพที่ต้องการปรับค่าของกล้องได้เองต้องการกันแล้ว หลายๆแบรนด์อาจจะใช้ชื่อว่า Manual mode แต่ทาง OPPO ใช้ว่า Expert mode กันไปเลย โหมดนี้ก็จะให้เราได้ปรับค่าของกล้องได้หลายอย่างเลย ทั้งค่า White Balance , Exposure , ISO ,Shutter Speed และระยะโฟกัสเลยด้วย
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับ 9 โหมดกล้องเด่นๆบน OPPO R9s เรียกว่านอกจากเราจะมีฮาร์ดแวร์กล้องเทพๆทั้งหน้า-หลังแล้ว ตัวซอฟต์แวร์กล้องหรือโหมดการถ่ายภาพก็จัดเต็มช่วยให้การถ่ายภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก แบบนี้สมกับสโลแกน Now, It’s Clear จริงๆเนอะ สำหรับเพื่อนๆที่สนใจตัว OPPO R9s สามารถอ่านรีวิวเพิ่มเติมได้จากลิ้ด้านล่างนี้เลยจ้า :D
Review : OPPO R9s เปิดประสบการณ์การถ่ายภาพที่ชัดกว่าเคยด้วย
กล้อง 16 ล้านพิกเซลทั้งหน้าและหลัง !!
สวัสดีเพื่อนๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆกับ เฮียแม็พ. TechXcite กันอีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับสมาร์ทโฟนสายเซลฟี่ตัวล่าสุดของ OPPO อย่าง OPPO R9s รุ่นนี้ถือว่าเป็นอีกซีรีส์หนึ่งที่จะมาลงตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ส่งซีรีส์ F1 มาลงตลาดไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งจริงๆแล้วตระกูล R9 กับ F1 นั้นก็มีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกันมาก (จริงๆรุ่นปีที่แล้ว R9 ก็เทียบได้กับ F1 Plus ของบ้านเรานั่นแหละ) แต่ด้วยความที่รุ่นนี้มีชื่อ s ตามท้ายแน่นอนว่าต้องอัพเกรดหลายๆอย่างขึ้นมาด้วยเช่นกัน แต่จะมีจุดไหนที่แตกต่างกันบ้าง เดี๋ยวเรามาดูกันเลย อ่านต่อ